โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.287 – ตระกูลซงไล่ล่า

 

“ราชันย์สัตว์ร้าย!!!” หลังจากจ้าวหยิงอี้เห็นไป๋หลี เขาตกใจแว่บหนึ่ง แต่สักพัก ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเจิดจรัส “สัตว์ร้ายพันธะสัญญางั้นหรือ? ไอ้หนู แกโชคดีมาก ที่สามารถทำสัญญากับราชันย์สัตว์ร้ายได้ แต่คิดจริงๆหรือว่าแค่นี้จะสามารถโค่นฉัน?”

 

จ้าวหยิงอี้มั่นใจในตัวเองมาก

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว บนกายเขา คือเกราะในของราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล D

 

ดังนั้นการโจมตีของฉินเฟิงและไป๋หลี ไม่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเขา

 

“ยังไงก็เถอะ ฉันคงไม่มีเวลามาเล่นด้วย ตอนนี้พวกตาแก่ตระกูลซงหลายคนกำลังออกมาแล้ว พวกมันคิดจะฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียว เกรงว่าอีกไม่กี่นาทีคงมาถึงที่นี่”

 

ฉินเฟิงพอได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันคงไม่สามารถเสียเวลากับนายได้เหมือนกัน เพราะถ้าต้องสู้กับเลเวล D หลายคนในคราวเดียว ต่อให้เป็นฉัน ก็ไม่แน่ใจว่าจะชนะ”

 

จ้าวหยิงอี้หัวเราะ “เห? งั้นแกกำลังจะบอกว่าถ้าฉันคนเดียวยังไงก็ชนะได้งั้นสิ จะมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อยมั้ง!”

 

จ้าวหยิงอี้คือใคร? เขาคือคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก ครอบครองพละกำลังอันแข็งกร้าว ไม่ว่าจะสัตว์ร้ายเลเวล D หรือผู้ใช้พลังเลเวล D ล้วนไม่คณามือเขา ในยามที่ตนมีเลเวล E8 E9 เขาถึงขั้นสามารถไล่ล่าและสังหารมือปืนเลเวล D มาแล้ว!

 

ดังนั้น คำกล่าวของฉินเฟิง จ้าวหยิงอี้มิให้ค่าใดๆ

 

บางที หากเทียบระหว่างเขากับบลัดฮันเตอร์ ในกรณีที่อยู่ในเลเวลเดียวกัน อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่านิดหน่อยก็จริง

 

แต่ปัจจุบันเลเวลของทั้งสองห่างชั้นกันมากเกินไป ยังไงก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เขาเลยเฝ้ารอให้นักฆ่าคนอื่นๆกดดันฉินเฟิงอีกสักหน่อย พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็ออกมาเก็บเกี่ยว

 

ณ เวลานี้ สองมีดสั้นในมือของฉินเฟิงหายวับไป เห็นได้ชัดว่าเก็บเข้าพื้นที่มิติ

 

จากนั้น ในมือของฉินเฟิงก็ปรากฏมีดอีกเล่มหนึ่ง

 

รูปทรงของมันค่อนข้างยาว ตัวใบมีดก็หนัก และกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ เกือบจะเป็นดาบอยู่แล้ว —ยามผู้คนจ้องมอง จะให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่ง และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มีดนี้เหมือนจะไม่ได้ทำจากฝีมือมนุษย์ ถูกดัดแปลงมากมายจนดูมีแสงที่พิเศษออกไป ไม่อาจทราบได้ว่าอยู่ในระดับใด

 

จ้าวหยิงอี้ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

 

“หรือนี่จะเป็นอาวุธเทวะ?”

 

ตั้งแต่โลกถูกรุกรานโดยรอยแยกมิติ หลายตำนานที่สาบสูญก็คล้ายจะได้รับคำตอบ อย่างอาวุธบางชนิดที่เหล่าบุคคลระดับตำนานในประวัติศาสตร์เคยใช้ ที่มักสามารถสำแดงอำนาจเกินกว่ามนุษย์จะรังสรรค์ออกมาได้

 

อาวุธดังกล่าว มักจะถูกเรียกว่าอาวุธเทวะ

 

ถ้านี่เป็นของจริง เขาต้องระมัดระวังตัวให้ดี

 

“น่าสนใจดีนี่ ในเมื่อแกมีของดี งั้นมาดูกันว่าแกจะดึงความสามารถของมันออกได้ดีเหมือนกันรึเปล่า!”

 

ว่าจบ จ้าวหยิงอี้ก็เรียกกระบองออกมา มันคืออาวุธในเลเวล D เช่นกัน ทั้งยังสาดประกายสีเงินขาวดูนวลตา

 

ในเมื่อจ้าวหยิงอี้แข็งแกร่ง ฉะนั้นอาวุธที่เขาครอบครองก็ย่อมแข็งแกร่งด้วยเป็นธรรมดา

 

ฉินเฟิงไม่สะทกสะท้าน ก้าวเข้าชาร์จอีกฝ่าย

 

“พลุไฟสงคราม!” แค่เริ่มต่อสู้ ฉินเฟิงก็งัดกระบวนท่าสังหารออกมาทันที

 

“พันสงฆ์สยบมาร!”

 

จ้าวหยิงอี้ไม่น้อยหน้า ระเบิดกระบวนท่าวรยุทธที่ร้ายกาจที่สุดของตน

 

กำลังภายในจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่อาวุธ ปรากฏเสียงหึ่งๆกังวาน

 

ณ ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ คือใจกลางภูเขาใหญ่ ดังนั้นเสียงนี้จึงสะท้อนไกลออก

 

ส่งผลให้พวกซงหยูไคและคนอื่นๆที่กำลังค้นหาร่องรอย สามารถพบทิศทางที่ถูกต้องได้ทันที

 

ในระหว่างนั้นเอง การต่อสู้ระหว่างฉินเฟิงกับจ้าวหยิงอี้ ยิ่งมายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ช่วงจังหวะนั้นเอง พลังสมาธิของฉินเฟิงพลันกระตุกไหวอย่างรุนแรง

 

เขารู้สึกได้ ว่าพลังสมาธิที่ปลดปล่อยออกไปรอบนอก กวาดโดนผู้ใช้พลังเลเวล D หลายคน

 

บางที นี่อาจเป็นตระกูลซงที่จ้าวหยิงอี้กล่าวถึง

 

ดูเหมือนต้องรีบแก้สถานการณ์ให้จบโดยเร็วซะแล้ว!

 

ข้อมือของฉินเฟิงพลิกกลับ ยามปะทะกับกระบองจ้าวหยิงอี้ เขาก็ดีดตัวถอยออกมากว่า 3 เมตร

 

จ้าวหยิงอี้ยิ่งสู้ก็ยิ่งรู้สึกตกใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าฉินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้จ้าวหยิงอี้ยิ่งอยากสังหารอีกฝ่ายลงมากกว่าเดิม

 

เมื่อเห็นฉินเฟิงถอย จ้าวหยิงอี้ก็ไล่ติดตามทันที

 

ในเวลานั้นเอง พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง

 

“ระเบิดแมกมา!”

 

ตูม!

 

คลื่นอัดอากาศร้อนผ่าวลุกฮือขึ้นจากพื้นดิน โถมเข้าปกคลุมจ้าวหยิงอี้ทันใด

 

จ้าวหยิงอี้ไม่ทันป้องกัน ร้องโวยวายด้วยความตกใจ

 

“นี่มันบ้าอะไรกัน!!”

 

ปราณกำลังภายในโดยรอบที่คอยคุ้มกายถูกลดทอนพลังงานลงอย่างรวดเร็ว จ้าวหยิงอี้ย่ำเท้าออกไป ดีดตัวขึ้นกลางอากาศ หลุดพ้นจากระยะโจมตีของเสาแมกมา

 

ในตอนนั้นเอง รอยแยกสีดำพร้อมกับแสงสีเงินพลันสาดออกมา ปรากฏขึ้นในตำแหน่งที่เขาดีดตัวหลบเลี่ยงอย่างกระทันหัน

 

จ้าวหยิงอี้ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณบอกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี พยายามหลบเลี่ยงโดยจิตใต้สำนึก

 

เมื่อกายฉีกวูบไปอีกทาง เบื้องหลังเขาก็ปรากฏอีกรอยแยกหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน ยังไม่พอ เพียงพริบตาเดียว รอยแยกก็ผุดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆจะแทบจะปกคลุมรอบกายของจ้าวหยิงอี้

 

ปุ

 

ปุ ปุ ปุ!

 

รอยแยกมิติพยายามตัดเฉือนแขนขาของจ้าวหยิงอี้ หากปล่อยไว้อีกไม่นานคงทำได้สำเร็จ

 

เป็นฝีมือของไป๋หลี!

 

ฉินเฟิงแน่นอนไม่รอช้า โฉบกายเข้าหาศัตรู

 

“โอบกอดทมิฬ!”

 

ความมืดมิดปกคลุมจ้าวหยิงอี้

 

“นี่มัน– ” จ้าวหยิงอี้เสียจังหวะอีกครั้ง แต่ก็เร่งรีดเร้นกำลังภายในมหาศาลระเบิดออกมา ขับไล่รูนมิติสีเงินไป รอยแยกมิติโดยรอบถูกหุบกลับคืน

 

นี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมเลเวล D จึงสามารถเข้าร่วมรบในแนวหน้าได้

 

เพราะเลเวล D นอกจากสามารถแปรสภาพกำลังภายในสู่ภายนอกได้แล้ว ยังสามารถใช้มันปิดรอยแยกมิติเล็กๆน้อยๆได้อีกด้วย

 

ในระดับที่สูงขึ้นไป อบิลิตี้มิติ มิใช่พลังที่คงกระพันอีกต่อไป!

 

อย่างไรก็ตาม อบิลิตี้มิติแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกัน หากคิดเผชิญหน้ากำไรย่อมไม่คุ้มเสีย มันสิ้นเปลืองกำลังภายในและสมาธิมากเกินไป และฉินเฟิงไม่พลาดโอกาสนี้

 

“ลำแสงแห่งความมืด!”

 

เส้นรังสีทมิฬอันเข้มข้น ตกลงบนตัวจ้าวหยิงอี้

 

จ้าวหยิงอี้รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนอ่อนแอทันใด พละกำลังเหือดหายลงเป็นอย่างมาก

 

ณ ขณะนี้ เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้วว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร!

 

“ที่แท้ก็เป็นอบิลิตี้ไฟ กับอบิลิตี้มืด!”

 

ไม่ผิดแล้ว มันคืออบิลิตี้แน่นอน

 

แต่ว่านะ บลัดฮันเตอร์เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณไม่ใช่หรือ ตกลงเขาเป็นอาชีพอะไรกันแน่!?

 

ไม่อนาุญาตให้จ้าวหยิงอี้ฟุ้งซ่านไปกว่านี้ ฉินเฟิงตัดสินใจสังหารทันที

 

“ทักษะลับกลืนดารา!”

 

แรงดึงดูดมหาศาลของฉินเฟิง ดูดซับกำลังภายในของจ้าวหยิงอี้

 

“ออกไปให้พ้น!” จ้าวหยิงอี้หวดกระบองในมือเขา จนหลุดพ้นจากอำนาจดึงดูดของฉินเฟิง

 

เขาช่างทรงพลังจริงๆ เป็นไม่กี่คนเลยที่สามารถหลุดพ้นจากกลืนดาราได้แทบจะในทันที!

 

ในตอนนั้นเอง ไป๋หลีพลันปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

 

จ้าวหยิงอี้มัวแต่ใช้กำลังภายในสลายโอบกอดทมิฬ รู้สึกตัวอีกที ไป๋หลีก็อยู่ในสายตาของเขาแล้ว

 

“จงมองมาที่ฉัน!” ดวงตาของไป๋หลีสาดประกายสีเงินลึกล้ำ

 

วิสัยทัศน์ของจ้าวหยิงอี้กลายเป็นพร่าเลือนชั่วขณะ

 

เขาคือผู้ใช้วรยุทธโบราณ ดังนั้นพลังสมาธิมิได้แข็งแกร่ง ย่อมไม่อาจต้านทานอบิลิตี้ระดับราชันย์ได้

 

ไป๋หลีเอ่ยอีกครั้ง “อย่าขยับ!”

 

ร่างของจ้าวหยิงอี้พลันแข็งค้าง

 

ฉินเฟิงตวัดมีดเฉือนในคราวเดียว

 

จ้าวหยิงอี้ขัดขืน โยกตัวถอยหลังไปครึ่งก้าว

 

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไป

 

พรวดดด!

 

ลำคอของจ้าวหยิงอี้ถูกตัดจนเกือบขาดโดยมีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิง

 

“อึก …. อ๊อก … ” จ้าวหยิงอี้ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไร้กำลังจะเอ่ย

 

ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะตาย กำลังภายในในตันเถียนยังคงอยู่ ดังนั้นวางมือนาบลงและ–

 

–กลืนดารา!

 

กำลังภายในพลุ่งพล่าน ไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลัง ถูกสูบเข้ามาในตันเถียนของฉินเฟิง มันกระจุกตัวกันหนาแน่นจนแทบระเบิด!

 

ต่อสู้เพียงวันเดียว เมื่อรวมกำลังภายในของจ้าวหยิงอี้แล้ว ตันเถียนของฉินเฟิงถึงขีดกำจัด มันเอ่อล้นไปด้วยทะเลเมฆกำลังภายในถึง 99 ชั้น!

 

แม้กำลังภายในของอีกฝ่ายจะยังถูกสูบกลืนมาไม่หมด แต่ฉินเฟิงไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านี้ ยอมตัดใจปล่อยมือ

 

ขณะเดียวกัน สามผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล D อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะประชิดตัวเขาแล้ว!

 

ฉินเฟิงยกมือขึ้น เพลิงโลกันต์ผุดออกมา สลายร่างของจ้าวหยิงอี้ ทั้งเกราะในเลเวล D และอุปกรณ์อื่นๆถูกชิงมาหมดสิ้น หลังจากหยิบอุปกรณ์รูนมิติมาเป็นอย่างสุดท้าย ฉินเฟิงกวาดขาเตะออกไป กวาดขี้เถ้าลอยฟุ้งไปในอากาศ

 

“เปลวไฟและความมืดเอ๋ยจงกลับคืน!”

 

รูนทั้งหมดที่แปลงเป็นท่าอบิลิตี้ถูกรวบรวมกลับมาโดยฉินเฟิง หากไม่ใช้เครื่องมือพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจพบความผันผวนของอบิลิตี้ที่นี่

 

ตอนนี้ หลงเหลือเพียงจุดเดียวที่ต้องกลบเกลื่อน คือพื้นดินที่ปลดปล่อยเสาลาวาออกมาเมื่อครู่ ปัจจุบันมันกลายเป็นลักษณะของแอ่งที่เหลือจากการระเบิดของภูเขาไฟ