ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 4 เปลี่ยนแปลง (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลังถูกโจมตีครั้งนี้ การป้องกันของเกาะฝูอวี้ก็เข้มข้นกว่าเดิมร้อยเท่า ตงฟางชิงฉีนำบรรดาศิษย์เหินกระบี่วนรอบเกาะหลายรอบนับร้อยลี้ มั่นใจว่าไม่มีบุคคลน่าสงสัยแล้ว จึงได้กลับขึ้นเกาะ และยังให้ศิษย์บนเกาะจัดกลุ่มเวรยามเล็กผลัดกันออกตรวจตรารอบนอก หากพบสถานการณ์น่าสงสัยก็ให้รีบมารายงานทันที

 

พวกฉู่เหล่ยกับเจ้าสำนักหลายคนไม่มีเวลาพัก ช่วยตรวจอาการคนบาดเจ็บบนเกาะและนับจำนวนคน ยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าว

 

พวกเสวียนจีล้วนบาดเจ็บกันคนละเล็กละน้อย จึงไม่มีใครมอบภารกิจให้รับผิดชอบ ทนรอถึงค่ำอยู่นาน ทุกคนจึงได้แอบเล็ดรอดการตรวจตราเข้มงวดบนเกาะ เหินกระบี่ไปยังหมู่บ้านฝูอวี้

 

หนุ่มสาวรวมกลุ่มกัน แต่ละคนยังบาดเจ็บ ยังต้องมากังวลเรื่องหลิงหลงและโซ่หมุดทะเล แต่ก็ยังคงมีเสียงพูดคุยและหัวเราะ ครึกครื้นอยู่มาก

 

ที่แท้ลู่เยียนหรานกลับมาช้าเช่นนี้ก็เป็นเพราะเสียเวลาไปไม่น้อย ระหว่างการค้นหาศิษย์ร่วมสำนัก เดิมคิดว่าศิษย์ร่วมสำนักไปแวะพักกันที่เขาไท่หัวซาน ผู้ใดจะรู้ว่าตนเองต้องตามไปถึงละแวกเขาหนานซาถึงจะไล่ตามพวกเขาทัน ได้ยินว่าเป็นเพราะระหว่างทางได้ยินเรื่องสำนักเซวียนหยวนบางเรื่อง ศิษย์ร่วมสำนักจึงคิดไปตรวจสอบข่าว

 

“ข้าว่านะ สำนักเซวียนหยวนนั่นน่ากลัวว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ลู่เยียนหรานดื่มสุราไปอึกหนึ่ง สีหน้าแดงก่ำ กล้ากล่าววาจามากอยู่สักหน่อย “ได้ยินคนแถวนั้นว่า หลายเดือนก่อนที่นั่นมีคนเข้าออกจำนวนมาก ราวกับจัดงานใหญ่อันใด ผู้ใดจะรู้ว่าไม่ทันถึงสองวันในสำนักก็ไม่มีคนอีกเลย กลายเป็นเมืองร้าง พวกเราเดิมว่าจะเข้าไปดูหน่อย แต่ก็กลัวเป็นความ จึงได้แต่เฝ้าดูอยู่หน้าประตูสองสามวัน ถึงกับไม่มีแม้แต่เงาครึ่งคนเข้าออก ข้างในไม่มีเสียงอันใดแม้แต่น้อย ข้าว่า…เกรงว่าคงหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับโซ่หมุดทะเล โชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว!”

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “สำนักเซวียนหยวนอย่างไรก็เป็นสำนักใหญ่ใต้หล้า ไม่ควรจะถูกคนกวาดล้างสำนักไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้ สำนักนี้ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับล่างล้วนมีบางอย่างแปลกประหลาด ไม่ใช่ลางดี ต้องระวัง”

 

ลู่เยียนหรานเผยรอยยิ้มบาง ส่งสายตาหวานเชื่อมให้เขา น่าเสียดายที่เขาราวกับคนตาบอด มองไม่เห็นแม้แต่น้อย กลับหันไปคีบอาหารให้เสวียนจีที่มือขวาบาดเจ็บ

 

กระดูกนิ้วหนึ่งในมือขวาของเสวียนจีหักจนต้องพันแผลไว้แน่น แม้แต่ตะเกียบก็ถือไม่ได้ ได้แต่ใช้มือซ้ายฝืน ‘หนีบ’ อาหารมากินได้นิดหน่อย สำหรับนางแล้ว การไม่ได้กินอาหารรสเลิศถือว่าเป็นการลงทัณฑ์อันแสนโหดร้าย อาหารมื้อนี้กินจนหน้าดำคร่ำเครียด

 

แต่เทียบกับคนที่พันแผลเต็มหัวตรงหน้าแล้ว กินข้าวไปยังตัองดึงรั้งผ้าพันแผลลงไปด้วยอย่างจงหมิ่นเหยียน นางก็กลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

 

หมู่บ้านฝูอวี้ใกล้ทะเล ลู่เยียนหรานสั่งอาหารทะเลหลายอย่างที่พวกเขาไม่เคยกิน บางอย่างแม้แต่พวกรั่วอวี้ที่เติบโตริมทะเลก็ไม่เคยเห็น ชนจอกสุราไปสามรอบ เถ้าแก่ร้านก็ยกปูทะเลนึ่งซีอิ๊วจานใหญ่เข้ามา เปลือกสีแดงสด ก้ามใหญ่คู่หน้ามองแล้วเหมือนกับกรรไกรอย่างไรอย่างนั้น

 

อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ แกะขาหนึ่งส่งให้เสวียนจี นางรับไป แต่กลับไม่กิน เอาแต่จ้องจนเหม่อลอยเป็นนานก่อนจะถอนหายใจกล่าวเบาๆ ว่า “หากหลิงหลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจขนาดไหน นางชอบกินปู…”

 

อยู่ๆ นางเอ่ยถึงหลิงหลง คนอื่นก็แล้วไป แต่จงหมิ่นเหยียนที่เพิ่งคีบเนื้อปูจะเข้าปากก็กินไม่ลงแล้ว ค่อยๆ วางไปอีกทาง รู้สึกปวดใจอย่างที่สุด

 

ลู่เยียนหรานเห็นก็รีบหัวเราะกล่าวว่า “รอนางมา ข้าค่อยเลี้ยงนางกินให้อร่อยยิ่งกว่านี้! ครั้งนี้ก็ถือว่าพวกเราแอบนางมากินละกัน!”

 

จงหมิ่นเหยียนฝืนหัวเราะขึ้นสองเสียง อยู่ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอารมณ์แรงกล้ามาจากไหน บีบจอกสุราแน่นกล่าวเสียงดังว่า “ข้าจงหมิ่นเหยียน หากหาหลิงหลงไม่พบ ชาตินี้ไม่ขอกลับสำนักเส้าหยาง!”

 

กล่าวจบก็ดื่มหมดจอกในอึกเดียว ยังเร่งให้ลู่เยียนหรานรีบเติม ทุกคนพากันส่งเสียงชมว่ายอดเยี่ยม ร่วมดื่มกับเขาหมดจอก กำลังครึกครื้นกันอยู่นั่นเอง ไหล่จงหมิ่นเหยียนถูกคนตี ทุกคนรีบเงยหน้ามอง เห็นตู้หมิ่นหังกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยสองคนสวมหมวกสาน เผยรอยยิ้มบางยืนอยู่ด้านหลัง

 

“เอ๋? ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง พวกท่านมาได้อย่างไร มาดื่มหรือ”

 

จงหมิ่นเหยียนยื่นจอกสุราตนเองให้ไป ตู้หมิ่นหังยิ้มผลักออกกล่าวว่า “อาจารย์มีคำสั่ง ให้ข้ากับหมิ่นเจวี๋ยกลับสำนักเส้าหยางก่อน ไปแจ้งให้ทุกคนเสริมการป้องกัน เกรงว่ามารปีศาจพวกนั้นจะออกอาละวาดไปทั่ว แล่นไปหาเรื่องสำนักเส้าหยาง”

 

ในใจทุกคนกระตุกวูบ จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “เช่นนั้น…อาจารย์ยังสั่งความอันใดอีกไหม ปีศาจพวกนั้นแท้จริงมาจากไหน…ยังมีโซ่หมุดทะเลนั่น…”

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยไม่เกรงใจ แย่งจอกสุราเขามาดื่มพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ผู้ใดจะรู้! เรื่องโซ่หมุดทะเล อาจารย์ไม่ได้บอกหรือว่าห้ามพวกเรายุ่ง แต่เจ้ากลับถามมากถามมายเช่นนี้!”

 

เขาเลือกก้ามปูมาก้ามหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้านี่บาดเจ็บแล้วยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ยังแอบออกมาดื่มสุราอีก รอให้ข้ากลับเส้าหยาง ค่อยฟ้องอาจารย์หญิงเรื่องเจ้าสองคน”

 

ทุกคนพากันลากเขาสองคนนั่งลงดื่มสุรากินปู ฝืนดื่มไปได้สองสามจอก ตู้หมิ่นหังรู้สึกกังวลเรื่องคำสั่งอาจารย์จึงได้เร่งให้เฉินหมิ่นเจวี๋ยไปปฏิบัติภารกิจกันก่อน หนุ่มสาวที่เหลือกินปูไปอีกหน่อยหนึ่งก็ดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว รู้สึกสบายใจมาก แต่ก็กลัวว่ากลับไปจะถูกคนได้กลิ่นสุราเข้า จึงขอใบชาจากเถ้าแก่ร้านมาจำนวนมาก ยัดใส่ปากเคี้ยวกัน ก่อนจะแอบลอบกลับเข้าเกาะฝูอวี้

 

เสวียนจีดื่มสุราไปไม่มาก กลับถึงห้องก็ล้มตัวลงนอนทันที นอนไปถึงยามเที่ยงคืน ก็รู้สึกว่าลมด้านนอกยิ่งพัดยิ่งแรง เหมือนมีคลื่นไหวบางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจคืบคลานเข้ามา ทำนางตกใจตื่น รู้สึกว่าหน้าต่างครึ่งบานด้านล่างมีลมพัดเข้ามา ด้านนอกมีเงาต้นไม้วูบไหว ซัดส่ายไปตามแรงลม เกิดเสียงลมเสียดสีต้นไม้ดังไม่หยุด

 

ดึกดื่นเที่ยงคืนสะดุ้งตื่นจากอาการเมา คอจะแห้งที่สุด นางขยี้ตาลงจากเตียงไปรินน้ำ ลมด้านนอกพัดเข้ามา นางพลันตกใจ กลิ่นอายปีศาจ!

 

ดูท่าแล้ว ตอนบ่ายคงปล่อยให้มารปีศาจฉวยโอกาสปะปนเข้ามายังเกาะฝูอวี้แล้ว

 

เสวียนจีคลุมเสื้อตัวนอก ถือกระบี่เปิงอวี้กระโดดออกจากทางหน้าต่าง คืนนี้ลมแรงมาก เมฆดำลอยทะมึนเป็นกลุ่มๆ บดบังดวงจันทร์ไว้ด้านหลัง รอบด้านเงียบกริบ มีแต่เสียงลม ลมพัดจนลืมตาไม่ขึ้น กลิ่นอายปีศาจโชยมาเป็นระยะ จับทิศทางไม่ได้ เสวียนจีได้แต่ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าลองค้นหาดู เดินตรงไปถึงสวนลานด้านหน้า มีคนนั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ พลันเงยหน้าเห็นนาง ทั้งสามพากันตะลึงงัน

 

“เสวียนจี” อวี่ซือเฟิ่งรีบเดินเข้าไปหา “ดึกเช่นนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังไม่นอน”

 

เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง “อ้อ…ข้า…พวกเจ้าก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรือ…”

 

ที่แท้พวกอวี่ซือเฟิ่งสามหนุ่มไม่ได้เจอกันนาน ย่อมมีเรื่องคุยกันมากมาย รู้สึกว่าในร้านอาหารมีผู้หญิงอยู่ด้วย คุยไม่สะใจ จึงได้แอบนำสุรากลับมาดื่มคุยกันต่อที่เกาะฝูอวี้

 

จงหมิ่นเหยียนค้อนขวับ “ถามเจ้าแค่นี้! เจ้าถามพวกข้าทำไม”

 

เสวียนจีลูบจมูก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกเหมือนว่าได้กลิ่นอายปีศาจ ดังนั้นจึงได้ตามกลิ่นมา พวกเจ้าไม่เห็นอะไรเลยหรือ”

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า จงหมิ่นเหยียนถอนหายใจกล่าวว่า “กลิ่นอายปีศาจอีกแล้ว…เกาะฝูอวี้จะมีกลิ่นอายปีศาจ? เจ้านี่ดมมาจากไหนกันแน่…”

 

รั่วอวี้กลับกล่าวว่า “จะว่าไป เหมือนเมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่าง แต่คิดว่าเป็นเสียงลม ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ ในเมื่อเสวียนจีกล่าวเช่นนี้ พวกเราไม่สู้ลองหาดู เกิดมีปีศาจปะปนเข้ามาจริง ก็จะได้เตือนทุกคนให้ระวัง”

 

จงหมิ่นเหยียนกำลังจะเงยหน้าดื่มสุราให้สะใจ อยู่ๆ ถูกขัดจังหวะ ก็ได้แต่ฮึดฮัดเข้าห้องไปหยิบกระบี่

 

“นี่ หากไม่มีปีศาจนะ เจ้าต้องชดใช้สุราให้ข้าสามไห” จงหมิ่นเหยียนถลึงตาใส่เสวียนจี พลันนึกถึงความทรงจำที่ตนไม่อยากจะระลึกถึงนักขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย วาจาต่อมาไม่อาจกล่าวออกมาได้อีก

 

เสวียนจีคว้าเปียที่บ่าแกว่งไปมา มองเขาท่าทางลำบากใจ รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีไม่ต้องไปสนใจเขา คนอย่างเขานี่นิสัยเหมือนเด็กน้อย หมิ่นเหยียน กลับไปข้าจะซื้อสุราดีให้เจ้าหลายๆ ไหเลยก็แล้วกัน อย่าดุร้ายใส่เด็กผู้หญิงอย่างนี้”

 

จงหมิ่นเหยียนเม้มปากท่าทางรำคาญ ถือกระบี่เดินไปด้านหน้าสุด กล่าวว่า “เอาละ ไปก็ไป! กลิ่นอายปีศาจอยู่ที่ใด? เสวียนจี เจ้ามานำทาง!”

 

เสวียนจีพยักหน้า กำลังจะออกเดินก็เหมือนบนศีรษะมีแสงวาบมาจากท้องฟ้า แสงสีส้มแดงกระทบใบหน้าจงหมิ่นเหยียน ใบหน้าของเขาฉายแววประหลาดใจ

 

“อะไร…อีกล่ะ?” เขาเงยหน้า ชี้ไปยังแสงไฟสีแดงด้านบน ราวกับดาวตก ไกลออกไปราวกับหิ่งห้อยในหน้าร้อน แต่แสงก็สว่างวาบราวกับดวงดาวที่ลุกไหม้

 

ทุกคนพากันมองแสงสีแดงส้มที่ค่อยๆ ตกลงมานั่นอย่างงุนงง มาจากทางมุมท้องฟ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั่น พริบตาก็มีเสียงเคาะไม้กรับดังขึ้นอย่างเร่งร้อน มีคนกำลังตะโกนดังว่า “ไฟไหม้! รีบเอาน้ำมา!”

 

อวี่ซือเฟิ่งได้สติคนแรก รีบวิ่งออกไปทันที พลางร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ได้การ! มีปีศาจมาโจมตีแล้ว!”

 

ครั้งนี้ที่โยนมาไม่ใช่ระเบิด หากเป็นธนูที่ติดไฟนับไม่ถ้วน

 

ในที่สุดทุกคนก็ได้สติพากันวิ่งมุ่งไปทางประตูใหญ่พร้อมกัน มองเห็นตงฟางชิงฉีกับพวกฉู่เหล่ยยืนอยู่ตรงนั้นมาแต่ไกล พวกเขาจะหลบก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ฝืนปั้นหน้านิ่งเดินเข้าไป ได้ยินเพียงเสียงตงฟางชิงฉีสั่งการให้บรรดาศิษย์ดับไฟอย่างไม่ร้อนรน เขายุ่งมาทั้งวัน ไม่ทันได้พักผ่อน ตอนนี้เส้นเลือดในตาแดงก่ำ

 

สั่งการเรียบร้อยแล้ว เขากำลังจะนำศิษย์รุ่นใหญ่สิบกว่าคนเหินกระบี่ขึ้นไปกำจัดปีศาจด้วยตนเอง กลับถูกฉู่เหล่ยดึงไว้ ถอนใจกล่าวว่า “ข้ากับเจ้าหุบเขาหรงไป เจ้าอยู่เฝ้าเกาะ อย่าให้เด็กๆ แตกตื่นตกใจ”

 

ตงฟางชิงฉีกำลังจะค้าน กลับเห็นบรรดาศิษย์ที่ป้องกันอยู่นอกประตูวิ่งมาอย่างแตกตื่นตกใจ หลายคนด้านหลังมีไฟลุกติดเสื้อมาด้วย วิ่งมากันอย่างเสียสติ พลางส่งเสียงร้องตะโกนไม่เป็นภาษา “เจ้าสำนัก! ปีศาจพวกนั้นเข้าโจมตีแล้ว!”

 

ในใจเขาบีบแน่น ถูกฉู่เหล่ยผลักทีหนึ่ง “อยู่นี่!” พอหันไปมองอีกที ฉู่เหล่ยกับเจ้าหุบเขาหรงก็นำศิษย์รุ่นใหญ่สิบกว่าคนเหินกระบี่ไปไกลแล้ว เขาเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะยกมือประคองหลังที่เต็มไปด้วยเปลวไฟของศิษย์คนหนึ่ง เจ็บปวดใจยิ่งกล่าวว่า “ใครมานี่หน่อย! เอาน้ำมา!”

 

สิ้นเสียง ด้านหลังก็มีศิษย์หลายคนยกถังน้ำเข้ามาสาดใส่เสียงดังซ่า เปลวไฟบนตัวคนเหล่านั้นจึงดับมอดลงทันที แต่แผลไฟไหม้ย่อมเลี่ยงไม่ได้

 

ตงฟางชิงฉีลูบใบหน้าที่เปียกมะลอกมะแลก ชักกระบี่ที่เอวออกมาสั่งการเฉียบขาด “เจินหลัน รุ่ยเยว่! พวกเจ้าดูแลศิษย์พี่ศิษย์น้องที่บาดเจ็บพวกนี้! เพียนเพียน อวี้หนิง พวกเจ้าป้องกันทางเข้าให้แน่นหนา!”

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ ประตูใหญ่ก็มีกลุ่มปีศาจชุดดำเหน็บห่วงเหล็กขาวพากันกรูเข้ามาราวกับคลื่นน้ำ กลุ่มตรงหน้าไม่รอให้พวกเขาเข้าโจมตี กลับพากันย่อตัวลงน้าวธนูพร้อมกัน บนคันธนูล้วนเป็นลูกธนูติดไฟ เสียงเฟี้ยวดังลอยมาไม่กี่ที ยิงมาตามทิศทางลมพอดี บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ได้แต่ตวัดกระบี่ปัดป้องธนูไฟเหล่านั้นที่แม้ตกลงพื้นก็ยังคงติดไฟต่อ ในเวลานี้ไม่อาจสนใจจะเอาน้ำมาดับไฟแล้ว ไฟต้องลมก็ยิ่งขยายวง คืนนี้ลมแรงจัด พัดมารอบด้าน ทำเอาเปลวไฟยิ่งโหมรุนแรงสูงราวตัวคน ยามคับขันทำเอาทุกคนมือไม้ลนลาน

 

หมู่ปีศาจร่วมกันบุกเข้ามา โรมรันต่อสู้กับบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ ตงฟางชิงฉีโดนธนูดอกหนึ่งเข้าที่หัวไหล่ เสื้อผ้าถูกเผาเป็นรู เขาตวัดกระบี่ค่อยๆ ตัดปลายธนูออก กัดฟันตวัดกระบี่ฟันใส่มารปีศาจด้านหน้าหลายตนล้มลงกับพื้น ข้างๆ มีศิษย์ถูกไฟเผาส่งเสียงร้องไห้ดังน่าสงสารราวจิตใจแตกสลาย เขาอดตกใจตัวสั่นไม่ได้ กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ป้องกันไว้! ป้องกันไว้!”

 

ด้านหลังพลันมีคนรีบเร่งเข้ามา อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าเกาะ พวกเรามาช่วย!”

 

เขาห้าคนกระจายตัวกันเป็นแถว เปล่งพลังกระบี่ออกไป ทันใดนั้นก็ทำเอาหมู่ปีศาจที่บุกเข้ามาต้องผ่อนกำลังลง ตงฟางชิงฉีพอเห็นว่าเป็นพวกเขา ในใจรู้สึกผ่อนคลายลง คลี่ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ไม่เลว! ขอบคุณ!”