ตอนที่ 235 ช่างเป็นวิธีที่ดีจริง (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเจ้านายพูดอะไร แต่ก็รู้ว่าเหตุการณ์ขณะนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัว 

 

 

“ฝ่าบาท เราจะเพิ่มคนไปค้นหาใต้เท้าชิวหรือไม่ แม้เขาจะจากไปเช้านี้ แต่ทางออกทุกทางเราส่งคนไปดักไว้แต่แรกแล้ว พวกเขามีคนไม่น้อย ไม่น่าจะเสี่ยงออกจากเมืองตอนนี้” 

 

 

ไป๋หลี่ชูทำท่าทางให้เขานำดอกซิ่งฮวาบนขอบหน้าต่างไปล้าง ซวงไป๋เห็นท่าทางเหมือนทองไม่รู้ร้อนของเจ้านาย จึงได้แต่นำช่อดอกซิ่งฮวาบนขอบหน้าต่างไปแช่ในถาดเงินแล้วใช้น้ำล้าง 

 

 

ไป๋หลี่ชูมองดูน้ำในกาผลึกแก้วที่กำลังเดือดปุดๆ กล่าวเนือยๆ ว่า “ถอนคนกลับมา หอซ่อนกระบี่มีฐานะในยุทธจักรไม่ธรรมดา ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ถ้าพวกเขาไร้ความสามารถขนาดหาที่ซ่อนตัวให้เจ้านายยังไม่ได้ ก็คงไม่ยืนหยัดในยุทธจักรจนถึงวันนี้แล้ว” 

 

 

ซวงไป๋งงงัน คิดอีกทีที่เจ้านายว่าก็มีเหตุผล เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เอ่อ…เจ้าโจวอวี่ แล้วยังมีท่านราชครูควรจัดการอย่างไร” 

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นซวงไป๋ล้างดอกซิ่งฮวาสองก้านเสร็จแล้วและแช่ไว้ในอ่าง จึงเอื้อมมือลูบคลำกลีบซิ่งฮวาที่แช่น้ำอยู่ “ให้พวกเขาไปเถิด ถึงถนนแล้วย่อมมีคนพาพวกเขาไปหาเสี่ยวไป๋เอง” 

 

 

“หากเป็นเช่นนี้…” ซวงไป๋ตาเป็นประกายเหมือนอยากพูดอะไร 

 

 

ไป๋หลี่ชูกลับขัดคำ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าว่าไม่ต้องก็ไม่ต้อง ต่อให้เจ้าส่งคนไปตามก็หลุดจนได้ มีอาเจ๋ออยู่ข้างกายเสี่ยวไป๋ก็ไม่ต้องกังวล” 

 

 

เขาหยุดลงแล้วพลันกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋อาจส่งคนไปพาอาเจ๋อกับโจวอวี่ถึงที่ก็ไม่แน่” 

 

 

ซวงไป๋ไม่อยากเชื่อ เลิกคิ้วกล่าวว่า “นี่…ใต้เท้าชิวคงไม่กล้าเหิมเกริมเพียงนี้กระมัง” 

 

 

ไป๋หลี่ชูร้องเฮอะ “ใครจะไปรู้” 

 

 

ความจริงในเวลาต่อมาพิสูจน์แล้วว่า คนผู้นั้นส่งคนมาหาถึงที่และพาคนออกไปจริงๆ เป็นความ 

 

 

เหิมเกริมชนิดไม่เกรงว่าไป๋หลี่ชูจะคลำเถาเด็ดแตงฉวยโอกาสจับตัวไปด้วยซ้ำ 

 

 

ซวงไป๋เงียบไปครู่หนึ่งไม่ออกความเห็น แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฝ่าบาท การที่ท่านตื่นจากหลับใหล จะทำให้เสียพลังหรือไม่ ขืนเป็นเช่นนี้บ่อยๆ หากมีเรื่องจำเป็นขึ้นมาท่านจะไม่ตื่นนะ และท่านราชครูก็ไม่อาจปฏิบัติภารกิจได้เหมือนท่าน…” 

 

 

“มันมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนข้าจึงต้องทำเช่นนี้ ก็รู้ว่าเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าคราวที่แล้ว” ไป๋หลี่ชูกล่าวเนือยๆ 

 

 

เดิมทีเวลาที่เขาตื่นขึ้นสั้นหน่อย แต่เพราะวันเวลานานแล้วและอายุมากขึ้น เวลาที่เขาตื่นอยู่จึงมากกว่าอาเจ๋อเพียงสามารถรับรู้จิตใจบางอย่างของคนและเรื่องที่เขาใส่ใจเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนตัวเขาเองแม้อยู่ระหว่างหลับใหลยังคงรับรู้อย่างชัดเจนว่าอาเจ๋อกำลังทำอะไรอยู่หรือเห็นอะไรบ้าง 

 

 

แต่เหมือนกับครั้งก่อนที่เขาฝืนใจบังคับตัวเองให้ตื่นขึ้น แย่งอำนาจการควบคุมร่างกาย หลายปีมานี้เพิ่งทำเป็นครั้งที่สอง สูญเสียพลังไปมากโขจนทำให้ช่วยเสี่ยวไป๋ไว้ได้ และเมื่อพบกับพวกองครักษ์ 

 

 

ค่งเฮ่อเจียนแล้ว ก็อ่อนล้าจนตกสู่ภวังค์และหลับใหลไปอีกครั้ง 

 

 

ถ้ามิใช่ซวงไป๋กับอีไป๋ช่วยกันเดินพลังภายในส่งเข้าไปในตัวเขาไม่น้อย เกรงว่าคงมิอาจฟื้นคืนสติก่อนเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้นมา 

 

 

ทว่า เทียบกับการฝืนตื่นขึ้นมาครั้งแรก ความสดชื่นและพลังกลับคืนมาเร็วกว่ามาก อาจบางทีสักวันหนึ่งเขาจะสามารถควบคุมการตื่นหรือการหลับใหลของตนเองได้ตามใจชอบ 

 

 

“ฝ่าบาทยังคงโปรดระมัดระวัง” แม้ซวงไป๋จะเชื่อมั่นในความสามารถของผู้เป็นนาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงวิตกอยู่บ้าง เพราะสภาพร่างกายของเจ้านายพิเศษมาก 

 

 

ยังดีที่นิสัยของท่านราชครูเรียบง่าย หลังตื่นขึ้นมาอยู่ในวังก็ปิดประตูทั้งวันไม่พบใครเลย วันๆ เอาแต่สวดบทภาวนาและถือศีลกินเจ ต่อให้องค์จักรพรรดิหรือพระพันปีรับสั่งให้เข้าเฝ้าหรือให้ทำพิธีทำนายขอพร ก็ยังไม่อยากไปทำพิธีที่วังไหว้ด้วยซ้ำ จนใต้ฝ่าพระบาทกับพระพันปีต้องพาคนในวังไปทำพิธีที่วังไหว้เอง 

 

 

ราศีของท่านราชครูกับฝ่าบาทห่างชั้นกันอยู่มาก ไม่มีใครจะนึกถึงคนทั้งสองพร้อมกัน และฝ่าบาทวางหมาก ‘แย่งตัวราชครูไว้’ หลายปีมานี้จึงสงบไร้เรื่องราว และไม่มีใครพบว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง 

 

 

ซวงไป๋ลังเลครู่หนึ่งพลันกล่าวว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าชิวจากไปครานี้พวกเราแทบจะจนปัญญาขัดขวาง หากวันหน้าใต้เท้าเกิดเบื่อ…วันเวลาที่ถูกควบคุมเช่นนี้ และสะบัดหน้าจากไป…” 

 

 

ถึงอย่างไรสำนักอาจารย์ของเขาก็อยู่ในยุทธจักร ย่อมรู้ดีว่าแม้ชาวยุทธจักรจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและผลประโยชน์เช่นคนทั่วไป แต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ที่พวกเขาแสวงหาเป็นชื่อเสียงประเภทกระบี่ทะลุฟ้า ทวนยาวทะลวงห้าขุนเขาเฉกเดียวกับยอดฝีมือมรรคาบู๊เช่น ต๊กโกวคิ้วป้ายที่เป็นที่แซ่ซ้องในยุทธจักร และผลประโยชน์ที่ใครๆ ในยุทธจักรพูดถึงเป็นต้องให้ความนับถือ ต่อให้เป็นนักบู๊สายอธรรมเช่นมหาโจรที่ฆ่าคนล้างตระกูลได้เพียงเพื่อเงินทอง ก็ยังคงรังเกียจที่จะยอมสยบต่อทางการ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ที่มีฐานะสูงล้ำเหนือคนทั้งปวง 

 

 

เขาเคยอาศัยสายสัมพันธ์ส่วนตัวไหว้วานคนช่วยสืบข่าวเกี่ยวกับชิวเยี่ยไป๋ ปรากฏว่าตั้งแต่ยังมิได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ คุณชายสี่เย่ก็ชื่อเสียงกระฉ่อนอยู่แล้ว เคยมีคนเขียนโศลกบรรยายคุณชายสี่เย่ไว้ว่า…ศิลามิหมุนตามสายน้ำ กระจ่างดุจจันทรา คุณชายย่างมากับราตรีกาล ทิ้งกลิ่นนานหอมเย็นทั่วไพรพนา 

 

 

“ศิลามิหมุนตามสายน้ำ กระจ่างดุจจันทรา คุณชายย่างมากับราตรีกาล ทิ้งกลิ่นหอมเย็นนานทั่วไพรพนา” ไป๋หลี่ชูช้อนดอกซิ่งฮวาขาวนวลออกมาด้วยตนเอง แล้วค่อยๆ สะบัดให้สะเด็ดน้ำ 

 

 

“นี่หมายความว่าเสี่ยวไป๋ฉลาดหนักแน่นและเฉียบไว กรุ้มกริ่มปล่อยตัวยากจะจับเค้าเงื่อน ทิ้งไว้แต่กลิ่นหอมหรือ อืม…ช่างมีความหมายจริง” 

 

 

ซวงไป๋ผงกศีรษะ มองดูผู้เป็นนายอย่างกังวล 

 

 

ไม่มีใครรู้ดีกว่าเขาว่านิสัยของเจ้านายยากจะหยั่งคะเน แต่หนึ่งเดียวที่มิเปลี่ยนแปลงคือ หากเขาต้องตาพอใจในสิ่งใดแล้ว ต่อให้ต้องทำลายทิ้งก็จะไม่ยอมให้ตกอยู่ในมือของผู้อื่น ครึ่งชีวิตที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเคยเอาใจใส่กับผู้ใดเหมือนใต้เท้าชิวเลย 

 

 

ไป๋หลี่ชูพินิจพิเคราะห์ดอกซิ่งฮวาในมือที่ถูกน้ำจากธารแช่จนอวบอิ่มเบ่งบาน กลีบดอกและเกสรที่บอบบาง นอนนิ่งอยู่กับปลายนิ้วเรียวยาวขาวผ่องของเขา ย่อมเป็นกลิ่นอายเฉื่อยชาเกียจคร้านเป็นธรรมชาติ 

 

 

เขาหลุบตางามลง ดมกลีบดอกที่ความหอมถูกน้ำชะจนเจือจางแล้วเบาๆ กลับยิ่งรู้สึกเป็นความหอมที่สดชื่น จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “บทกวีปู้ซวีฉือ ว่าไว้…‘ลิขิตฟ้ามิอาจฝืน คล้อยตามเป็นบุญญา’[1] คนเรามักคิดว่าตนเองจะหนีพ้นลิขิตได้จริงไหม” 

 

 

ซวงไป๋ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้เป็นนายจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดถึงลิขิต แต่เขาเห็นน้ำเดือดแล้วจึงนำชาเชี่ยเสอชั้นดีใส่ลงในกาพลางผงกศีรษะกล่าวว่า “หากรู้แล้วว่าชีวิตกำลังจะสิ้น ย่อมมิยินยอมเป็นธรรมดา” 

 

 

“มิยินยอม หึๆ…คนทั่วใต้ฟ้าล้วนได้คืบจะเอาศอก ถ้าเติมเต็มได้ง่ายๆ ทุกคนก็กลายเป็นพุทธะและปล่อยวางกันหมดแล้ว” มุมปากไป๋หลี่ชูโค้งขึ้นอย่างสุดหยั่งคะเน พลันกำมือแน่น บีบดอกซิ่งฮวาในมือจนเป็นก้อน” 

 

 

ซวงไป๋แลดูดอกไม้ที่ถูกบีบจนแหลกไม่เป็นรูปในพริบตา จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยอย่างประหลาด ราวกับได้ยินเสียงคร่ำครวญอย่างโศกศัลย์ของบุปผา 

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะชื่นชมดอกไม้ที่ถูกขยี้แหลกคามือ ยิ้มอย่างพึงพอใจกล่าวว่า “ข้าคิดดูแล้ว วังที่เหมือนกรงทองต่อให้งดงามเพียงใด คงไม่คู่ควรกับราชันเสือดาวตัวน้อยที่งดงามตัวนั้น จะให้เขาแค้นข้าทำไม ข้าสู้ยอมให้ลิขิตของเขาและความมิยินยอมพร้อมใจกลายเป็นปราสาทหลังหนึ่ง นั่นเป็นกรงของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับข้านะ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] บทกวีของผู้ประพันธ์นิรนามยุคเป่ยโจวหรือโจวเหนือ ค.ศ. 557-581