ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 364 ท้ารบดาบจักรพรรดิ

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่ยืนตระหง่านกลางท้องฟ้า ดาบบินยี่สิบสี่เล่มรวมเป็นดาบยักษ์ มือขวาถือดาบ ตั้งขวางไว้กลางอก

เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งหลายพันคน กองทัพหลายหมื่นนาย หลี่มู่ไม่หวาดหวั่นเลย

เขาต้องการท้าสู้ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิง ปลุกขวัญกำลังใจทหารฝ่ายตัวเอง

ทว่า ขันทีเฒ่าผมเคราขาวดุจหิมะบนเรือวาฬทะยานฟ้ายืนตัวสั่นโงนเงน ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับคำท้าทายระบุตัวของหลี่มู่เลย แม้แต่หนังตายังไม่เลิกขึ้นสักนิด

กลับเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังเหยี่ยวถลาลมเหยียนหรูอวิ๋นที่แค่นเสียงขึ้นจมูก พูดเสียงดังว่า “หลี่มู่ เจ้าเป็นไท่ไป๋อ๋องของจักรวรรดิ มีเกียรติยศชื่อเสียง แต่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณจักรพรรดิ กลับมาสมคบคิดกับสำนักขุนคีรีพรรคพวกที่เหลือของต้าเยวี่ย ซ้ำยังเป็นพวกเดียวกับชิวอิ่นศิษย์ล้างครูนี่อีก เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?”

หลี่มู่แกว่งดาบยาว “เป็นตัวประกอบก็รู้ตัวหน่อย ไปตายทางโน้นเลย”

“เจ้า…” เหยียนหรูอวิ๋นอกแทบระเบิด

เขาชาติกำเนิดสูงส่ง ทั้งยังเป็นสหายเรียนหนังสือขององค์รัชทายาท เคยถูกปรามาศแบบนี้เสียที่ไหน?

และท่าทางของหลี่มู่ก็ไม่ใช่เพื่อยั่วโมโหเขา แต่มองเขาเหมือนต้นหญ้าไร้ค่าจริงๆ

เหยียนหรูอวิ๋นอยากโต้กลับ แต่องค์รัชทายาทกลับโบกมือ สื่อไม่ให้เขาพูดอะไรอีก ตัวเองเดินก้าวไปข้างหน้า “หลี่มู่ ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นไท่ไป๋อ๋องเป็นกรณีพิเศษเพราะหวังจะให้เจ้าทำเพื่อบ้านเมือง จงรักภักดีต่อราชวงศ์ เดิมเจ้าเป็นแค่ขุนนางเมืองต่ำต้อย ก้าวหน้ารุ่งเรืองเพียงชั่วข้ามคืนได้ นี่เป็นเกียรติอันสูงสุด ผู้คนต่างอิจฉากัน ใครจะคิดว่าเจ้ากลับไม่รู้จักรักตัวเอง มาเป็นพวกเดียวกับผู้ทรยศพวกนี้ ช่างทำให้ข้าผิดหวังนัก ข้า…”

เขายังพูดไม่ทันจบ หลี่มู่ก็โบกดาบวัฏจักรในมือไปข้างๆ อีกครั้ง “ตัวประกอบไปตายทางอื่น”

รัชทายาทอึ้งไปทันที สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ข้า…ก็เป็นตัวประกอบ?

ตอนนี้เอง ดาบในมือหลี่มู่วาดแนวขวาง ความคิดพลันเปลี่ยนไป

คิดจะเอาชนะ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงนั้นหวังสูงไปแล้ว เขาออกมาท้ารบก็แค่จะสู้กับอิ้งซานเสวี่ยอิงไม่ให้แพ้ในสามกระบวนท่า ยกระดับพลังธาตุดินขึ้นสักหน่อย จากนั้นก็หดหัวกลับไป แต่ตอนนี้คิดให้ละเอียดแล้วแบบนี้ก็แก้ปัญหาไม่ได้เหมือนกัน มิสู้…

สายตาของเขาหยุดที่รัชทายาท

หากจับเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์แบบนี้ไป ฝ่ายตรงข้ามก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง น่าจะยืดเวลาได้ช่วงหนึ่ง

สิ่งที่เหล่าคนสำนักขุนคีรีขาดมากที่สุดก็คือเวลานี่เอง

“ฮ่าๆ ลับดาบมาครึ่งปี วันนี้จะได้ออกศึกแล้ว คมดาบยังไม่มีคนมาลอง องค์รัชทายาท เลือดจากคอของท่านข้าจะขอเอามาสังเวยเปิดคมดาบได้หรือไม่?”

พอคิดได้ หลี่มู่ก็ไม่ลังเล ลงมือทันที

ดาบวัฏจักรสะท้อนประกายแวววาว ปราณดาบพุ่งทะลุฟ้า

หลี่มู่กุมดาบวัฏจักร เมื่อแสงกะพริบวาบ คนและดาบก็รวมเป็นหนึ่ง แล้วพุ่งไปยังเรือวาฬทะยานฟ้าประดุจสายอัสนี

คลื่นอากาศที่เกิดจากความเร็วเหนือเสียงแผ่ระลอกเป็นวง เหมือนผิวน้ำราบเรียบในสระที่จู่ๆ ไหวกระเพื่อม

คมดาบไร้เทียมทาน

รัชทายาทรู้สึกได้ถึงความคมกริบเกินจะเปรียบที่พุ่งปะทะมา หน้าเปลี่ยนสีถอยหลังไปทันที ลนลานร้องว่า “ต้านเอาไว้!”

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนลอยตระหง่านอยู่กลางฟ้า ก่อนจะบุกไปพร้อมกันตามสัญชาตญาณ

“ไม้ซีกรึอ่านงัดไม้ซุง…หลีกไป”

เพลงดาบวัฏจักรของหลี่มู่ชะงักเล็กน้อยแล้วฟันออกไป จากนั้นแสงดาบราวหิมะโปรยปรายก็เปล่งประกายออกมา

สังหารรอบทิศ

กลางท้องฟ้าดังระงมด้วยเสียงร้องน่าสังเวชทันที

ประกายเลือดสาดส่อง

ละอองเลือดพุ่งกระจาย

ร่างเงาของผู้แข็งแกร่งที่พุ่งเข้ามากระเด็นกลับไปเร็วยิ่งกว่าตอนบุก บาดเจ็บล้มตายสาหัส

ร่างของหลี่มู่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสงดาบ แหวกฟ้าออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เพียงพริบตาพุ่งผ่านทหารที่มาสกัดเป็นชั้นๆ พวกนั้นได้ ชั่วเสี้ยวขณะก็เกือบจะไปถึงเรือวาฬทะยานฟ้าแล้ว

“รนหาที่ตาย!”

เหยียนหรูอวิ๋นเตรียมตัวไว้นานแล้ว เหนี่ยวธนูทองวิเศษทันใด ปราณแท้ไหลวน ชั่วเวลาที่สายธนูสั่นไหว ลูกธนูสีทองดอกใหญ่ก็ถูกยิงออกไปแล้ว

แสงเทพในดวงตาหลี่มู่หมุนวน

“ไม่รู้จักประมาณตน”

เขาตวัดดาบในมือย้อนกลับ ในเวลาเสี้ยวพริบตา ลูกธนูใหญ่ดอกนี้ถูกสะท้อนกลับไป

“อ๊าก…” เหยียนหรูอวิ๋นขั้นเหนือมนุษย์ตั้งตัวไม่ทันแม้แต่น้อย ส่งเสียงร้องโหยหวน ลูกธนูที่ตนยิงออกไปดอกนี้กลับทะลุไหล่ซ้ายของตัวเอง พลังมหาศาลลากเขาลอยถอยหลังไปตรึงอยู่บนเสากระโดงไกลๆ หางธนูยังคงสั่นไหวดังหึ่งๆ ไม่หยุด จากนั้นมีเสียงดังแกรก เสากระโดงเรือไม้ผสมเหล็กเส้นผ่านศูนย์กลางสามจั้งหักโค่นลงจากตรงกลาง…

บนเรือวาฬทะยานฟ้าอลหม่านไปหมด

นี่เป็นพลังแห่งเทพสวรรค์ชัดๆ

และในชั่วขณะเดียวกัน หลี่มู่มาถึงหัวเรือวาฬทะยานฟ้าแล้ว

ภายใต้การปะทุของแสงดาบและปราณดาบ ผู้แข็งแกร่งกับองครักษ์ที่อยู่รอบๆ ก็ม้วนตลบกระเด็นออกไปเหมือนเปลือกข้าวท่ามกลางลมคลั่ง

ร่างหลี่มู่กะพริบวาบเข้ามาใกล้อีกครั้ง ปลายดาบชี้ไปที่รัชทายาท

ภายใต้การปกคลุมของปราณดาบ สนามพลังแผ่ขยายมา รัชทายาทเหมือนตกใจจนกลายเป็นคนโง่งม ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

เห็นดาบนี้ใกล้จะฟันลงบนร่างของรัชทายาทแล้วเต็มที จิตสังหารของหลี่มู่ก็เก็บลงไปเล็กน้อย ตั้งท่ายกดาบยื่นมือไป กำลังจะจับตัวรัชทายาทไว้…

ในตอนนี้เองกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

เบื้องหน้าของหลี่มู่พร่าเลือน

เห็นมือข้างหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ก่อนจะรับดาบยาวเอาไว้

มือเหี่ยวย่นข้างนี้อ่อนแอ ผิวเหมือนเปลือกส้มตากลมจนแห้ง เล็บขาวซีดแฝงไอความตายจางๆ ไว้ มองเผินๆ เหมือนฝ่ามือของคนตายที่คืบคลานออกมาจากโลงที่ฝังดินไปแล้ว ช้าเนิบ งุ่มง่าม และแข็งทื่อ…

ทว่ามือข้างนี้กลับรับดาบวัฏจักรที่พลังไร้ใดเทียมของหลี่มู่ไว้ได้อย่างเบาสบาย เนิบช้า และคาดไม่ถึง

ฝ่ามือแห้งเหี่ยว ดาบคมเงาแวววาว

เปรียบเทียบระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้วช่างน่าพรั่นพรึงนัก

แต่หลี่มู่กลับพบว่าในชั่วพริบตา ดาบวัฏจักรเหมือนถูกหลอมเข้าไปในเหล็กเทวะ ไม่อาจฟันลงไปได้อีกแม้แต่น้อย และไม่อาจขยับได้เช่นกัน

ขันทีเฒ่าที่ตัวสั่นงันงกคล้ายจะถูกลมพัดจนร่างกระจายได้ทุกเวลา ไม่รู้ว่ามาต้านไว้ข้างหน้ารัชทายาทตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาชราขุ่นมัวลืมขึ้นเล็กน้อย ในลูกตาขาวเทาเต็มไปด้วยเส้นเลือดดั่งงูเลื้อย ไม่เหมือนดวงตามนุษย์ แต่เหมือนตาของศพ จ้องหลี่มู่อย่างเหี้ยมโหดอยู่เช่นนั้น

‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิง…ในที่สุดก็ลงมือแล้ว

“หลีกไป!”

หลี่มู่ตะโกน พลังเทพทั้งร่างปะทุ คิดจะดึงดาบวัฏจักรออกมา

ต่อให้เป็นภูเขาสูงพันจั้งก็ยังต้องถล่มเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังเทพเช่นนี้

หลี่มู่มั่นใจในพลังกายของตัวเองเป็นที่สุด

ทว่า…คมดาบกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ดาบวัฏจักรดึงออกมาไม่ได้เลย

“เอ๋?” ครั้นสัมผัสได้ถึงการขยับเขยื้อนของดาบ ในดวงตาที่เหมือนคนตายไปแล้วของอิ้งซานเสวี่ยอิงก็ฉายคลื่นอารมณ์อย่างคนเป็นออกมาในที่สุด

แต่ก็เพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น

“ฮ่าๆ” เขาเหมือนจะรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย็น พลังฟ้าดินในบริเวณสิบลี้รวมตัวเข้ามา

เนตรสวรรค์ของหลี่มู่มองเห็นลมเมฆหมุนวน ตาข่ายพลังงานซ่อนเร้นนับไม่ถ้วนควบรวมกันอย่างหนาแน่น ปกคลุมร่างของอิ้งซานเสวี่ยอิงไว้ หากบอกว่าตาข่ายพลังงานซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นจากพลังฟ้าดินของคนอื่นเหมือนตาข่ายตาห่าง เช่นนั้นตาข่ายพลังงานของเสวี่ยอิงก็เหมือนผ้าขาวบางที่ถี่ยิบ ตาข่ายพลังงานชนิดนี้ปกคลุมเพิ่มพลังให้กับร่างกาย แขน และนิ้วทั้งห้าของเขา ทำให้เขาประหนึ่งหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินผืนนี้แล้วโดยสมบูรณ์

ดาบวัฏจักรเหมือนประสานไปในฟ้าดินผืนนี้ ยากจะขยับเขยื้อนได้เช่นกัน

“ผู้เยาว์…อัจฉริยะอย่างเจ้านี้ ข้าสังหารมาแล้วอย่างน้อยพันคน”

อิ้งซานเสวี่ยอิงเปิดปาก เสียงเอ่ยเหมือนไม้ผุๆ สองท่อนเสียดสีกัน แหบแห้ง ไม่เสนาะหู และน่ากลัว

ตาข่ายพลังงานที่ไร้รูปร่างชั้นหนึ่งแผ่ลามตามดาบวัฏจักรมายังร่างและแขนของหลี่มู่ ต้องการจะพันธนาการเขาไว้

หลี่มู่ปล่อยมืออย่างไม่ลังเล

เขาปล่อยด้ามดาบ ร่างกะพริบวาบลอยลงบนหัวเรือ ก่อนจะยืนท่านั่งม้า กางขายืนมั่น

ท่าพื้นฐานของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เขาฝึกมาแล้วไม่รู้ต่อกี่รอบ จึงทำได้สมบูรณ์ในพริบตา หลี่มู่ยกมือขึ้นโจมตีหมัดหนึ่งออกไป เป็นท่า ‘ค้อนทะยานฟ้า’ นั่นเอง

“เหอะๆ” มือเหี่ยวชราที่สั่นเทาของอิ้งซานเสวี่ยอิงซัดกระบวนท่ามือป้ายคว้าทุ่ม[1]ออกไปเช่นกัน

ครืน!

เรือวาฬทะยานฟ้าทั้งลำสั่นไหว

พื้นกระดานใต้ฝ่าเท้าหลี่มู่ดังเปรี๊ยะก่อนจะหักออก

เขารู้สึกว่าเหมือนหมัดเดียวสะเทือนทั้งโลก พลังสะท้อนกลับโจมตีมาอย่างบ้าคลั่ง ครึ่งตัวเหมือนจะชาไร้ความรู้สึก จึงออกกระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ อย่างไม่ลังเล ซัดออกไปหมัดหนึ่งทันที พลังที่น่าครั่นคร้ามแผดเสียงออกจากร่างเขาราวมังกรพยัคฆ์คำราม พลังอันเหลือเชื่อปะทุออกไปจากหมัดนี้

“หึๆ” คิ้วยาวขาวโพลนของอิ้งซานเสวี่ยอิงปลิวลอยขึ้นมา ตาลืมขึ้นเต็มที่ และออกท่ามือป้ายคว้าทุ่มอีกครั้ง

เปรี๊ยะ

ไม้กระดานใต้ฝ่าเท้าหลี่มู่กลายเป็นฝุ่นธุลี ทั้งตัวเขากระเด็นลอยออกไปทันควัน

แขนปวดร้าวปานกระดูกหัก

แต่หลี่มู่ปรับสมดุลท่าทางกลางอากาศ ซัดออกมาสองหมัดติดๆ กันอีกครั้ง

‘ทลายสวรรค์’ และ ‘รวบหางยูง’ จากหมัดยุทธ์แท้ถูกสำแดงออกมาอีกหลายครั้งโดยไม่ออมมือแม้แต่น้อย เสาหมัดโปร่งแสงสองต้นประดุจกระบี่เทพเจิดจ้าฉีกทึ้งท้องฟ้า แหวกอากาศโจมตีไปยังอิ้งซานเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนหัวเรือเหมือนระเบิดพลังงานก็ไม่ปาน

อิ้งซานเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่หลีก ยกฝ่ามือข้างเดียวขึ้นแล้วผลักออกไป

พลังฟ้าดินหมุนวน กำแพงตาข่ายพลังงานซ่อนเร้นที่ไร้รูปร่างปรากฏขึ้น ต้านรับเสาหมัดสองต้นนี้เอาไว้ทั้งหมด

แผ่นกระดานใต้เท้าเขาแตกเป็นรอยแยกมากมายอย่างไร้สุ้มเสียง

และตอนนี้ ข้างกายองค์รัชทายาทก็มีองครักษ์ยืนอยู่เต็มไปหมดแล้ว ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งก้งเฟิ่งขั้นเหนือมนุษย์ของเชื้อพระวงศ์อยู่ด้วย

หลี่มู่เห็นแวบแรกก็รู้ คิดจะจับตัวรัชทายาทนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว

‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้แข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงขั้นสุดยอด เหมือนกับเหวลึกเกินหยั่งอย่างไรอย่างนั้น ไพ่ตายทั้งหมดของหลี่มู่แทบจะใช้ออกมาหมดแล้ว แต่ต่อให้เป็นไม้ตายอย่าง ‘หมัดยุทธ์แท้’ ก็ไม่อาจสร้างคลื่นกระทบแม้เพียงเศษเสี้ยวให้กับเหวลึกนี้เลย เทพสังหารที่สามารถทำให้พวกสวีเซิ่งหวาดกลัวได้ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ

อันที่จริงในใจของหลี่มู่ก็เข้าใจเรื่องนี้ดี

เขาใช้พลังขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่งสังหารหวงเซิ่งอี้ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

หากเขาไม่ได้ฝึกไฟแท้แห่งเต๋าจักรพรรดิเพลิงจาก ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ มาได้ วันนั้นอย่างมากก็แค่ประคองให้เสมอกับหวงเซิ่งอี้เท่านั้น การโจมตีสังหารหวงเซิ่งอี้ แม้แต่หลี่มู่เองก็ยังไม่คาดคิด สาเหตุนั้นเป็นเพราะพลังข่มกัน หวงเซิ่งอี้เล่นกับไฟก็ถูกไฟแผดเผาสิ้นเสียเอง

ด้วยพลังฝึกและพลังขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่งของหลี่มู่ในตอนนี้ เขาแข็งแกร่งกว่าขั้นเหนือมนุษย์คนอื่น มีพลังที่สามารถฝืนสู้กับเทวะได้แน่นอน

…………………………………………………… 

[1] มือป้ายคว้าทุ่ม เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสุดยอดวิชาเส้าหลิน