ขุนนางที่เกษียณราชการมาผู้นั้นแซ่ซุน ชาวบ้านในหมู่บ้านเรียกเขาว่าผู้เฒ่าซุน เมื่อหลายปีก่อนย้ายจากในอำเภอกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน สร้างบ้านหลังใหญ่โต ไม่ค่อยออกมาภายนอก เหล่าชาวบ้านเห็นแค่เพียงพ่อบ้านและคนงาน แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเขา
ข้อมูลง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ก็เพียงพอที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้
ผู้เฒ่าแซ่ซุนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีเรื่องราวอย่างแน่นอน เป็นไปได้มากว่าเขากลับมายังหมู่บ้านเพื่อจะหลบภัยอันตราย
หากจิ๋งจิ่วสืบ จะต้องสืบเจอความจริงของเรื่องราวอย่างแน่นอน แต่เขาหาได้สนใจไม่ ยืนมองดูอยู่ไกลๆ จากนั้นก็ออกจากหมู่บ้านไป เดินกลับไปทางเดิม
ระหว่างที่ออกมาจากหมู่บ้าน เขาก็ได้หยิบเสื้อผ้าที่ตากอยู่นอกบ้านใครไม่รู้ติดมือมาด้วยชุดหนึ่ง จากนั้นฉีกมันเป็นเส้นแล้วเอามาพันกระบี่ไว้บนหลัง
ช่วงเวลากลางดึก เขาข้ามภูเขากลับมายังหน้าถ้ำ
แสงดาวพร่างพรายราวหิมะ ส่องสว่างผืนป่าจนชัดเจนเป็นอย่างมาก
ปีศาจตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งนอนอยู่หน้าถ้ำ ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ไม่มีลมหายใจ ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าไหร่แล้ว ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
บนก้อนหินที่อยู่นอกถ้ำเต็มไปด้วยรอยแหว่ง บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหิน แล้วก็มีร่องรอยขีดข่วนจากขนที่แข็งราวลวดหนามเหล็กของปีศาจ สามารถจินตนาการได้ว่าเรี่ยวแรงพละกำลังของปีศาจนั้นมากมายมหาศาลแค่ไหน การดิ้นรนก่อนตายของมันรุนแรงแค่ไหน น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วมองดูปีศาจ ก่อนมั่นใจว่าตานปีศาจของมันไม่มีประโยชน์อะไร จึงเผาศพทิ้งแล้วเดินเข้าไปในถ้ำ
ลวดลายที่อยู่บนผนังและบนพื้นเหล่านั้นดูจางลงไปกว่าเดิม ข่ายพลังเสียหาย ไม่สามารถใช้ได้อีก
กั้วตงมองเขาพลางกล่าวว่า “ข่ายพลังไม่เลว”
สิ่งที่จิ๋งจิ่วใช้ก็คือเพลงกระบี่แบกสวรรค์ แต่จะบอกว่าเป็นข่ายพลังก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน
เมื่อได้กลิ่นเหม็นคาวจากด้านนอกถ้ำ กั้วตงก็เลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ยังจะอยู่ที่นี่หรือ?”
“เราจะไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วเดินมาหน้ากองกระดูก ลากรังไหมเดินออกไปด้านนอกถ้ำ
เขาหันหลังให้แก่ทะเล เดินข้ามยอดเขาภายใต้แสงดาวที่ส่องลงมาอีกครั้ง ในตอนที่มาถึงหมู่บ้านแห่งนั้น มันก็ใกล้จะถึงเวลารุ่งสางแล้ว
จิ๋งจิ่วลากกั้วตงเดินมาถึงหน้าเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ด้านนอกสุดของหมู่บ้าน
เรือนของตาเฒ่าซุนสร้างเอาไว้ดีมาก มุมทิศใต้และตะวันออกมีหอธนูตั้งอยู่ อย่าว่าแต่ป้องกันคนที่แข็งแกร่งเลย ต่อให้ทางการอยากจะโจมตีก็ยังยากลำบาก
ประตูด้านข้างของเรือนแข็งแรงเป็นอย่างมาก ผิวเหล็กห่อหุ้มไม้แข็ง หนาสามชุ่น ตัวสลักประตูเองก็มีขนาดที่ใหญ่อย่างมาก
สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่อาจขวางจิ๋งจิ่วได้
เขาเดินไปที่หน้าประตู โบกมือขวา สลักประตูที่อยู่ด้านในเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ภายในเรือนเงียบสงัด ไม่มีแสงไฟ แล้วก็ไม่มีเสียงคน
จิ๋งจิ่วลากกั้วตงมาถึงคอกม้า จูงม้าออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นมองหาตู้โดยสาร
มือซ้ายเขาถือบังเหียนม้าอยู่ มองดูตู้โดยสาร จากนั้นมองดูม้า
ม้าเบิ่งตาโตมองดูเขา ท่าทางน่าสงสาร
กั้วตงถามว่า “คล้องไม่เป็น?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
“อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
กั้วตงมองเขาด้วยอารมณ์ซับซ้อน จากนั้นเริ่มสอนเขาว่าควรจะทำอย่างไร
การคล้องม้าและควบคุมรถนั้นง่ายกว่าการบำเพ็ญเพียรมากนัก เมื่อได้รับการชี้แนะจากกั้วตง จิ๋งจิ่วก็ทำทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากเรือนหลังใหญ่ ล้อบดไปบนถนน ส่งเสียงดังเบาๆ
ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางเป็นช่วงที่มืดที่สุด แล้วก็เงียบสงัดที่สุด ต่อให้เป็นเสียงที่เบาแค่ไหนก็สามารถทำให้คนรู้ตัวได้
จิ๋งจิ่วและกั้วตงต่างไม่เคยมีประสบการณ์เป็นขโมยมาก่อน แล้วก็ไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งด้านหลังมีเสียงไล่ตามและเสียงด่าทอดังขึ้นมา พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงสบถหยาบคายดังมาแต่ไกล กั้วตงเลิกคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “หนวกหูขนาดนี้ ข้าจะนอนยังไง?”
จิ๋งจิ่วรู้จักนิสัยของนาง
ในอดีตหลังจากสังหารคนไปหลายหมื่นคน ภายในใจนางก็ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ เวลาที่สังหารคนอีก ลงมือได้อย่างง่ายดาย
เจ้าล่าเยวี่ยเคยบอกว่าตัวเองดุมาก ความจริงแล้วนางต่างหากที่ดุจริง
เขาปลดกระบี่เหล็กออกมา ตัดกิ่งไม้ที่อยู่ริมทางสามสี่กิ่ง ดูเหมือนโยนสะเปะสะปะไว้บนถนน
กิ่งไม้เหล่านั้นวางเรียงอยู่บนทางขึ้นเขา ระยะห่างคล้ายมีกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างอยู่
นี่คือวิธีการพลางตาแบบง่ายๆ
หมอกยามเช้าไหลทะลักออกมาจากในภูเขา บดบังเส้นทางข้างหน้าเอาไว้
ลูกน้องของบ้านตระกูลซุนถูกขังเอาไว้ในหมอก ไม่ว่าอย่างไรก็ออกไปไม่ได้ ได้แต่มองดูรถม้าที่อยู่เบื้องหน้าคันนั้นหายลับไปตาปริบๆ
เสียงสบถและเสียงด่าทอพลันหยุดลง พวกเขาพลันรู้ตกใจและหวาดกลัว
“เจ้าพวกขี้ขลาด ก็แค่หมอกมิใช่รึ! กลับไปก่อน ฟ้าสว่างแล้วค่อยไปค้นในหมู่บ้าน ค้นทีละบ้าน!”
พ่อบ้านคนหนึ่งตะโกนด่าเสียงดังขึ้นมา “ไอ้ขี้ครอกพวกนี้กล้าดีนักนะ ถ้าไม่ฆ่าสักคนสองคนคงไม่รู้จักกฎเกณฑ์จริงๆ สินะ!”
……
……
จิ๋งจิ่วได้ยินคำพูดประโยคนี้ดังลอยมาจากในหมอก ไม่ได้หันหน้ากลับไป
แต่เขารู้ว่ากั้วตงกำลังมองดูตัวเองอยู่
……
……
จู่ๆ พ่อบ้านคนนั้นพลันร้องตะโกนเสียงดังขึ้นมา
ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านั้นมองเห็นอย่างชัดเจน พ่อบ้านโบกไม้โบกมือ ส่งเสียงร้องโหยหวน สองมือคล้ายกำลังปัดอะไรบางอย่างในอากาศไม่หยุด
หลังจากนั้นเลือดเนื้อบนใบหน้าพ่อบ้านก็เหี่ยวแห้งลงไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คล้ายว่าถูกพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นสูบออกไป จากนั้นเหลือเป็นผิวหนังบางๆ ชั้นหนึ่ง
เพียงพริบตา พ่อบ้านก็ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่อีก เขาล้มกระแทกไปบนพื้น กลายเป็นศพแห้งๆ ศพหนึ่ง!”
“ผีหลอก!”
“นั่นมันผีดิบ!”
เมื่อเห็นภาพนี้ แล้วคิดถึงถนนที่ถูกตัดขาดภายในหมอก ลูกน้องของบ้านตระกูลซุนเหล่านั้นตกใจจนใบหน้าขาวซีด ส่งเสียงกรีดร้องแล้วรีบหนีกลับไป
……
……
ในเมื่อเป็นผี อีกทั้งยังเป็นผีดูดเลือด อย่างนั้นคนที่ขโมยรถม้าก็ไม่ใช่คน
ถึงแม้ตาเฒ่าตระกูลซุนจะไม่ได้ตกใจกลัวจนหนีไป แต่เขาก็คงไม่ไปสร้างความลำบากใจให้แก่ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องเหล่านั้น
ออกมาจากหมู่บ้านไม่ไกลก็เป็นทุ่งกว้าง จิ๋งจิ่ววางบังเหียน กลับเข้ามาในตู้โดยสาร ให้ม้าวิ่งของมันไปเอง
กั้วตงมองดูเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าใช้วิชามารอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็แค่ลูกไม้ลูกไม้หนึ่ง”
ล้อรถบดไปบนดินและหินแข็งๆ สั่นสะเทือนเล็กน้อย นี่ทำให้เขาคิดถึงรถม้าของตระกูลกู้คันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างกายของกั้วตงถูกห่อหุ้มอยู่ในรังไหม จึงมีที่ซับแรงธรรมชาติ ย่อมไม่สนใจการกระแทกเหล่านี้ ค่อยๆ หลับไป
เวลาส่วนใหญ่หลังจากนี้นางล้วนแต่นอนหลับ คล้ายกับไป๋เจ่าในตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะ
แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือบางครั้งนางจะตื่นขึ้นมาเอง พูดคุยกับจิ๋งจิ่วสองสามประโยค ถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว
หลังจากนั้นหลายวัน รถม้าก็มาถึงนอกเมืองเมืองหนึ่ง
เมืองแห่งนี้มิใช่เมืองต้าหยวนที่พวกเขาจะไป
จิ๋งจิ่วมองดูภายในเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ควบรถม้าเข้าไปในเมือง ระหว่างทางหยิบหมวกลี่เม่ามาใบหนึ่ง รถมาวิ่งไปได้สักพัก ในที่สุดก็มองเห็นโรงหมอโรงนั้น
รถม้าหยุดอยู่นอกโรงหมอ เขาสวมหมวกลี่เม่าเดินลงจากรถ เงยหน้ามองดูป้ายที่อยู่หน้าโรงหมอ จากนั้นเดินเข้าไป
ที่เขามาโรงหมอย่อมมิใช่เพราะจะพากั้วตงมารักษา หมอที่รักษากั้วตงได้ยังไม่เกิด
จิ๋งจิ่วพูดคุยกับพนักงาน จากนั้นถูกพาเข้าไปในส่วนลึกของโรงหมอ
ข่ายพลังถูกเปิดใช้งาน ภายในห้องไม่มีเสียง
เขาถามหมอว่า “สถานการณ์ทางทะเลตะวันตกนั้นข้าพอจะรู้บ้าง ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าตอนนี้กั้วตงเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอคนนั้นมองดูเขาอย่างสงสัย ก่อนกล่าวว่า “ท่านคือ…”
จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก เผยให้เห็นใบหน้าของตัวเอง
หมอคนนั้นถูกใบหน้าของจิ๋งจิ่วทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก เขาสูดหายใจแรงๆ สองสามครั้ง กระทั่งฟันก็ยังรู้สึกปวดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่าน…ท่าน…จะไม่ปิดบังหน่อยหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่มีข้อมูลใหม่ มีเพียงใบไม้ทองคำ พวกเจ้าน่าจะไม่เอา”
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก
…………………………………………………………………..