ตอนที่ 264-1 ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกับองค์ชายรัชทายาท

ชายาเคียงหทัย

ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรงพระประชวรหนัก ยังไม่ทันข้ามปีใหม่ดี บรรยากาศทั่วทั้งวังหลวงก็ดูจะอึมครึมขึ้นอย่างชันเจน ในท้องพระโรง ขุนนางฝ่ายหลีอ๋องกับขุนนางฝ่ายเสนาบดีหลิ่วทะเลาะเบาะแว้ง คอยหาเรื่องกันไม่ได้หยุดหย่อน

เหตุใดฮ่องเต้ถึงล้มป่วย คนที่มีสายข่าวดีต่างรู้กันดีแก่ใจ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังบัลลังก์ทองที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางตำหนักใหญ่ จนแม้แต่ฎีกาขอกำลังเสริมที่เหลิ่งจุ่นส่งมาจากด่านจื่อจิงยังถูกเพิกเฉยไป

ม่อจิ่งฉีนอนอยู่บนเตียง วันๆ ได้แต่นอนเฉยๆ แม้แต่จะช่วยตัวเองยังลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจัดการราชกิจในท้องพระโรงเลย

“ท่านอ๋อง” ขันทีที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกตำหนัก ด้วยเพราะอากาศที่หนาวเย็น จึงหดมือเข้าไว้ด้านในเพื่อให้อบอุ่น เมื่อเห็นบุรุษในชุดผ้าไหมเดินสาวเท้ายาวๆ เข้ามา จึงรีบก้าวเข้าไปทำความเคารพ ด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ

ม่อจิ่งหลีมองขันทีตรงหน้าด้วยสายตาเย่อหยิ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ามีเรื่องต้องการปรึกษาเสด็จพี่”

ขันทีผู้นั้นอึ้งไป เอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “แต่ยามนี้ฝ่าบาท…”

ม่อจิ่งหลีกวาดสายตาดุๆ มองเขา ก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทำไม? ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพี่ ยังต้องให้เจ้าอนุญาตหรือ”

ขันทีสามสี่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูต่างพากันหนักใจ พวกเขาได้รับคำสั่งจากพระสนมกุ้ยเฟยกับเสนาบดีหลิ่วว่าให้กันหลีอ๋องไม่ให้เข้าไปด้านใน เพียงแต่สถานการณ์ภายในวังยามนี้ ผู้ใดก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ยามนี้หลีอ๋องกำลังมีอำนาจล้นมือ พวกเขาย่อมมิอาจล่วงเกินได้

พวกเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วขันทีที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูก็พากันหลีกทางให้ เอ่ยพร้อมยิ้มประจบว่า “มิกล้า…ท่านอ๋องเชิญ”

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักบรรทม

ข้าวของเครื่องใช้ที่หรูหราเหลืองอร่ามพุ่งเข้าสู่สายตาเขา แววตาของม่อจิ่งหลีเป็นประกายวูบไหว มองม่อจิ่งฉีที่นอนอย่างไร้ซุ่มเสียงอยู่บนเตียง แล้วจู่ๆ ในใจม่อจิ่งหลีก็บังเกิดเป็นตามยินดีที่มิอาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

เขารู้ว่าม่อจิ่งฉีมิได้หลับ จึงค่อยๆ เดินเข้าไปข้างเตียงเขา กดสายตาลงมองบุรุษผิวเหลืองซีดที่นอนอยู่บนเตียง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจ ยาลับที่เขาได้มาจากหนานเจียง ให้ผลดีกว่ายาอู่สือซ่านมากนัก เวลากินเข้าไปไม่รู้สึกอันใดแม้แต่น้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่หยุดยา ผลของมันย่อมน่าตกใจกว่าอู่สือซ่านเป็นร้อยเท่า นี่เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ร่างกายของม่อจิ่งฉีก็ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว

ม่อจิ่งหลีคิดไปคิดมา ก่อนหยิบยาเม็ดเล็กๆ ออกมายัดเข้าปากม่อจิ่งฉี ดวงตาที่เหม่อลอยของม่อจิ่งฉี่ค่อยๆ เริ่มมีประกายขึ้น เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน นัยน์ตาก็มีประกายโกรธเกรี้ยวส่งออกมาทันที พร้อมส่งเสียงกึกกักๆ ออกมาจากลำคอ

ม่อจิ่งหลียังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ผินหน้าไปเอ่ยถามว่า “เสด็จพี่อยากตรัสอันใดหรือ”

“เจ้า…เจ้ายังกล้ามาอีก?!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยตะกุกตะกัก เขาไม่ได้พูดและไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว จนลำคอเขาแห้งผากอย่างหนัก

ม่อจิ่งหลียิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดข้าถึงต้องไม่กล้ามาด้วย เสด็จพี่ กระหม่อมเป็นห่วงฝ่าบาทหรอกนะ”

ม่อจิ่งฉีมองคนตรงหน้าด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ประหนึ่งอยากจะกัดเขาให้ตายเสียให้ได้

ม่อจิ่งหลีเดินสบายๆ ลงนั่งที่ข้างเตียง มองท่าทางโกรธเกรี้ยวของม่อจิ่งฉีแล้วใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มประหลาด “เสด็จพี่ ฝ่าบาทไม่ควรโทษกระหม่อมเลยจริงๆ หากจะโทษ…ก็โทษเสด็จแม่เถิด หากตอนแรกเสด็จแม่ไม่คิดอยากกดอำนาจพระองค์จนคอยยัดเยียดความคิดพวกนี้ใส่หัวกระหม่อมไม่หยุด หากมิใช่เพราะเสด็จแม่คอยให้ท้ายกระหม่อมเพื่องัดข้อกับฝ่าบาทเพื่ออำนาจของตนเองแล้ว ไม่แน่ว่ายามนี้พวกเราอาจจะยังเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันดีอยู่ก็ได้ เสด็จพี่…พระองค์รู้หรือไม่ว่าพระองค์ล้มเหลวกับการใช้ชีวิตเพียงใด ลองดูพระองค์สิ…เสด็จแม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ น้องชายก็ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ พระญาติที่เป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันเมินเฉยต่อพระองค์ พระองค์คิดว่าพวกเขาไม่รู้หรือว่าพระองค์กำลังประชวรอย่างหนัก แต่พวกเขาได้เอ่ยถามสักนิดหรือไม่ หากจะโทษก็ต้องโทษที่พระองค์ทรงพระทัยร้ายกับเหล่าเชื้อพระวงศ์มากเกินไป ดังนั้นเรื่องที่พระองค์ต้องประสบพบเจอในยามนี้จึงไม่มีผู้ใดยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่พระองค์โปรดปรานเป็นที่สุดกับตระกูลหลิ่ว…หึหึ เกรงว่าก็คงมีแผนการของตนเองแล้วกระมัง”

ตาม่อจิ่งฉีเบิกโพลงขึ้น สีหน้าดูไม่เชื่อ

ม่อจิ่งหลีก็หาได้สนใจไม่ เอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “หลายวันนี้หลิ่วกุ้ยเฟยมาหาพระองค์บ้างหรือไม่ คงไม่มีกระมัง…ใช่สิ ดวงใจของหลิ่วกุ้ยเฟยอยู่กับม่อซิวเหยานี่นะ ยามนี้นางจะมาดูมาแลพระองค์ได้อย่างไร ตระกูลหลิ่วกำลังหาทางช่วยดันพระโอรสของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮ่องเต้อยู่น่ะสิ”

ม่อจิ่งฉีโกรธจนหน้าเขียว คิดอยากตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็จนใจด้วยเพราะร่างกายไม่มีกำลังแม้แต่จะตะโกนออกมา

ได้ยินเพียงม่อจิ่งหลีเอ่ยต่อว่า “เสด็จพี่ ทรงทราบหรือไม่…หากให้น้องชายพระองค์ ข้าขึ้นนั่งบัลลังก์ บางทีพระองค์อาจยังเหลือทางรอด เพราะถึงอย่างไร…ต่อให้เพราะเห็นแก่เสด็จแม่กับม่อซิวเหยา ข้าก็จะให้พระองค์ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หากบุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นนั่งบัลลังก์แล้ว ข้ารับประกันว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ไม่เกินหนึ่งเดือนแน่ ถึงอย่างไร หากเหนือฮ่องเต้น้อยยังมีไท่ซั่งหวง* อยู่ หลิ่วกุ้ยเฟยจะได้เป็นฮองไทเฮาที่คอยบัญชาราชกิจอยู่หลังม่านได้อย่างไร เสด็จพี่ ไม่คิดเลยหรือว่า กุ้ยเฟยที่เยือกเย็นและเย่อหยิ่งประหนึ่งน้ำค้างแข็งของพระองค์นั้นก็มีใจทะเยอทะยานเช่นนี้เช่นกัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงอยากคอยบัญชาการอยู่หลังม่าน หึหึ…นางต้องการควบคุมต้าฉู่ทั้งแคว้น จากนั้นก็จะแย่งม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีอย่างไรเล่า เป็นสตรีที่โง่เขลาในความรักอันใดเช่นนี้ เสด็จพี่พระองค์ว่าใช่หรือไม่”

“อ๊า…!” สีหน้าม่อจิ่งฉีเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง จนในที่สุดก็ร้องอ๊าก่อนกระอักเลือดสดๆ ออกมา เขานอนอยู่บนเตียง ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นนั่ง เลือดที่กระอักออกมา จึงเปื้อนเต็มคอและฉลองพระองค์ด้านหน้า แม้แต่ใบหน้าครึ่งท่อนล่างก็เต็มไปด้วยรอยเลือด มองดูแล้วทั้งน่ากลัวและน่าสังเวช ประมุขแห่งยุคกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความโกรธแค้นและเสียใจที่อยู่ภายในมีมากเพียงไร แค่เพียงลองนึกดูก็จะรู้ได้

สายตาม่อจิ่งหลีที่มองเขาไม่มีความเวทนาสงสารเลยแม้แต่น้อย “ว่าอย่างไร เสด็จพี่ พระองค์ใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง”

ม่อจิ่งฉีจ้องหน้าเขาอยู่เป็นนาน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเลือดมีรอยยิ้มประหลาดเพิ่มขึ้นมาให้เห็น จนทำให้ม่อจิ่งหลีต้องหรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ

ม่อจิ่งฉีสูดหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “จะบีบบังคับข้าให้ยอมทำตาม? เจ้าน้องชาย…เจ้าอย่าลืมว่าข้าต่างหากที่เป็นพี่ใหญ่ เล่ห์เหลี่ยมพวกนั้นของเจ้า ข้าเคยใช้มาก่อนแล้วทั้งนั้น ตอนแรกข้า…ไม่น่าปราณีเจ้าเลยจริงๆ!”

ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของม่อจิ่งฉี ในใจก็บังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่า ม่อจิ่งฉีจะมีไม้เด็ดอันใดซ่อนไว้อยู่อีก

ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วจับจ้องไปยังบุรุษสภาพน่าเวทนาที่นอนอยู่บนเตียง

ม่อจิ่งฉีมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “จิ่งหลี…ผ่านมาก็หลายปีแล้ว แต่เจ้ายังมีบุตรเพียงคนเดียวเท่านั้นกระมัง”

ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย งุนงงว่าเหตุใดเขาถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นในยามนี้

แล้วก็ได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยต่อเรื่อยๆ ว่า “หากข้าจะบอกว่า ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะมีบุตรได้เพียงคนเดียว เจ้าจะทำเช่นไร”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” สีหน้าม่อจิ่งหลีเปลี่ยนไป ก้าวเข้าไปคว้าสาบเสื้อ ดึงตัวม่อจิ่งฉีขึ้นมาจากเตียง แล้วตะคอกถามเสียงเข้ม

สำหรับบุรุษแล้ว บางคราเรื่องทายาทสืบทอดนั้นสำคัญยิ่งกว่าอำนาจเสียอีก ถึงแม้มีหลายคนที่เพื่ออำนาจแล้ว จะยอมเสียสละบุตรชายหรือบุตรสาวของตนเองได้ แต่นั่นก็เพราะเขามีบุตรอยู่หลายคน แต่หากไม่มีเลยสักคนแล้ว ความหมายของอำนาจและยศศักดิ์ทั้งหลายในโลกนี้ ก็คงลดหายไปกว่าครึ่ง ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์แล้ว แต่กลับมิอาจส่งต่อให้กับทายาทของตนได้ ก็เปรียบประหนึ่งเงินทองที่พากเพียรหามาด้วยความยากลำบากทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วต้องมายกให้กับบุตรชายของผู้อื่นกระนั้น

ถึงแม้ใช่ว่าม่อจิ่งหลีจะไม่มีบุตรชาย แต่บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา ก็เป็นบุตรที่เกิดจากเยี่ยอิ๋ง ที่ทั้งยังเล็กและเจ็บออดๆ แอดๆ อายุยังไม่เต็มเจ็ดขวบดี แต่กลับดูน่าเป็นห่วงว่าเขาจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี

เมื่อได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยเช่นนี้ ใจม่อจิ่งหลีก็กระตุกวาบ จ้องม่อจิ่งฉีด้วยสายตาดุดันพลางเอ่ยว่า “เจ้าทำอันใดลงไป ไม่…เจ้าไม่มีทางวางยาข้าได้/เจ้าไม่มีทางมีโอกาสวางยาข้า?!”

ม่อจิ่งหลีมิใช่คนที่ไม่ระมัดระวังตัว อันที่จริงเขาระมัดระวังพี่ชายคนนี้เสียยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น ตามปกติเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและการเดินทางเขาคอยระมัดระวังเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ม่อจิ่งฉีไม่มีโอกาสวางยาเขาอย่างแน่นอน

ม่อจิ่งฉีหัวเราะหึหึออกมา เมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของน้องชาย ก็ให้รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง “จิ่งหลี เจ้าควรขอบคุณค่าที่ยังละเว้นให้เจ้ามีบุตรชายกับเขาคนหนึ่ง หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเป็นท่านอ๋องดีๆ ไม่ชอบ แต่ดึงดันจะเป็นปฏิปักษ์กับข้า”

ม่อจิ่งหลีสีหน้าบึ้งตึงอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาว่า “เจ้าก็บอกเอง ว่าอย่างน้อยข้าก็ยังมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง เชื่อหรือไม่ ข้าจะค่อยๆ ฆ่าบุตรชายของเจ้าทีละคนๆ จนหมด?!”

ม่อจิ่งฉีกลับไม่สนใจคำขู่ของเขา เพียงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าในตำหนักเจ้านั้นเป็นบุตรชายของเจ้าจริงๆ หรือ จิ่งหลีเจ้าไม่รู้อันใด บุตรที่ชายาหลีอ๋องเพิ่งคลอดออกมานั้น ข้ายังเคยอุ้มกับมือมาแล้วด้วยซ้ำ นั่นเป็นเด็กชายที่ตัวขาว อวบอ้วนสมบูรณ์แข็งแรงทีเดียว เจ้าเด็กขี้โรคในตำหนักเจ้า ตัวยังโตไม่ได้ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ”

“ชาติชั่ว! สารเลว” ม่อจิ่งหลีโกรธจัด ผลักม่อจิ่งฉีกลับลงบนที่นอนโดยแรง แล้วก็พุ่งเข้าไปบีบคอเขาไว้ พร้อมตะคอกด้วยความโกรธจัดว่า “เจ้าเอาบุตรชายของข้าไปไว้ที่ใด! พูดมา!”

ม่อจิ่งฉีประหนึ่งมองไม่เป็นมือที่บีบแน่นอยู่บนลำคอของตน ใบหน้าซีดเหลืองเกร็งจนแดงเถือกไปหมด แต่ดวงตายังคงปิดแน่นประหนึ่งไม่ได้ยินคำถามอันใดทั้งสิ้น

จนในที่สุดม่อจิ่งหลีก็ต้องปล่อยเขาลงอย่างยอมแพ้ เขามิอาจฆ่าม่อจิ่งฉีได้ในยามนี้ เพราะถึงยามนั้นเรื่องตำแหน่งฮ่องเต้คงไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาคงได้กลายเป็นคนที่มีความผิดร้ายแรงอย่างการสังหารประมุขแห่งแคว้นติดตัวไปอย่างแน่นอน

ม่อจิ่งหลีมองคนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่พูดใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีวิธีเล่นงานเจ้าหรือ ข้าจะฆ่าพระโอรสเจ้าวันละคนให้เจ้าดู สักวันเจ้าก็จะบอกข้าเอง”

ม่อจิ่งฉีลืมตาขึ้นมองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจะตายอยู่แล้ว ยังจะช่วยอันใดพวกเขาได้อีก ต่อให้เจ้าฆ่าบุตรชายของข้าจนหมดแล้วอย่างไร ยามนี้ฉางเล่อยังอยู่ที่ซีเป่ย ต่อให้นางเป็นบุตรสาว แต่อย่างไรก็เป็นสายเลือดของข้า ส่วนเจ้า…ชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าเจ้าจะไร้ทายาทสืบสกุล หากเจ้าฆ่าพระโอรสข้าเพียงคนเดียว ข้ารับรองว่า วันรุ่งขึ้นบุตรชายของเจ้าจะได้ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะอาหารเจ้าอย่างแน่นอน”

เรื่องนี้ ม่อจิ่งหลีต้องยอมรับว่าเรื่องความโหดเหี้ยมนั้น เขาสู้พี่ชายตนเองไม่ได้เลยจริงๆ “เจ้าคิดจะทำเช่นไรกันแน่ ตัวเจ้าเองควรจะรู้ว่า ร่างกายของเจ้าคงจะกลับมาดีไม่ได้อีกแล้ว เจ้าคิดว่าการยกบัลลังก์ให้กับหลิ่วกุ้ยเฟย จะทำให้เจ้าปลอดภัยอย่างนั้นหรือ”

เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เขาไม่มีทางใช้ยาที่มียาถอนพิษอย่างแน่นอน

เมื่อเอ่ยถึงหลิ่วกุ้ยเฟย นัยน์ตาของม่อจิ่งฉีก็เป็นประกายโกรธแค้น เขาหรุบตาลงคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถึงได้เอ่ยว่า “ข้าคิดจะทำเช่นไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”