บทที่ 224 นี่คือเงินสินสอด

The king of War

มีคนยกแก้วขึ้นมาคนแรก ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นยืน ยกเว้นหยางเฉินกับฉินซี

ตอนนี้ฉินซีนั่งพะว้าพะวัง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอเข้าใจดีว่า คงไม่มีโอกาสคุยเรื่องธุรกิจในคืนนี้แล้ว

แต่ถ้าออกไปเช่นนี้ ก็กลัวว่าจะเกิดผลกระทบ เพราะคนที่อยู่ตรงนี้ ล้วนเป็นเหล่าลูกหลานตระกูลไฮโซในเมืองโจวเฉิง ถึงวันนี้จะไม่ได้คุยธุรกิจ แต่ต่อไปก็ต้องไปมาหาสู่ที่เมืองโจวเฉิงอยู่ดี

หยางเฉินทำเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเอง เขาเอาแต่กินไม่หยุด

เขาเที่ยวเล่นกับฉินซีมาทั้งบ่าย ทำให้หิวมาก อาหารบนโต๊ะนี้ รสชาติไม่เลวจริงๆ

“เหม่ยหลิง ไหวหรือเปล่า! คิดไม่ถึงว่าจะคอแข็งขนาดนี้”

คุณชายตระกูลหนึ่งเอ่ยขึ้น หลังจากที่ดื่มให้เจิ้งเหม่ยหลิง เขาจึงยิ้มและเอ่ยขึ้น

เจิ้งเหม่ยหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันและพ่อมาที่นี่ เพื่อทานอาหารกับคู่ค้าทางธุรกิจบ่อยๆ เลยได้ฝึกสกิลการดื่มเหล้าน่ะ!”

“หา? เหม่ยหลิง เธอมาทานข้าวที่ร้านอาหารเป่ยหยวนชุนบ่อยเหรอ”

อีกคนเอ่ยถามอย่างตกใจ

เจิ้งเหม่ยหลิงดื่มไปเยอะพอสมควร น้ำเสียงเวลาพูดจึงเปลี่ยนไป เธอยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองโจวเฉิง แถมฉันยังเป็นสมาชิกที่นี่ด้วย แน่นอนว่าต้องมาบ่อยอยู่แล้ว”

“ร้านอาหารเป่ยหยวนชุน เป็นกิจการของตระกูลมู่แห่งเมืองเอก เห็นว่าในหลายเมือง ก็มีร้านอาหารในเครือร้านอาหารเป่ยหยวนชุนด้วย ถ้าไม่ได้สนิทกัน ถึงจะมีเงิน ก็ไม่สามารถเป็นสมาชิกที่นี่ได้” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

“ในเมื่อรู้ว่าเป็นกิจการของตระกูลมู่ งั้นคงจะรู้ความสัมพันธ์ของตระกูลมู่กับตระกูลไฮโซอย่างตระกูลหานแห่งเมืองเอกสินะ” เจิ้งเหม่ยหลิงพูดอย่างน่าสนใจ

“ได้ยินว่า ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่รับใช้ตระกูลหาน ตระกูลมู่ใช้เงินของตระกูลหาน มาบริหารธุรกิจในตระกูล เห็นว่าตระกูลมู่ ต้องส่งกำไรส่วนหนึ่งให้ตระกูลหานทุกปีใช่ไหม” คนนั้นเอ่ยขึ้น

เจิ้งเหม่ยหลิงรีบหยิบบัตรสมาชิกขึ้นมา เธอพูดอย่างได้ใจว่า “ใช่แล้ว และบัตรสมาชิกใบนี้ ตระกูลหานเป็นคนส่งให้ฉัน!”

ทุกคนต่างตกตะลึงและอิจฉา “คิดไม่ถึงว่าตระกูลเจิ้ง กับตระกูลหานจะรู้จักกัน!”

“ถึงตระกูลหานจะส่งบัตรใบนี้มาให้ฉัน แต่มันก็เป็นแค่บัตรสมาชิกสีบรอนซ์ ที่ระดับต่ำสุดเท่านั้น มันไม่ค่อยเท่าไรหรอก แต่พี่เหามีบัตรระดับโกลด์ ที่เป็นระดับสูงอยู่ในมือ”

เจิ้งเหม่ยหลิงรู้ว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว จึงรีบโยนใส่เฉินอิงเหา

“พูดไร้สาระอะไรเนี่ย ในอนาคตพี่เหาจะเป็นผู้นำตระกูลไฮโซในเมืองโจวเฉิง บัตรสมาชิกของเขาต้องระดับสูงกว่าเธออยู่แล้ว”

ทุกคนต่างพากันตั้งสติ และพูดเยินยอเฉินอิงเหา

สีหน้าของเฉินอิงเหาเต็มไปด้วยความยโส เขายกแก้วชาขึ้นมาจิบ และพูดเนิบๆ ว่า “มู่ตงเฟิงผู้นำตระกูลมู่ เป็นคนเอาบัตรสมาชิกมาให้ฉันด้วยตัวเอง แต่ก็แค่บัตรสมาชิกใบเดียว ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”

“ไม่เสียแรงที่เป็นพี่เหา ขนาดผู้นำตระกูลไฮโซแห่งเมืองเอก ยังเคารพพี่เหาขนาดนี้!”

ทุกคนพากันพูดเยินยอ

เฉินอิงเหามองฉินซีด้วยสีหน้าได้ใจ ตอนแรกคิดว่าฉินซีจะสนใจเขา แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ฉินซีกำลังทานอาหาร โดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย

“พี่ ฉันจะไปห้องน้ำ พี่ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม”

จู่ๆ เจิ้งเหม่ยหลิงก็ถามขึ้นมา

ดื่มไปเยอะขนาดนั้น ตอนนี้เจิ้งเหม่ยหลิงอยู่ในสภาพมึนเมา

“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเหม่ยหลิงก่อน”

ฉินซีไม่วางใจ เธอพูดกับหยางเฉิน และลุกขึ้นประคองเจิ้งเหม่ยหลิงออกไป

หลังจากที่เจิ้งเหม่ยหลิงกับฉินซีเดินออกจากห้องอาหาร ทุกคนต่างพากันมองหยางเฉินด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“หยางเฉิน คนจนๆ อย่างนาย ไม่คู่ควรกับฉินซีสักนิด ฉันว่าการที่นายแต่งเข้ามาในบ้านฉินซี ก็เพราะเงินสินะ”

เฉินอิงเหานั่งพิงเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เด็ดเดี่ยว เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เอางี้ไหม ฉันให้นายสองล้าน ไปจากฉินซีซะ นายไม่มีสิทธิ์ทำให้ผู้หญิงแบบฉินซีต้องแปดเปื้อน”

หยางเฉินแสยะยิ้ม “สองล้านเหรอ นายใช้เงินแค่นี้มาซื้อฉันเหรอ”

“ไอ้หนุ่ม เงินสองล้านเพียงพอสำหรับนายแล้ว ได้คืบจะเอาศอก!”

สุนัขรับใช้ของเฉินอิงเหารีบอ้าปากด่า

เฉินอิงเหาสะบัดมือไปมา และพูดขึ้นว่า “ห้าล้าน! ฉันให้สุดแค่นี้!”

พูดจบ เขาก็เขียนเช็คมูลค่าห้าล้าน ยื่นไปตรงหน้าหยางเฉิน โดยไม่สนว่าหยางเฉินจะตกลงหรือไม่

หยางเฉินหยิบเช็คขึ้นมาดู จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา

“นายขำอะไร”

เฉินอิงเหาขมวดคิ้ว

“ฉันขำความน่าสงสารของตระกูลเฉินน่ะสิ! คิดไม่ถึงว่าหลานชายคนโตของเฉินซิงไห่ จะมองอะไรตื้นเขินขนาดนี้ ถ้าตระกูลเฉินให้นายเป็นผู้นำตระกูลจริงๆ คงจะเจอแต่หายนะแน่นอน!”

หยางเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ปัง!”

หยางเฉินกำหมัดต่อยลงบนโต๊ะ เขาพูดอย่างโมโหว่า “บังอาจ! กล้าดียังไงมาดูถูกตระกูลฉัน เชื่อไหมว่าฉันจะทำให้แกไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ได้อีก!”

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่ คนอื่นต่างพากันลุกขึ้นยืน

ถึงจะรู้ว่าหยางเฉินฝีมือไม่ธรรมดา แต่ในตอนนี้ ถึงแม้จะโดนหักขา พวกเขาก็ต้องยืนข้างเฉินอิงเหา

หยางเฉินแสยะยิ้ม “ฉันล่ะอยากช่วยแนะนำ แค่กากเดนในตระกูลเฉิน จะทำอะไรฉันได้งั้นหรือ”

เมื่อเห็นท่าทีสงบของหยางเฉิน เฉินอิงเหาโมโหเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขารู้สึกว่าขี่หลังเสือแล้วลงยาก

“เก็บความโอหังของนายเอาไว้ แล้วนั่งลงเถอะ ไม่งั้นแกจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้!”

หยางเฉินยกกาน้ำชาขึ้นมา เขาเทชาหลงจิ่งแห่งซีหูลงจนเต็มแก้ว จากนั้นจึงจิบเบาๆ และหรี่ตาลงพูดกับเฉินอิงเหา

ถึงจะมีหยางเฉินเพียงคนเดียว แต่ความน่ากลัวของเขารุนแรงมาก จนทำให้เฉินอิงเหากับคนอื่น ไม่กล้าเดินเข้าไป

“พวกคุณจะทำอะไร”

ขณะนั้น ฉินซีกับเจิ้งเหม่ยหลิงเดินกลับเข้ามาในห้องอาหาร เธอเห็นคนในห้องอาหารลุกขึ้นยืน และมองหยางเฉินด้วยแววตาดุดัน ฉินซีจึงตกใจเป็นอย่างมาก

หยางเฉินส่งยิ้มอบอุ่นให้ฉินซี เขาโบกเช็คห้าล้านในมือ จากนั้นจึงพูดว่า

“นี่เป็นเช็คที่พี่เหาให้มา เขาบอกว่าชื่นชมความรักของเรา เงินห้าล้านนี่ถือเป็นค่าสินสอดของเรา!”

เมื่อหยางเฉินพูดออกมา เฉินอิงเหาถึงกับตะลึง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

ฉินซีก็อึ้งเช่นกัน เมื่อเห็นหยางเฉินกะพริบตาให้เธอ เธอจึงเข้าใจทันทีว่ามันไม่ใช่แบบที่หยางเฉินพูดแน่นอน

“ขอบคุณนะคะพี่เหา!”

ฉินซียิ้มและหันไปขอบคุณเฉินอิงเหา

“ผม……”

เฉินอิงเหาหน้าแดงก่ำ เขาพูดได้เพียงคำว่าผม จากนั้นจึงพูดอะไรไม่ออกอีกเลย

เงินห้าล้านที่เขาให้หยางเฉิน เพราะต้องการให้ออกไปจากชีวิตของฉินซี

แต่หยางเฉินกลับพูดว่า นั่นคือสินสอดในงานแต่งของเขากับฉินซี

คนในห้องอาหารต่างพากันอ้าปากค้างมองหยางเฉิน

“ไอ้ฉิบหาย นั่นเป็นเงินที่พี่เหาให้นาย……”

หลังจากที่อึ้งไปครู่หนึ่ง สุนัขรับใช้ที่พูดอย่างดุดันก่อนหน้านี้ รีบเห่าใส่หยางเฉินทันที

“หุบปาก!”

แต่เขายังไม่ทันพูดจบ ก็โดนเฉินอิงเหาตวาดใส่เสียก่อน

“พี่เหา มัน……”

อีกฝ่ายโมโหมาก และกำลังจะเถียง เฉินอิงเหาตวาดออกมาว่า “ฉันบอกให้แกเงียบ ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”

เฉินอิงเหาโมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาไม่รู้จะไประบายที่ไหน สุนัขรับใช้ของตัวเองยังมาเถียงอีก

คนนั้นรู้ทันทีว่าตัวเองประจบไม่สำเร็จ แถมยังทำให้เฉินอิงเหาโกรธอีกด้วย

คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไร และรอคอยให้เฉินอิงเหาระเบิดอารมณ์ออกมา

เฉินอิงเหาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง และพูดออกมาว่า “หยางเฉิน นายต้องเข้าใจนะ ของบางอย่างนายเอาไปได้ แต่ของบางอย่าง นายก็ไม่สามารถเอาไปได้ ขืนเอาไป ก็จะทำให้ตัวเองซวยเปล่าๆ!”

คำพูดของเขา แฝงไปด้วยการข่มขู่