บทที่ 300-2 เข้มงวดกับตัวเอง (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 300 เข้มงวดกับตัวเอง (2)

ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อยอยู่ในเขตพระราชฐาน

“แม่ม้าน้อย จากประสบการณ์จีบหญิงมาหลายปีดีดัก ครั้งนี้จับมือหลินอันได้ ครั้งหน้าก็คงกอดนางได้…เด็กสาวน่ะต้องตามจีบ ถ้าไม่จีบก็ไม่นับว่านางเป็นของเรา”

“เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ชายขี้ขลาดพูดกับแฟนตัวเองว่า พ่อแม่เธอดีกับเธอเพราะเธอเป็นลูกของพวกเขา แต่ฉันดีกับเธอเพราะรักเธอจริง”

“ถึงจะเป็นเหตุผลหลอกๆ แต่ข้าคิดว่าเหตุผลหลอกๆ นั้นก็นับเป็นเหตุผลเช่นกัน หลินอันดีกับข้า ดีกับข้าจริงๆ แบบที่ไม่ต้องมีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรมากมาย แน่นอนว่าบางทีอย่างหลังอาจเป็นโลกของผู้ใหญ่”

“ถึงนางจะงี่เง่าไปบ้าง เป็นแจกันใบสวย แต่แจกันใบนี้ยอมทำให้ตัวเองกลวงเพื่อเจ้า”

“หากจะบอกว่าผู้ใดเหมาะกับตำแหน่งสะใภ้มากที่สุดก็ยังเป็นฉู่ไฉ่เวย ข้าวนิ่มของนางกินแล้วหอมอร่อย ไม่มีผลข้างเคียงมากที่สุด หลินอันกับฮว๋ายชิ่งล้วนอันตรายเกินไป”

“อันที่จริงสถานะข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรร้องขอเรื่องสตรีหรอก เพียงหวังว่าพวกนางจะเข้มงวดกับตัวเอง”

พูดถึงตรงนี้ แม่ม้าน้อยก็ใช้หัวกระแทกเขาแล้วพ่นลมสองครั้ง

“เจ้าก็อยากให้ข้าร้องขอหรือ”

สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “หากเป็นเจ้า อืม อย่าพอใจกับความสำเร็จเพียงเล็กน้อย!”

จวนหวาง หวางเจินเหวินที่แยกตัวกลับจวนกินอาหารเย็นแล้ว ก็ไปอ่านสมุดบัญชีที่ห้องหนังสือตามปกติ ในวัยของเขา สตรีไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป

บางทีอาจเป็นเพราะการกระตุ้นจากจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ผมขาวกลับกลายเป็นผมดำ ข้าราชบริพารในท้องพระโรงจึงไม่เข้าใกล้สตรี และให้ความสนใจเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิหยวนจิ่งมีนิกายมนุษย์ชี้แนะแนวทางปฏิบัติ มีนิกายมนุษย์ปรุงยาให้เขา นี่คือการบำรุงที่ข้าราชบริพารทั้งหลายไม่อาจเอื้อมถึง

คุณหนูหวางเข้ามาพร้อมซุปบำรุงร่างกาย จากนั้นก็ใช้การจัดโต๊ะเป็นข้ออ้างเพื่อแอบอ่านสมุดบัญชีและความเห็นของบิดา บางครั้งยังถามนู่นถามนี่อย่างน่าอัปยศ

“ได้ยินคนทั้งจวนบอกว่างานชุมนุมวรรณกรรมวันนี้ ฮุ่ยหยวนของสำนักอวิ๋นลู่มาด้วยหรือ” หวางเจินเหวินถาม

“อืม แล้วยังปะทะกับหลานสาวของซุนซ่างชูด้วย”

คุณหนูหวางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้บิดาฟัง แล้วพ่นลม

“ท่านพ่อ ข้าเห็นว่าฮุ่ยหยวนแซ่สวี่คนนั้นเป็นคนมีความสามารถถึงได้เชิญเขามา ใครจะรู้ว่าเป็นพ่อหนุ่มคนนี้หุนหันพลันแล่น ไม่รู้จักอดทน ก็แค่คนสามัญทั่วไป ท่านพ่อ ท่านต้องสั่งสอนเขาให้ดีนะเจ้าคะ เพื่อเอาคืนให้น้องเหยียนเอ๋อร์”

สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้มองเรื่องราวอย่างผิวเผิน จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บัณฑิตจากสำนักอวิ๋นลู่ผ่านการฝึกฝนด้วยระบบของลัทธิขงจื๊อ นิสัยใจคอก็ไม่ได้แย่อะไร”

“ได้เป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ทั้งยังได้เป็นฮุ่ยหยวน เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง ส่วนความขัดแย้งของเด็กๆ อย่างพวกเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอามาโพนทะนาให้ใครรู้”

คุณหนูหวางเบ้ปากและพูดสวนทันที “เช่นนั้นดูเหมือนว่าความคิดของลูกกับท่านพ่อจะตรงกัน เช่นนั้นท่านพ่อคิดว่ามีโอกาสชักนำเขาได้หรือไม่”

“ชักนำหรือ” เหตุใดต้องชักนำเขา แม้จะเป็นคนมีความสามารถก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขา เพราะเหตุนี้ อีกอย่าง บิดาเจ้าเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการของราชสำนัก แบบอย่างของขุนนางบุ๋น” สมุหราชเลขาธิการหวางส่ายหน้า

“ก็เพราะท่านพ่อเป็นแบบอย่างของขุนนางบุ๋น การที่ท่านออกหน้าชักชวนเขาจะทำให้แรงต่อต้านน้อยที่สุด ลูกคิดว่าหากโน้มน้าวเขามาเป็นพวกได้ ไม่เพียงโจมตีความอวดดีของสำนักอวิ๋นลู่ แต่ยังได้นายพลดีๆ มาอีกหนึ่งคน ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”

คุณหนูหวางทำท่า ‘ข้ากำลังวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อท่านพ่อ’

“ไม่มีเหตุผลมากพอ การโน้มน้าวคนผู้นี้จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี” หวางเจินเหวินส่ายหน้า

คุณหนูหวางคิดจะกล่าวอะไรอีก แต่ถูกบิดาใช้สายตาชำเลืองมองจึงรีบหยุดความคิดนั้นทันที เพียงสะกิดให้ฉุกคิดแล้วหยุดลง

‘ไม่มีเหตุผลมากพอ… ก็ดี ข้าก็จะพิจารณาเขาสักระยะ…’ คุณหนูหวางคิดอย่างอารมณ์ดี

สถานรับเลี้ยงเด็ก เมืองทางใต้

ภายในห้องเก็บฟืน แสงสีทองค่อยๆ ดับลง ภิกษุจิ้งเฉินปลอบประโลม ‘สุนัขดำ’ ให้เข้าสู่ห้วงนิทราแสนหวาน

“อมิตตาพุทธ!”

ภิกษุวัยกลางคนผู้มีติ่งหูใหญ่หนา ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เด็กคนนี้มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง”

“โหรแห่งสำนักโหราจารย์เคยทำการรักษาให้เขา ใช่แล้ว เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับใต้เท้าสวี่” เหิงหย่วนกล่าวอยู่ด้านข้าง

“ท่องโลกีย์ตลอดหลายปีมานี้ ได้เห็นสุขทุกข์พบพรากจากลามากมาย ทุกสรรพชีวิตล้วนมีความทุกข์ อาตมามักสงสัยว่าดวงประทีปนับหมื่น แต่เหตุใดถึงยังส่องทะลุความมืดมนของโลกไม่ได้”

“กระทั่งได้รู้แจ้งในหลักธรรมแห่งพุทธมหายานเมื่อวานจึงรู้ว่าการแสวงหาคุณภาพ แสวงหาอรหันต์ และรสแห่งพระโพธิสัตว์ คือมุ่งจำเพาะตนแบบพุทธหินยาน มุ่งจำเพาะสรรพสัตว์ถึงจะเป็นพุทธมหายาน หากมนุษย์ทุกคนมีจิตเมตตา โลกนี้ยังต้องการดวงประทีปอีกหรือ ไม่จำเป็นแล้ว”

ภิกษุจิ้งเฉินกล่าวด้วยอารมณ์

เหิงหย่วนพยักหน้าแล้วประสานมือ “ใต้เท้าสวี่เปรียบดั่งเทวดาจริงๆ”

ภิกษุจิ้งเฉินประสานมือ “เป็นพุทธบุตรแต่กำเนิด เป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้แก่ศาสนาพุทธ อาตมาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะบรรลุและก้าวเข้าสู่ประตูแห่งธรรม”

“อาตมาเฝ้ารอวันนั้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว” เหิงหย่วนจิตใจร้อนรุ่ม

ภิกษุจิ้งเฉินพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “เด็กคนนี้ร่างกายอ่อนแอ จิตวิญญาณเสีย ไม่อาจฟื้นตัวเป็นปกติได้ในช่วงนี้ มิอาจทนเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ อาตมาแนะนำว่าส่งเขาไปวัดมังกรเขียวดีกว่า ส่วนเจ้า ควรออกเดินทางไปยังแดนประจิมได้แล้ว”

“เจ้าก็รู้ หลังจากขั้นแปดคือขั้นสาม ขั้นสามเรียกระดับเพชร หากเจ้าไม่ฝึกฝน พลังเทพระดับเพชรก็ไม่มีวันได้เป็นระดับเพชร”

เหิงหย่วนลังเลอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ศิษย์พี่ เมื่อครู่ท่านบอกว่ามุ่งจำเพาะตนคือหินยาน มุ่งจำเพาะสรรพสัตว์ถึงจะเป็นมหายาน”

จิ้งเฉินชะงัก ก่อนจะก้มหน้าประสานมือด้วยความละอาย “อาจารย์ปู่พูดถูก เจ้าสติปัญญาเฉียบแหลมอย่างแท้จริง ช่างเถิด ช่างเถิด”

แม้จะรู้แจ้งหลักธรรมพุทธมหายาน แต่การมุ่งจำเพาะตนก็เป็นนิสัยที่ติดตัวมาหลายสิบปี ไม่อาจแก้ได้โดยง่าย

นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างการตรัสรู้ในฉับพลันกับการไม่ได้ตรัสรู้ฉับพลัน พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ตรัสรู้ในฉับพลัน จึงไม่มีนิสัยหรือความคิดอะไรที่เคยชินอีกแล้ว

“พรุ่งนี้ท่านอาจารย์ปู่ก็จะพาเรากลับแดนประจิมแล้ว” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าว

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเรื่องสิ่งชั่วร้ายเล่า ไม่ตามสืบแล้วหรือ”

“สิ่งชั่วร้ายหลุดไปหลายเดือนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ท่านอาจารย์ปู่อยากกลับแดนประจิมก่อน เพื่อส่งเสริมหลักธรรมพุทธมหายาน” ภิกษุจิ้งเฉินอธิบาย

หลังจากส่งพระจิ้งเฉินกลับไป เหิงหย่วนก็กำลังจะหันตัวกลับ ทว่าจู่ๆ ก็เห็นร่างนักบวชคนหนึ่งกำลังยืนส่งยิ้มให้เขาท่ามกลางลานอันมืดมิด

“นักบวชเต๋าจินเหลียนงั้นหรือ”

จวนสกุลสวี่

ดวงอาทิตย์ทางฝั่งทิศตะวันตกเหลืออยู่เพียงซีกเดียว จะตกแหล่มิตกแหล่ ทอประกายสีแดงกุหลาบดูสดใสและสวยงามยิ่ง

สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยกลับมาถึงจวนก็โยนสายบังเหียนให้บ่าวหน้าประตู แล้วก้าวเข้าจวนในเวลาที่ประจวบเหมาะมาก เพราะได้เวลาอาหารเย็นพอดี

บนโต๊ะอาหาร สวี่ซินเหนียนเล่าเรื่องที่ไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมและกล่าวสั้นๆ ว่ามีคนผลักหลิงเยวี่ยตกน้ำ

“อะไรนะ หลิงเยวี่ยตกน้ำหรือ”

สวี่ชีอันมองสำรวจน้องสาวแล้วถามอย่างอบอุ่น “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวตัวร้อนหรือไม่ จะเป็นหวัดหรือเปล่า”

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวสบายๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง พอกลับถึงจวนข้าก็ดื่มยาแล้ว ไม่เป็นหวัดหรอก”

“เกิดอะไรขึ้น” สวี่ชีอันรอสวี่เอ้อร์หลาง “เจ้าดูแลน้องอย่างไร ไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมยังตกน้ำได้ ไม่ได้เรื่องเลย”

สวี่เอ้อร์หลางเหลือบมองสวี่หลิงเยวี่ย ซึ่งคนหลังก็รีบกล่าวอย่างร้อนรน “ไม่ใช่ความผิดพี่รองเจ้าค่ะ พี่รองไม่สามารถจับตาเฝ้าดูข้าได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว อีกอย่างหลังตกน้ำ พี่รองก็เข้ามาช่วยข้าทันทีเลย”

“คนที่ผลักข้าตกน้ำคือหลานสาวของเจ้ากรมอาญา ซึ่งก็ได้ขอโทษและชดเชยกันแล้ว”

หลานสาวเจ้ากรมอาญา…สวี่ชีอันเลิกคิ้ว แล้วแสยะยิ้มเย็น “ได้ ข้าจะส่งคนไปซุ่มดูที่จวนสกุลซุน รอให้หลานสาวนางออกมาก็ขับรถม้าชนนางให้ตายไปเสีย”

พูดจบก็มองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างสำนึกผิด “น้องหญิง เป็นพี่ใหญ่ที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”

สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้มแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ใหญ่พูดอะไร ครอบครัวเดียวกันยังจะเห็นเป็นคนอื่นอีก”

น้องสาวคนนี้เยี่ยมจริงๆ!

หลังอาหารเย็น สวี่ชีอันก็เริ่มเส้นทางการฝึกฝนอันยาวไกล ฝึกลมหายใจ ตระหนักรู้ หยั่งรู้กระบี่ใจ หยั่งรู้การบ่มเพาะจิตใจ รวมไปถึงหยั่งรู้พลังเทพระดับเพชรไร้พ่าย

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปสมัยเรียน ความรู้สึกของการเรียนอย่างหนักหน่วง

ทันใดนั้นเมฆหมอกก็ปกคลุมเบื้องหน้า เขามองเห็นหมอกเป็นชั้นๆ จนมาถึงโลกของไต้ซือเสินซู

เมื่อทะลุผ่านสายหมอกก็มาถึงวัดเก่าๆ แห่งหนึ่ง เห็นพระรูปงามกำลังนั่งสมาธิ

ไต้ซือเสินซูมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ากำลังจะหลับและไม่สามารถตื่นขึ้นได้ในช่วงสั้นๆ จึงไม่อาจสนใจความเป็นความตายของเจ้าได้ ข้าจะมอบเลือดอีกหนึ่งหยดเพื่อให้เจ้าฝึกฝนระดับเพชรไร้พ่าย”

เลือดของเขาใช้ฝึกระดับเพชรไร้พ่ายได้งั้นหรือ สวี่ชีอันตกตะลึง

ไต้ซือเสินซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าควรจะเข้าใจว่าร่างอมตะของข้ามีรากฐานมาจากอะไร สำหรับผู้อื่น พลังนี้ฝึกยาก ก้าวหน้าช้า แต่สำหรับเจ้า ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ฝึกถึงระดับสูงได้ เช่นนี้เจ้าก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองมากพอแล้ว”

พูดจบเขาก็กลั่นเลือดออกมาหยดหนึ่ง ดีดให้ลอยพุ่งชนกลางหว่างคิ้วสวี่ชีอัน

จากนั้นเขาก็ถูกขับออกจากโลกแห่งหมอกหนาทึบ และลืมตาขึ้นในห้องตัวเอง

‘เปรี๊ยะๆๆ…’

ท่ามกลางเสียงร่างกายปริแตก ผิวหนังภายนอกของเขาเกิดกล้ามเนื้อนูนขึ้น เส้นเลือดปูดโปน หลังจากนั้นพวกมันก็ถูกย้อมด้วยสีทองชั้นหนึ่ง เปล่งประกายท่ามกลางแสงเทียน

ในหัวสวี่ชีอันปรากฏคำว่า ‘เชี่ย!’ ตัวใหญ่ๆ

พลังเทพระดับเพชรเลื่อนขึ้นอีกขั้นแล้ว ตอนนี้ให้เขากับภิกษุจิ้งซือสู้กันตัวต่อตัวก็ยากจะบอกว่าใครเป็นผู้ชนะแล้ว

แน่นอนว่าห้ามให้เรื่องนี้เล็ดลอดไปสู่สายตาสำนักพุทธเด็ดขาด

สวี่ชีอันสลายระดับเพชรไร้พ่าย นั่งถือถ้วยชา จมดิ่งไปในห้วงความคิดข้างๆ โต๊ะ

ไต้ซือเสินซูเป็นคนของสำนักพุทธ เป็นการดำรงอยู่แบบอมตะ ไม่ตายไม่ดับสูญ…เช่นนั้นเขาก็ต้องเคยฝึกระดับเพชรไร้พ่าย แต่ท่านโหราจารย์เห็นด้วยกับพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธและเสนอชื่อข้าให้เข้าร่วมในฐานะตัวแทนสำนักโหราจารย์…

เหตุใดท่านโหราจารย์ถึงปูทางให้ข้า แล้วยังกระทำอย่างชัดเจนเช่นนี้อีก ไม่สิ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขากำลังเลี้ยงกระเทียมหอมล่ะ…

ตอนนั้นเอง ประตูก็ถูกเคาะเบาๆ

“ใคร”

สวี่ชีอันลุกไปเปิดประตู ท่ามกลางคืนมืดมิด นักบวชผมหงอกขาวคนหนึ่งยืนถือไม้ปัดฝุ่นพร้อมรอยยิ้มบางๆ

ด้านหลังเขาคือนักดาบชุดดำฉู่หยวนเจิ่น และชายร่างสูงใหญ่กำยำหลู่จื้อเซิน

“พวกท่าน…”

สวี่ชีอันตกตะลึง ทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงมาที่บ้านข้ากันเล่า

“ข้ามีสหายน้อยผู้หนึ่งกำลังเกิดปัญหา อยากขอให้ใต้เท้าสวี่ช่วยเหลือ” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว

……………………………………….