ตอนที่ 227 ดูตัว

เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้ารองฉวี่ก็มาหาจ้าวเหวินเทาที่นี่ตั้งแต่เช้า เขาแต่งตัวดูดี ทำความสะอาดร่างกายจนสะอาดเป็นระเบียบ แถมยังใส่ด้วยเสื้อผ้าตัวใหม่ที่หาได้ยาก

“นายบอกว่าไม่อยากไปดูตัวไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงแต่งตัวดีขนาดนี้ล่ะ?” จ้าวเหวินเทาหยอกล้อ

เจ้ารองฉวี่พูดด้วยท่าทางงุ่มง่าม “นี่เป็นเสื้อตัวใหม่ที่ใส่ตอนข้ามปีของปีที่แล้ว แม่บอกให้ฉันใส่มา”

“นายนี่เอาแต่อ้างแม่ไปเรื่อยเลยนะ มีเหรอที่ฉันจะไม่รู้จักนาย พอพูดว่าดูตัวหัวใจของนายก็เบิกบานแล้ว!” จ้าวเหวินเทาเอ่ยเย้า

เจ้ารองฉวี่หน้าแดง เอาแต่พูดว่า ‘ใช่ที่ไหนกัน ๆ’ ติดกันหลายครั้ง เย่ฉูฉู่ทนดูไม่ได้จึงคุยกับจ้าวเหวินเทาสองสามประโยค เขาจึงยอมหยุดหยอก

วันนี้มีตลาดนัดในหมู่บ้าน คนที่อยู่ภายในหมู่บ้านถ้าไม่นั่งรถลาลากรถม้าลากก็จะเดินเท้า มีบางคนนำของใส่ถุงขนาดใหญ่และเล็กเพื่อนำมาขาย และมีบางคนเดินจูงมือลูกไปดูความครึกครื้น แน่นอนว่ามีคนที่ไปซื้อของด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่จะมาดูความครึกครื้น

ตลาดนัดก็คืองานสังสรรค์ภายในชนบท!

จ้าวเหวินเทาขับรถพาเจ้ารองฉวี่และพวกต้าชุยไป นอกจากนี้ยังมีคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าว ถ้าไม่ใช่เพราะเต้าหู้ที่พี่สามจ้าวทำเกิดการบูดเสียเขาก็คงจะติดรถมาด้วย เย่ฉูฉู่นั้นกลัวว่าลูกจะเป็นหวัดเพราะหนาวจึงไม่ได้มาด้วย ส่วนพี่รองจ้าวและพี่สะใภ้รองจ้าวยุ่งอยู่กับการแช่ถั่วให้พี่สามจ้าวจึงไม่ได้มา เช่นเดียวกันกับพี่สี่จ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าว

เรื่องหาเงินพี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ปล่อยให้หลุดมืออยู่แล้ว ตอนนั้นที่พี่สามจ้าวมาหาพวกเขาก็ตอบตกลงทันที ตอนนี้เป็นช่วงแสดงความสามารถ จะมีเวลาไปตลาดนัดได้อย่างไรกัน

จ้าวเหวินเทาขับรถมาถึงตลาด หลังจากทุกคนลงจากรถแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านไท่ผิง

คุณแม่จ้าวมาที่นี่ตามคำพูดของคุณพ่อจ้าวที่บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี ความหมายก็คือชอบดูความครึกครื้น เพราะคุณแม่จ้าวก็พาเจ้ารองฉวี่มาดูตัวด้วย

คุณแม่จ้าวไม่ได้สนใจเขา นางกล่าวกับเจ้ารองฉวี่ว่า “ป้ากับแม่ของเธอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แม่ของเธอไม่มีเวลามาที่นี่ ป้าจะมาดูแลให้เอง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวป้าจะแนะนำอีกคนให้เธอ”

เจ้ารองฉวี่ตอบ ‘ครับ’ แบบคลุมเครือ เขาไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนนี้ตื่นเต้นมาก

คุณแม่จ้าวมองด้วยความขบขัน นางเดินมาที่ด้านหน้าเพิงตัดผมตามที่นัดกับแม่ของลูกสะใภ้สี่

ตลาดนัดในตอนนี้จัดบนพื้นที่โล่งแจ้งทั้งหมด และไม่มีใครสนใจ บางคนมาอยู่ที่นี่นานจึงยึดครองพื้นที่แบบระยะยาว สร้างเพิงเล็ก ๆ ขึ้นมา บางคนก็เป็นเจ้าถิ่นค่อนข้างวางอำนาจ หลังจากวงพื้นที่แล้วก็ลากเสื่อน้ำมันมาปูไว้สองสามผืนแล้วตั้งร้าน แม้จะดูวุ่นวาย แต่ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีความวุ่นวายจนเกิดสิ่งเลวร้าย

คุณแม่จ้าวพาเจ้ารองฉวี่มาด้านหน้าเพิงตัดผม ระหว่างนั้นได้ผ่านแผงลอยขายเนื้อหมู ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแผงลอยของไช่ซื่อหู่

“อ้าว ป้าใหญ่ มาจับจ่ายที่ตลาดเหรอครับเนี่ย!” ไช่ซื่อหู่ทักทายด้วยความกระตือรือร้น

คุณแม่จ้าวรู้สึกประหลาดใจมาก “ใช่แล้ว ป้ามาจ่ายตลาด เธอเองก็มาขายของเหรอ?”

ไช่ซื่อหู่พูดด้วยรอยยิ้ม “ผมก็เหมือนเหวินเทานั่นแหละครับ ออกมาทำงานเองแล้ว ตอนนี่ไม่ได้ขายแค่เนื้อหมูนะ ยังรับซื้อหมูด้วย”

ตั้งแต่เห็นว่าการค้าขายของจ้าวเหวินเทาแบบส่วนตัวเป็นไปได้ด้วยดี ไช่ซื่อหู่จึงมีความคิดอยากจะทำเองมาตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ทำใจไม่ได้ที่จะทิ้งงานในหน่วยงาน จะร้ายหรือดีก็เป็นงานทางการ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เขาแอบซื้อเนื้อถูกจับได้ หัวหน้าจึงวิจารณ์เขาอย่างหนัก ทำเอาเขาถึงกับโกรธจนไม่คิดจะทำที่นั่นแล้ว และออกมาทำงานเองอย่างที่เห็น

ตอนแรกเขาแอบรู้สึกเป็นกังวล แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถึงอย่างไรก็มีลูกค้าเก่าแก่ ไม่ว่าจะซื้อหรือขายก็มีช่องทาง เพียงไม่นานก็มีรายได้ที่มั่นคง ที่สำคัญก็คือเป็นอิสระ เขาจึงอารมณ์ดีมาก!

“ดีจริง ๆ เลยนะ ป้าเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้คนที่ออกมาทำงานเองมีเยอะแยะเลย!” คุณแม่จ้าวกล่าว

“ใช่ครับ รัฐก็สนับสนุนให้คนออกมาทำงานกันเองด้วย บอกว่านี่คือการใช้จิตวิญญาณของความเป็นเจ้าของส่วนบุคคลได้อย่างเต็มที่!” ไช่ซื่อหู่หัวเราะร่า “เหวินเทาล่ะครับ? ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?”

“ไปหมู่บ้านไท่ผิงแล้วล่ะ เนื้อที่ได้มาจากเธอก็เอาไปขายในอำเภอแล้ว” คุณแม่จ้าวกล่าว

ไช่ซื่อหู่ถอนหายใจ “เหวินเทาเป็นคนมีความสามารถ นี่ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากกว่าผมเสียอีก!”

“แต่อย่างอื่นเขาก็ทำไม่เป็นเหมือนกันนั่นแหละ” คุณแม่จ้าวได้ยินว่าอีกฝ่ายชมลูกชาย ภายในใจก็รู้สึกดีใจ แต่ปากก็ยังพูดถ่อมตน

หลังจากคุยเกี่ยวกับจ้าวเหวินเทาไปสองสามประโยค ก็มีคนมาซื้อเนื้อหมู คุณแม่จ้าวจึงออกมาจากแผงลอยของไช่ซื่อหู่ จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเพิงร้านตัดผม

นั่งอยู่ไม่นาน เจ้ารองฉวี่ก็เริ่มลุกขึ้นเดินไปเดินมา

“เป็นอะไร?” คุณแม่จ้าวถาม

“เปล่าครับ” เจ้ารองฉวี่สูดหายใจเข้า

คุณแม่จ้าวเห็นร่างกายของเขางอเป็นกุ้ง จึงเข้าใจได้ หนาวนี่เอง!

“เธอไม่ได้ใส่เสื้อนวมแบบบางไว้เหรอ?” คุณแม่จ้าวกวาดมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ จึงพบว่าเสื้อที่เขาใส่ค่อนข้างบาง

ตอนนี้ถ้าจะใส่เสื้อนวมแบบหนาดูเหมือนว่าจะเร็วไปหน่อย แต่เสื้อนวมแบบบางอย่างไรก็ต้องสวมไว้ คนในหมู่บ้านไม่ได้มีเสื้อคาร์ดิแกน เสื้อโค้ทตัวใหญ่ เสื้อขนเป็ดอะไรพวกนั้น ต่างก็พึ่งพาเสื้อนวมเพื่อกันความหนาว

“ผมใส่เสื้อกับกางเกงไหมพรมแล้ว พี่สาวเป็นคนทอให้” เจ้ารองฉวี่พูดด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริก

ตอนที่อยู่บนรถมีหลายคนนั่งเบียดกัน จึงไม่ได้รู้สึกหนาวอะไร แต่ตอนนี้ไม่ได้มีคนเบียดเสียดกันแล้ว อีกอย่างตำแหน่งนี้ก็ไม่ค่อยดี ลมหนาวทางเหนือพัดผ่านมาก็หนาวเหน็บเข้าไปถึงกลางใจ!

“กางเกงกับเสื้อไหมพรม?” คุณแม่เย่พูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “เสื้อผ้าที่ทอด้วยไหมพรมสังเคราะห์มันกันลมได้ที่ไหนกัน? มันเป็นเสื้อผ้าไว้หลอกคนเท่านั้นแหละ เธอนี่มันจริง ๆ เลย!”

เจ้าของแผงลอยร้านตัดผมได้ยินคำพูดของพวกเขา ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “หลังม่านมีเตาอยู่ เธอเข้าไปผิงไฟหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็หนาวจนเป็นไข้พอดี อีกเดี๋ยวแดดมาก็อบอุ่นแล้ว”

ร้านตัดผมต้องให้ลูกค้าสระผมก่อน ตอนนี้ไม่สามารถใช้น้ำเย็นได้ จึงต้องตั้งเตาไว้ชั่วคราวเพื่ออุ่นน้ำที่จะใช้ให้ร้อน

เจ้ารองฉวี่รีบกล่าวขอบคุณและเข้าไปผิงไฟด้านหลัง

“วัยรุ่นสมัยนี้เอาแต่ห่วงหล่ออยู่นั่นแหละ อากาศหนาวแบบนี้ยังจะสวมเสื้อไหมพรมอีก แบบนี้จะไม่ให้แข็งตายได้ยังไง!” คุณแม่จ้าวบ่นกับเจ้าของแผงลอย

เจ้าของแผงลอยยิ้ม “พวกวัยรุ่นก็ห่วงสวยห่วงหล่อกันทั้งนั้นแหละ เธอเองก็อย่าไปกังวลให้มากมายเลย พวกเด็กหนุ่มมีไฟแรงกล้า ไม่แข็งตายง่าย ๆ หรอก”

“นั่นสินะ ใครจะไปเหมือนฉันที่มีแขนขาแก่ชราแบบนี้กันล่ะ ใส่เสื้อบุนวมหนา ๆ ก็ยังหนาวเลย” คุณแม่จ้าวถอนหายใจ

เจ้าของแผงลอยอายุห้าสิบกว่าปีเริ่มพูดถึงตนเองในสมัยก่อน

เมื่อมีคนอยู่คุยด้วย เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวก็มาถึง ด้านหลังของนางมีเด็กสาวตามมาอีกหนึ่งคน หรืออาจจะพูดด้วยว่าเป็นสาวน้อย หน้าตาปานกลาง รูปร่างค่อนไปทางผอม แตกต่างจากที่แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวอวดไว้ค่อนข้างมาก บอกว่าหน้าตาดี รูปร่างก็ดีอะไรพวกนั้น ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด

ถึงอย่างไรคุณแม่จ้าวก็ไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังแสดงออกด้วยการออกไปต้อนรับ “มาแล้วเหรอ หนาวหรือเปล่าล่ะ?”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไหวอยู่ พวกเราเดินมาน่ะ ไม่ได้รู้สึกหนาวเท่าไร เสี่ยวหง นี่คือป้าใหญ่จ้าวนะ”

“ป้าใหญ่จ้าว” สาวน้อยคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็มองไปที่ด้านหลังของคุณแม่จ้าวอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่เจอใคร

คุณแม่จ้าวจึงเข้าใจได้ “เข้ามานั่งข้างในเถอะ พวกเธอวางแผนว่าจะซื้ออะไรกันเหรอ?” ระหว่างที่พูดก็ให้เข้ามาด้านในเพิง และไม่ลืมที่จะตะโกนเรียกเจ้ารองฉวี่ให้ออกมา

หลังจากเจ้ารองฉวี่ขานตอบออกมาจากด้านใน เสี่ยวหงก็รีบหมุนตัวแสร้งทำเป็นดูของที่ร้านขายของเล็ก ๆ ข้าง ๆ ทันที

ฝ่ายชายบอกว่าจะดูจากไกล ๆ ย่อมไม่สามารถเห็นหน้าได้

เจ้ารองฉวี่ก็เข้าใจได้ เขารีบออกมา เมื่อเห็นแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าว เขาก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความไม่มั่นใจว่าควรจะมองใคร

คุณแม่จ้าวรีบเดินเข้ามาพูดกับเขา “คนที่ยืนตรงแผงลอยทางซ้าย ใส่เสื้อกันหนาวลายดอกไม้ ใส่กางเกงสีดำรองเท้าสีดำ”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างมีความสุข “คนที่ผมยาว ๆ นั่นไง”

บอกใบ้ด้วยลักษณะเฉพาะมากขนาดนี้ ถ้าเจ้ารองฉวี่ยังไม่เจออีกก็โง่เต็มทน ดังนั้นเขาจึงเห็นเสี่ยวหงในทันที แต่น่าเสียดายที่เขาแอบรู้สึกผิดหวัง

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเคยเจอสาวอีกคนหนึ่งมาก่อน การจะเปิดรับสาวคนนี้อย่างไม่เต็มใจก็ยังเป็นไปได้ แต่เป็นเพราะเคยเจอคนๆ นั้น เมื่อมาเทียบกันแล้วสาวคนนี้จึงไม่เข้าตาเลย

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นกตัวโตๆ แล้วไงคะแม่พี่สะใภ้สี่ เจ้าหนุ่มเขาไม่ชอบสาวจากหมู่บ้านป้าน่ะ

ไหหม่า(海馬)