ภาค 3 บทที่ 77 สร้างความลำบากให้เจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 77 สร้างความลำบากให้เจ้า โดย Ink Stone_Romance

เสียงของเขาทุ้มนุ่มแล้วยังทื่อมะลื่ออยู่บางส่วน เหมือนกับเด็กที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่งเอ่ยวาจากับผู้คน ท่าทางขัดเขินอยู่บ้าง ทำให้คนรู้สึกสนิทสนมอย่างไม่รู้ตัว

แต่คำที่เสียงทื่อมะลื่อขัดเขินนี่เอ่ยออกมากลับไม่ทำให้คนรู้สึกน่าสนิทสนม น่าเข้าใกล้

ข้ากำลังสร้างความลำบากให้เจ้าอยู่ไง

คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉีตรงหน้า บางทีสำหรับคนข้างนอกแล้ว ท่าทางเช่นนี้ของลู่อวิ่นฉีคงไม่คุ้นตานัก แต่สำหรับนางแล้วลู่อวิ๋นฉีแบบนี้ถึงคุ้นเคยที่สุด

เพียงแต่หน้าตาคุ้นเคย คำพูดกลับไม่คุ้น

คุณหนูจวินยิ้ม

“ข้าเข้าใจ” นางเอ่ย “ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังสร้างความลำบากให้ข้า ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าท่านคิดอย่างไร”

ลู่อวิ๋นฉีส่งเสียงหืมทีหนึ่ง

“ไม่เข้าใจได้อย่างไร” เขาเอ่ย เดินทีละก้าวๆ เข้ามาใกล้ “ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็อยู่เสีย”

คุณหนูจวินไม่ได้ถอยหลบ เพียงมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง

“อยู่เสีย?” นางยิ้มเอย “เหมือนกับพวกผู้หญิงเหล่านั้นหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทมองนาง

“ไม่ เจ้าอยู่ที่นี่ได้” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

“ใต้เท้าลู่กล้านักจริงๆ” นางเอ่ย “ถึงกับกล้ารั้งข้าไว้ ท่านคงรู้ว่าข้าเป็นหมอคนหนึ่ง หมอช่วยคนได้ก็ฆ่าคนได้”

ลู่อวิ๋นฉีส่งเสียงหืมทีหนึ่ง หน้าตาน้ำเสียงยังคงนิ่งสงบราบเรียบ

“แม้ข้าไม่ใช่หมอ” เขาเอ่ย “แต่ข้าก็ทำให้คนอยากตายตายไม่ได้ อย่างที่ผู้คนว่ากันว่าเป็นไม่สู้ตาย”

“ถ้าข้าไม่อยู่เล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่ในสถานที่ซึ่งเจ้าปรารถนาจะอยู่ที่สุดไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “พูดความจริง ไม่อยากเห็นใบหน้านี้ของเจ้ายิ่งนัก เจ้ามีหน้าตาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

ในดวงตาของเขาลังเลอยู่บ้าง ไม่พอใจอยู่บ้าง รวมถึงบ้าคลั่งอยู่บ้าง

คนที่ใบหน้าเช่นนี้ทำไมมีกลิ่นอายของนางได้?

กลิ่นอายของนางไม่ควรปรากฏอยู่บนตัวคนที่มีใบหน้าเช่นนี้

ทำไมกัน?

เขายกมือจะไปบีบหน้าของเด็กสาวคนนี้

เหมือนกับครั้งนั้นที่ในวังไหวอ๋องเช่นนั้นหรือ?

คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางอนุญาตให้เป็นเช่นนั้นอีก ยกมือตีไป

ลู่อวิ๋นฉียกแขนขึ้นมาขวางไว้ แต่ไม่ได้ปัดมือเรียวเล็กของเด็กสาวคนนั้นออก มือของนางก็ดูเหมือนไม่ได้เจตนาตี แต่ต้องการจับแขนของลู่อวิ๋นฉี

ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาบนแขน เห็นชัดนักว่าถูกสิ่งแปลกปลอมแทงเข้าไป

คนธรรมดาฉับพลันพบกับความเจ็บปวด ไม่ทันรู้ตัวก็จะปัดสะบัดออก แต่ลู่อวิ๋นฉีราวกับไม่รู้สึกรู้สานิ่งไม่ขยับ

เสื้อฤดูใบไม้ผลิบาง มีรอยเลือดซึมออกมาจากร่องนิ้วของคุณหนูจวิน

“แหวน” ลู่อวิ๋นฉีเสียงนิ่งสงบเอ่ย มองมือที่จับบนแขนของตนเอง

ใต้รอยเลือดประดับยิ่งแลดูขาวเนียน

บนนิ้ว เดิมสวมแหวนทองวงหนึ่งไว้ เวลานี้หายไปไม่เห็นแล้ว

น่าจะแทงเข้าไปในแขนของตนเอง

“เจ้าชอบของพรรค์นี้สินะ” ลู่อวิ๋นฉีมองนาง “ข้ามีมากนัก ให้เจ้าเล่น”

เสียงนี้เอ่ยคำพูดนี้ออกมา เรียบง่ายตั้งใจ เต็มไปด้วยความจริงใจ

หากไม่เห็นหน้าของเขา หาไม่รู้ว่าของที่เขาพูดถึงเป็นเครื่องลงทัณฑ์ทรมานสังหารคนล่ะก็นะ

“ท่านไม่กลัวมีพิษสังหารท่านตายหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

ลู่อวิ๋นฉีมุมปากโค้งนิดๆ

“เจ้าตัดใจลงหรือ?” เขาตั้งใจเอ่ย

ที่ตัดใจไม่ลงย่อมไม่ใช่ชีวิตเขา แต่เป็นชีวิตของคุณหนูจวินเอง

ลู่อวิ๋นฉีรู้ความหมายของคำพูดเขา คุณหนูจวินก็รู้

มือของคุณหนูจวินออกแรง คนก็ถอยไปข้างหลัง ดิ้นหลุดจากมือของลู่อวิ๋นฉี

ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ได้ตามมาอีก ทิ้งมือลงยืนนิ่ง

“ข้าตัดใจไม่ลง” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นข้าจะไม่กลัว”

นางพูดจบก็หมุนตัวจากไป

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ไล่ตามหรือตวาดรั้ง เพียงแค่สายตาติดตามนางไป

องครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูมองเห็นนางออกมาก็ไม่ได้ขวาง แต่เปิดประตูอย่างเคารพ ค้อมกายคำนับส่งอย่างนอบน้อม

การปฏิบัติเช่นนี้ คุณหนูจวินรู้ นอกจากลู่อวิ๋นฉีมีเพียงสองคนที่ได้สัมผัส

คนหนึ่งคือฉู่จิ่วหลิง คนหนึ่งคือจวินจิ่วหลิง

แต่ครั้งนี้ จวินจิ่วหลิงจะไม่มีทางเป็นฉู่จิ่วหลิงแล้ว

มองเห็นคุณหนูจวินออกมา คนรถที่ยืนหน้าซีดขาวอยู่ด้านนอกถึงผ่อนลมหายใจพิงบนตัวรถ สายตาไม่ลืมกวาดมองบนตัวคุณหนูจวินรอบหนึ่ง

เสื้อผ้าเรียบร้อยสะอาด ผมเผ้าก็ไม่ยุ่งเหยิง สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

คนรถก้มศีรษะเชิญคุณหนูจวินขึ้นรถ สะบัดแส้เร่งม้าจากไป

ประตูจวนสกุลลู่ด้านหลังปิดลงเชื่องช้า

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงใช้นิ้วมือนิ้วหนึ่งเลิกม่านรถนิดหนึ่งมองไป

พี่สาวรู้ว่านางมาไหมนะ? ก็ไม่อาจพบหน้าได้สักหน่อย

น่าสงสารพี่สาวที่ถูกขัง ชื่อเสียงถูกละเลงเล่นข้างนอก

แน่นอนนางไม่ได้กังวลว่าพี่สาวจะสนใจเรื่องเหล่านี้ พี่สาวยิ่งไม่มีทางเหมือนจิ่วหรงเจ้าเด็กโง่คนนั้น ถูกคนยั่วยุจนคิดว่าว่าตนแย่งพี่เขยเขาทำให้พี่สาวเขาถูกรังแก

ใครจะสนใจว่าคู่แค้นคนหนึ่งจะรับอนุภรรยาหรือลุ่มหลงนารี

รถม้าโงนเงนเลี้ยวอ้อมขับออกจากถนนด้านนี้ คุณหนูจวินรั้งสายตากลับไป

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าลู่อวิ๋นฉีจะถึงกับบ้าคลั่งเช่นนี้ เพื่อให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่เมืองหลวง ขุนนางคนใดเขาก็ล้วนข่มเหงตามใจหรือ? เหิมเกริมจนโอหังไม่กลัวเกรงเช่นนี้แล้วหรือ?

“นี่ไม่ใช่เพียงความโอหังไม่กลัวเกรงที่เติบใหญ่แน่นอน และนี่ก็ไม่ใช่บังเอิญ”

ได้ยินท่านหมอเกิ่งเล่า เจียงโหย่วซู่พลันนั่งตัวตรง

ในห้องเวลานี้มีเพียงหมอหลวงสามสี่คนนั่งกระจายอยู่ เทียบกับก่อนหน้านี้และดูวังเวงนัก

หลังคุณหนูจวินปลูกฝีสำเร็จ บรรดาหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวงก็มีคนมากมายเปลี่ยนไป มีคนแอบไปหาท่านหมอเฒ่าเฝิงแห่งกรมฝีผู้ดูแลเรื่องการปลูกฝีขอคำสั่งสอน

คนที่ยิ่งหน้าไม่อายก็คือท่านหมอเฒ่าเฝิง ถึงกับสอนหมอหลวงเหล่านี้จริงๆ

นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เรียนมาจากโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนั้น เริ่มเสแสร้งทำใหญ่โตลืมตัวมาเป็นครูชี้แนะคนอื่นแล้ว

หลังหัวหน้ากองพันลู่ทะเลาะกับคุณหนูจวิน คนเหล่านี้ก็สงบไปบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าจอหงวนหนิงถึงกับประกาศต่อหน้าผู้คนว่าตนเองมีสัญญาหมั้นกับคุณหนูจวิน

คราวนี้ดีแล้ว ชื่อเสียงของคุณหนูจวินฟื้นกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่เพียงมีหมอหลวงไปเรียนการปลูกฝี ยังมีหมอหลวงตอนออกตรวจพบความลำบากไปขอคำชี้แนะจากโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว ยังหน้าไม่อายบอกแก่องค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูงที่เชิญให้รักษาว่าคุณหนูจวินชี้แนะมาแล้ว คุณหนูจวินบอกว่าเขารักษาได้ พยายามให้ได้รับการยอมรับ

ชื่อของสำนักแพทย์หลวงถูกพวกเขาโยนทิ้งไปแล้ว พวกเขาพูดว่าพวกเขาเป็นหมอของโรงหมอจิ่วหลิงไปเลยสิ

ใครทนได้ก็ไม่มีอะไรทนไม่ได้แล้วจริงๆ

เจียงโหย่วซู่ตบโต๊ะทีหนึ่ง

“ข้าก็เคยบอกแล้วว่าลู่อวิ๋นฉีคนพรรค์นี้ไม่มีทางถูกขู่ให้กลัวได้” เขาเอ่ย “ดูเอาเถอะ ชื่อเสียงชายหญิงทำลายเจ้าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำลายของที่เป็นหลักเป็นฐานของนางเสีย”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ท่านหมอเกิ่งรีบพยักหน้าตาม ท่าทางชิงชังอยู่บ้าง “นางเป็นหมอ ไม่มีใครเชิญนางรักษา ดูสินางยังอยู่ต่อไปอย่างไร”

หมอหลวงหลายคนสบตากันทีหนึ่งท่าทางวิตกกังวลอยู่บ้าง

“พูดเช่นนี้ ขอเพียงเชิญคุณหนูจวินมารักษาก็จะถูกองครักษ์เสื้อแพรกลั่นแกล้ง?”

“แต่คนเหล่านั้นจำนวนหนึ่งล้วนเป็นขุนนางชั้นสูง ก่อเรื่องเช่นนี้ พวกเขาไม่ฟ้องหรือ?”

ต่อให้เป็นหมอหลวงผู้ยืนหยัดจะปกป้องตนเหล่านี้ที่เหลืออยู่ พวกเขาก็ไม่ได้มาดมั่นเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ดูอย่างไรก็ท่าทางงอมืองอเท้า ทำให้คนเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ

“ก่อเรื่องอย่างไร? ไม่ใช่ล้วนให้เหตุผลออกมาหรือ?” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “พวกเจ้าโง่ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่โง่ ไม่มีเหตุผลสร้างเหตุผลสักอันออกมาไม่ใช่ก็ได้แล้วรึ ยัดของป้ายความผิดไม่ใช่เรื่องถนัดที่สุดของพวกเขาหรือ?”

บรรดาหมอหลวงอับอายพยักหน้า

“เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล” ยังมีหมอหลวงคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น

เจียงโหย่วซู่หัวเราะหยันทีหนึ่ง

“ได้ผลไม่ได้ผล ขู่คนกลัวได้ก็พอ” เขาเอ่ย “โบราณว่าไว้ ไม่กลัวโจรขโมย กลัวก็แต่โจรคิดถึง ใครจะยินดีถูกองครักษ์เสื้อแพรคิดถึงเล่า อย่างไรก็ต้องครุ่นคิดดูบ้าง”

…………………………………..