คนผู้นั้นหัวคิกๆ แล้วพูด “พวกเจ้าเพิ่งมา ไม่รู้หรอกว่าพวกคนเหล่านั้นในพรรคเหยากวงปกติหัวสูงเพียงใด แต่ที่สนใจที่สุด ที่ชอบที่สุด ก็คือการพนันขันต่อ เมื่อนานมาแล้วก็ได้เริ่มพนันกัน และพนันกันไว้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ยากจะออกเรือนที่สุดคือผู้ใด แต้มพนันของนักพรตชิงเฉิงผู้นั้นสูงเป็นอันดับต้นของรายการ แปดถึงเก้าในสิบของบรรดาลูกศิษย์ต่างเอาบ้านเอาเรือนไปเดิมพันกับนาง แล้วเจ้าว่าตอนนี้นักพรตชิงเฉิงออกเรือนแล้ว บรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นจะไม่ร้องไห้คร่ำครวญได้อย่างไร”
ผู้คนพลันมองหน้ากันไปมา แล้วรู้สึกสนใจเรื่องราวของนักพรตชิงเฉิงยิ่งขึ้น
คนผู้นั้นพูด “ถ้าทุกคนสนใจจริงๆ ไม่สู้พวกเราไปดูเสียเลยดีหรือไม่”
“พวกเราฐานะอะไรกัน จะเข้าไปได้อย่างไร” ชั่วครู่เดียวหัวใจของผู้คนก็ถูกปลุกเร้า
“สหายของข้าคนนั้นบอกว่า เพราะครั้งนี้เป็นงานมงคลที่ร้อยปีจะมีสักครั้ง ดังนั้นขอเพียงเป็นผู้ซึ่งมาร่วมอวยพร ย่อมไม่ถูกปฏิเสธเข้าร่วมงาน พรรคเหยากวงยังถึงกลับหักร้างถางพงที่แห่งหนึ่งบนเทือกเขาฟางจูโดยเฉพาะ เพื่อต้อนรับผู้ซึ่งไร้สังกัดอย่างพวกเรามาร่วมสนุก ได้ยินว่าที่แห่งนั้นมีสุราผลไม้วิญญาณให้ดื่มโดยไม่ต้องเสียเงินด้วย ยังได้เห็นเกี้ยวของเจ้าสาวบินผ่าน แล้วเจ้าจะไม่สนใจได้อย่างไรกัน” คนผู้นั้นถาม
“ยังต้องให้พูดอีกหรือ ไปกันเถิด!” ฝูงชนโอบตัวคนผู้นั้นเอาไว้ แล้วแห่กันไปยังเทือกเขาฟางจูราวกับดาวล้อมเดือน
ในขณะที่ทั่วทั้งเทียนหยวนจิตใจสั่นกระเพื่อมด้วยพิธีครั้งใหญ่ คนระดับสูงภายในของพรรคเหยากวงเอง ก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเช่นกัน
เสวียนหั่วเจินจวินหยิบพัดกกเก่าๆ ประจำตัวเล่มนั้น แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ชั่วขณะหนึ่งใช้ความคิดเสียลืมตัวจนเกือบชนเข้ากับเหิงตั๋วเจินจวิน ถลึงตาโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดขึ้นอย่างเดือดดาล “ศิษย์น้องเหิงตั๋ว เจ้ามาโผล่อะไรที่นี่อีก!”
เหิงตั๋วเจินจวินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่คลำจมูก “ศิษย์พี่เสวียนหั่ว ข้าอยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่แรกแล้ว”
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว คลายความร้อนใจลงบ้างเถิด” หลิวซางเจินจวินตั้งแต่ได้เป็นประมุขผู้อาวุโส ก็ยิ่งดูสุขุมมั่นคงยิ่งขึ้น
เสวียนหั่วเจินจวินไม่ได้ถูกความสุขุมนั้นทำให้รู้สึกยำเกรง โบกพัดกกในมือแล้วตะโกนพูด “จะให้ข้าไม่ร้อนใจได้หรือ ตอนนี้ก็ใกล้จะสิบห้าค่ำเดือนแปดแล้ว นี่ยังนับว่าดี แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่อยู่สักคน พวกเจ้าว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน”
พูดเสร็จก็ยกพัดกกขึ้นมาตบใบหน้าตนเบาๆ แล้วพูดอย่างกลัดกลุ้ม “หรือเจ้าเด็กลั่วหยางนั่น ถูกกำหนดให้ไม่สามารถตบแต่งภรรยาได้ โธ่เอ๋ย แล้วนี่จะให้ข้ามีหน้ามองบรรพชนตระกูลเยี่ยได้อย่างไรกันเล่า”
เส้นเอ็นบนมุมหน้าผากของหลิวซางเจินจวินปูดขึ้นเขียวเต้นตุบๆ ตาเฒ่านี้เอาอีกแล้ว เอะอะก็ตระกูลเยี่ยจะไม่มีลูกหลานสืบสกุล หรือไม่ก็ไม่มีหน้าพบบรรพชน นี่…นี่คือคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหรือ
ฟ้าได้โปรดสงสาร ถ้าเขายังเลอะเทอะเช่นนี้อีกต่อไป คงจะได้เป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่จะไม่มีหน้าไปพบบรรพชน!
เขาหันหน้ากลับอย่างหนักแน่น มองไปยังกู้หลีที่นั่งอยู่อย่างสงบมาตลอด “เหอกวง นางหนูชิงเฉินไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
กู้หลีก้มหน้าลง สะบัดแขนเสื้อสีเทาใหญ่ กลางฝ่ามือมีตะเกียงน้ำมันเล็กๆ ดวงหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉิน
“หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉินมืดลงชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีเหตุอะไรใหญ่โต พิเคราะห์ดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับผู้คน” กู้หลีพูดไปพลาง แล้วเก็บตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉินเข้าไปในแขนเสื้อ
เสวียนหั่วเจินจวินมองอย่างประหลาดใจ ยังคงเป็นคนที่อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเช่นเดิม จึงถามออกไปว่า “เหอกวง เจ้าพกตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของมั่วชิงเฉินไว้กับตัวหรือ”
กู้หลีใบหน้าเห่อร้อน ไม่แสดงสีหน้า ตอบรับอย่างเรียบๆ หนึ่งทีว่าอืม
เหิงตั๋วเจินจวินหรี่ตายิ้มถาม “เหอกวงมีศิษย์เพียงคนเดียว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นห่วงบ้าง”
“หึๆ จะว่าไปก็ใช่ ไว้กลับไปข้าจะเอาตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของลั่วหยางติดตัวบ้าง” เสวียนหั่วเจินจวินจู่ๆ ก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว เขาเองก็มีลูกหลานเพียงแค่คนนี้คนเดียว
นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักนิด! ตอนนี้ที่ต้องหารือกันคือทั้งสองคนหนีไปไหนกันแน่ จะกลับมาได้หรือไม่ต่างหาก ไม่ใช่เรื่องว่าตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาควรเก็บไว้ที่ไหน
หลิวซางเจินจวินได้ยินคำพูดของทั้งสามคน ก็แทบจะคำรามออกมา
ทำไมกันนะ ทั้งที่ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งพรรคเหยากวงมีนิสัยเป็นอิสระวางเฉย ลูกศิษย์พรรคเหยากวงควรจะสง่างามเฉกเช่นเซียน เป็นบุคคลที่นิ่งสงบวางเฉยเหมือนดั่งสายลมหิมะขาวมิใช่หรือ ทำไมต่อให้ประมุขผู้อาวุโสแท้ๆ อย่างเขาเดินผ่านหน้า จะต้องมีคำนินทาเหล่าลูกศิษย์แว่วตามหลังมาอย่างเหิมเกริม ให้ต้องได้ฟังเข้าหูแม้ไม่อยากได้ยิน
พวกเด็กเหลือขอเหล่านั้นพนันกันอีกแล้ว พนันกันว่าลั่วหยางสุดท้ายจะย้ายไปยังยอดเขารั่วสุ่ยหรือไม่ ได้ยินว่า เสวียนหั่วเจินจวินยังไปเป็นเจ้ามือ อาวุโสระดับก่อแก่นปราณพวกนั้น ต่างมีส่วนแบ่งทั้งนั้น! หรือว่าประมุขอาวุโสอย่างเขาผู้นี้ยังเข้มงวดไม่พอ
หลิวซางเจินจวินจู่ๆ ก็เกิดสำนึกผิดในหน้าที่ของตน ก็เผลอคิดนอกเรื่องโดยไม่รู้ตัว
เหิงตั๋วเจินจวินที่อยู่อีกด้านนั้นยังพูดต่อ “เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ได้การ ลั่วหยางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ตามหลักตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาควรให้เขาจัดการด้วยตัวเอง หากดับมอด หรือเกิดวางไว้นอกโถงพิธี…”
เสวียนหั่วเจินจวินถลึงตามอง “ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้วอย่างไรกัน ถึงเวลานั้น เขาก็ยังต้องเรียกข้าว่าเทียดอยู่ดี”
“พอได้แล้ว!” หลิวซางเจินจวินสูดหายใจเข้าลึกอย่างแรง แล้วตะคอกออกมา
เสวียนหั่วเจินจวินทำหน้าไร้เดียงสา “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรหรือ”
หลิวซางเจินจวินหน้าเขียวปัด พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พวกเจ้าควรคิดไม่ใช่หรือว่า หากลั่วหยางและชิงเฉิงและกลับมาไม่ได้จริง ควรทำเช่นใด”
เสวียนหั่วเจินจวินพูดราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว “ศิษย์พี่หลิวซางจะให้ทำเช่นใดก็ย่อมต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ท่านเป็นประมุขอาวุโสนี่นา”
หลิวซางเจินจวินแทบจะกระอักเลือดใส่หน้าเสวียนหั่วเจินจวิน โวยวายอยู่ตั้งนาน ผู้ซึ่งเอาแต่เดินไปเดินมาผู้นี้ คอยเป็นห่วงแต่เพียงว่าจะแต่งงานไม่ได้ เกรงว่าตระกูลเยี่ยจะไม่มีผู้สืบทอด แต่กลับไม่คิดว่าการที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่อยู่ในวันนี้ จะอธิบายกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างๆ อย่างไร
สูดหายใจอีกครั้ง แล้วมองไปทางเหิงตั๋วเจินจวิน
ใบหน้าอวบอ้วนของเหิงตั๋วเจินจวินประดับยิ้ม ดูแล้วอบอุ่นเป็นไมตรี “ทั้งหมดให้ศิษย์พี่หลิวซางตัดสินใจเลย”
หลิวซางเจินจวินตาเขียวปัด เขาได้เป็นประมุขอาวุโส เป็นกรรมของเขาแท้ๆ!
เขาลูบเครา มองไปยังกู้หลีลูกศิษย์ปิดสำนักของเขาด้วยความหวังเล็กๆ สุดท้าย
กู้หลีนั่งลงอย่างตามสบาย ไม่ได้นั่งอย่างวางท่าภูมิฐาน แต่ร่างกายกับดูเหยียดตรง เห็นหลิวซางเจินจวินมองมา ก็ยิ้มบางหนึ่งที “ท่านอาจารย์ที่เคารพอย่าได้กังวลไปเลย ศิษย์น้องลั่วหยางออกไปตามหาชิงเฉิน ไม่ว่าจะหาพบหรือไม่ เขาก็ต้องกลับมาให้ทันก่อนสิบห้าค่ำเดือนแปด สำหรับชิงเฉิน เหอกวงเข้าใจลูกศิษย์ของตนดี เว้นเสียแต่การเกิดและตายมันกำหนดไม่ได้ ขอเพียงมีแม้ลมหายใจเดียว นางก็จะกลับมา”
พูดจบเขาก็เงียบไป ราวกับถูก ความคิดบางอย่างอบรมเอาไว้ รู้สึกราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก
หลิวซางเจินจวินรู้สึกไม่สบายใจยังไม่รู้สาเหตุ ถามขึ้นว่า “หากไม่กลับมาเล่า”
กู้หลีชำเลืองขึ้น จอนผมสีเงินทั้งสองข้างกำลังแกว่งไหว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสง่าเบาๆ “หากกลับมาไม่ได้ ให้ศิษย์น้องลั่วหยางจัดพิธีก่อกำเนิดด้วยตัวเองก็พอ แล้วยกเลิกพิธีเข้าคู่บำเพ็ญ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับใครผู้ใดอีก”
หากกลับมาไม่ได้ ชิงเฉินต้องเผชิญกับเรื่องใหญ่เข้าแน่ๆ เขาหวังเพียงว่านางจะปลอดภัย นอกจากนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเล็ก
คำพูดของกู้หลี กลับทำให้หลิวซางเจินจวินตาสว่าง ใช่แล้ว ในวันนั้นมีการจัดพิธีขึ้นสองงาน ขอเพียงลั่วหยางอยู่ เพียงพอจะรับมือให้ผ่านไปได้แล้ว
ไกลออกไปนับพันลี้ เรือใหญ่อันหรูหราที่ประดับด้วยเสากระโดงแกะสลักลำหนึ่งบินเอื่อยๆ มาจากตะวันตก หญิงสาวในชุดชาววังสีแดงทั้งตัวคว้ารั้วกั้นลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองออกไปไกลยังเทือกเขาฟางจู
“ซิ่วเอ๋อร์ กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตกุ๊นริมผ้าด้วยสีทองสีขาวทั้งตัวค่อยเดินมาข้างกายนาง
หญิงสาวในชุดชาววังค่อยๆ หันกลับ ดวงตาทรงผลซิ่งคู่นั้นเปล่งประกาย ขับดุนใบหน้าให้ดูสว่าง นางขบริมฝีปากเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าเขา จะแต่งงานจริงๆ หรือเจ้าคะ”