อนุสรณ์กระบี่สีดำตั้งตะหง่านอยู่ระหว่างชั้นฟ้าและผืนดิน แผ่ขยายอย่างโอฬารน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายสะกดข่มของสวรรค์และปฐพี
จี้เทียนซิงได้เห็นอนุสรณ์กระบี่สีดำซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสายลมและน้ำแข็งค้างที่กัดกร่อนมาเป็นเวลาหลายปี มันดูเก่ามาก
อนุสรณ์กระบี่แห่งนี้มิอาจทราบได้ว่าดำรงอยู่มาเนิ่นนานเพียงใด มันดูราวกับว่าอยู่คู่สวรรค์และปฐพีมาเนิ่นนานยิ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดกระบี่ที่สูงขึ้นไปและได้เห็นว่ากระบี่ถูกจารึกไว้ด้วยอักษรที่เป็นรอยด่าง 4 คำ
แต่ละคำลากเส้นสายไว้อย่างซับซ้อนซึ่งดูแข็งแรงและทรงพลัง มันดูเหมือนว่ามีเจตน์กระบี่อันคมกล้าไร้ที่เปรียบที่ฉีกกระชากทั่วชั้นฟ้า
จี้เทียนซิงมองดูมันมากขึ้นและมากขึ้นอย่างตั้งใจราวกับว่าถูกสะกดไว้ด้วยเจตน์กระบี่ของอักษรสี่ตัวนี้
คำทั้งสี่นี้ลึกลับและโบราณมาก พวกมันมิใช่คำหรือภาษาของยุคนี้ เขาไม่เคยเห็นอักษรเหล่านี้มาก่อน
แต่สิ่งที่ผิดแผกก็คือ จี้เทียนซิงกลับหยั่งสัมผัสและจดจำอักษรเหล่านี้ได้ในใจ
สุสานเทพกระบี่ !
“สุสานเทพกระบี่?นี่เป็นสุสานงั้นหรือ?”
จี้เทียนซิงรู้สึกงงงวยและขบคิดในใจว่า “มิน่าแปลกใจที่มันดูคร่ำครึและหม่นหมองเช่นนี้ แถมยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย”
“จะอย่างไรข้าก็เพียงเคยได้ยินแค่ผู้เชี่ยวชาญเต๋ากระบี่, มือกระบี่อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง คนผู้นั้นเพียงแค่กล้าเรียกตนเองว่าบรรพบุรุษกระบี่เท่านั้นเอง แล้วเจ้าของสุสานผู้นี้เป็นยอดฝีมือท่านใดกันถึงกล้าเรียกตนเองว่าเทพกระบี่ ? ระดับพลังของเขาถึงขั้นใดกันแน่ ?”
จี้เทียนซิงไม่อาจเข้าใจได้, เทพกระบี่คือชื่อเขตแดน
แต่มันสามารถคาดเดาได้ว่าสุสานของเทพกระบี่นั้นย่อมเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ และเจ้าของสุสานย่อมเป็นสุดยอดฝีมือชั้นสูงที่เหนือจินตนาการของมัน !
มันรั้งสายตากลับจากอนุสรณ์กระบี่และเคลื่อนกายไป
อีกครู่หนึ่ง มันมาถึงใต้ฐานกระบี่และมองไปที่รกร้างรอบด้าน
มันเห็นว่าที่รกร้างทางสองฟากข้างของอนุสรณ์กระบี่นั้นตั้งไว้ด้วยศิลาจารึกที่มืดมิดหลายสิบแห่ง (Tombstone ศิลาจารึกหน้าหลุมศพหรือป้ายหลุมฝังศพ)
จี้เทียนซิงนับอยู่หลายครั้งและพบว่าศิลาจารึกมีทั้งหมดสิบแปดจุด มันอยู่ทั้งสองด้านของอนุสรณ์กระบี่ฝั่งละเก้าจุด
มันเดินไปที่แถวซ้ายของศิลาจารึกและพบว่าศิลาแต่ละอันถูกจารึกไว้ด้วยอักษรโบราณ
ศิลาจารึกมีจำนวนอักษรไม่เท่ากัน บางอันก็มีมากกว่าร้อยคำ บางอันก็มีเพียงหนึ่งหรือสองประโยค แต่สำหรับจี้เทียนซิงนั้น อักษรลึกลับโบราณเหล่านี้ไม่คุ้นตาเลย
แต่ยามที่มันจ้องไปที่ศิลาจารึกอันแรกอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจของมันกลับกำเนิดความคิดอันคมกล้าขึ้นและทำให้มันจดจำภาษาที่ซับซ้อนพวกนี้ได้
“เขตแดนเต๋ากระบี่แรกเริ่ม,ดวงใจกระบี่…”
*“ดวงใจกระบี่มีไว้เพื่อบรรเทากายกระบี่ ควบแน่นดวงใจกระบี่ จุดสำคัญคือไร้ซึ่งกระบี่,*กระบี่ดำรงอยู่ในใจ … ”
เมื่อได้เห็น จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง หัวใจของมันเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ
ประโยคทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และพวกมันก็มิได้สอดคล้องกับประสบการณ์การฝึกปรือและความรู้ความเข้าใจของเขา มันหักล้างความเข้าใจชั่วชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง !
เขาได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาสิบปราณกระบี่ตั้งแต่วัยเยาว์ และนับตั้งแต่วันแรกเขาก็ฝึกฝนการถือจับกระบี่แล้ว
ไม่เพียงแค่ตนเองเท่านั้น แม้แต่สุดยอดฝีมือแห่งศาสตร์กระบี่ในรัฐนภากระจ่างก็ยังต้องใช้กระบี่ในการร่ายวิชากระบี่
แม้แต่สุดยอดมือกระบี่อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง, อาวุโสบรรพบุรุษกระบี่ก็ยังมิเคยทิ้งกระบี่และพกติดตัวไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่คำจารึกของศิลาจารึกอันนี้กล่าวว่า การฝึกปรือศาสตร์กระบี่ของเขตแดนดวงใจกระบี่นี้กลับต่างออกไป หลังจากฝึกฝนจนบรรลุแล้ว ไร้ซึ่งกระบี่และกระบี่อยู่ในใจ
สิ่งนี้มันมิผิดแผกเกินไปหรอกหรือ*?*
หากไร้กระบี่ในมือแล้วจะฝึกฝนกระบี่ผีสางอันใดได้*?*
จะร่ายรำเพลงกระบี่ได้อย่างไร*?*
จี้เทียนซิงขบคิด *“*หากศิลาจารึกพวกนี้เอ่ยเรื่องไร้สาระที่ผิดแผกจากสามัญสำนึกในเชิงยุทธ์ทั่วไป มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกปรือ !”
แต่เมื่อเขาได้คิดกลับในอีกมุมมองหนึ่งว่านี่คือสุสานเทพกระบี่ คำที่ถูกจารึกไว้เหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือไว้ของเทพกระบี่เป็นแน่ หรือต้องเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่…
ดังนั้นด้วยทัศนคติที่เอ่อล้นไปด้วยความสงสัยและยังมองในแง่ดี จี้เทียนซิงก็ยังคงมองมันต่อไป
*“ดวงใจกระบี่ขั้นแรก ทำลายตันเถียนตนเองโดยมีลมปราณตนเองเป็นฐาน,เกื้อหนุนด้วยพลังงานจากสวรรค์,ควบแน่นปราณกระบี่,*ตั้งครรภ์ตัวอ่อนกระบี่…”
จี้เทียนซิงออกอาการโง่งมเล็กน้อย เขาคิดว่าคำเหล่านี้ได้เปิดหูเปิดตาให้เขาแล้ว ความรู้ความเข้าใจและมุมมองทั้งสามทศวรรษที่ผ่านมาถูกล้มล้างโดยสิ้นเชิง
“มารดามันเถอะ ! เคล็ดวิชาผีสางดวงใจกระบี่อันใดนี่ ? หากจะฝึกปรือดวงใจกระบี่ต้องทำลายตันเถียนก่อน ?”
“ตันเถียนเป็นรากฐานของการฝึกฝนวิทยายุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ คนเรามีชีวิตเดียวใครจะบ้าทำลายตันเถียนเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาผีสางนี่ นอกเสียจากมันจะเป็นคนบ้า !”
แต่เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง จี้เทียนซิงก็ตกตะลึงและเริ่มมีความคิดแปลกๆในใจของเขา
“เดี๋ยวนะ ! ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไม่อาจทำลายตันเถียนตนเองเพื่อฝึกฝนดวงใจกระบี่ แต่ข้านั้นต่างออกไปนี่นา !”
“ตันเถียนของข้าไม่มีอีกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ชั่วชีวิตนี้จะไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง เพียงหยุดอยู่แค่ขั้นปรับแต่งกายาไปจนตาย …..บางที ข้าลองดูคงไม่เสียหายอันใด”
จี้เทียนซิงรู้สึกว่าเคล็ดดวงใจกระบี่มิใช่เรื่องหลอกลวงเพียงแต่มันมิได้สอดคล้องกับสามัญสำนึกของวิชายุทธ์ทั่วไป มันแทบจะราวกับเป็นวิชาปีศาจด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเขาถูกบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวังไปแล้ว หากเขาต้องการที่จะฟื้นฟูพลังและแก้แค้นหลิงหยุนเฟย เขาจะไม่ปล่อยโอกาสใดๆที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน
ต่อไปเขาก็อ่านคำแรกของศิลาจารึกอย่างรอบคอบ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เข้าใจบางส่วน
“ถ้าข้าต้องการฝึกฝนดวงใจกระบี่ ข้าต้องใช้การปรับเปลี่ยนลมปราณปรับแต่งกายา, ใช้เพียงแก่นแท้ลมปราณของข้าในผสานกับพลังงานสวรรค์, ควบแน่นเป็นปราณกระบี่ จากนั้นก็ใช้ปราณกระบี่เพาะพันธุ์ตัวอ่อนกระบี่ในร่างกาย…”
จี้เทียนซิงใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการขบคิดว่าวิธีการบ่มเพาะนี้ใหม่มากและอาจเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ
เขาจำประโยคแรกของศิลาจารึกอันแรกและมองไปยังศิลาจารึกอันที่สอง
ศิลาจารึกอันที่สองมีคำน้อยกว่า มันมีเพียงยี่สิบคำและบันทึกเกี่ยวกับการทำสมาธิ
จี้เทียนซิงจดคำเหล่านั้นทั้งหมดและมองไปที่ศิลาจารึกอันที่สามสี่และห้า..
ผลออกมาให้เขาพบว่าทุกคำของศิลาจารึกต่อๆไปยิ่งกลายเป็นลี้ลับมากขึ้นเรื่อยๆ
นับได้ว่าเขาสามารถจดจำทั้งหมดในศิลาจารึก แต่ไม่อาจทำความเข้าใจพวกมันได้เลย เขาไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น
เขามองแล้วมองอีกจนรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อยและความคิดเริ่มสับสน
จี้เทียนซิงรู้ว่าเขตแดนพลังของเขานั้นต่ำเกินกว่าที่จะฝึกฝนตามเคล็ดความส่วนหลัง หากบังคับตนเองให้บ่มเพาะอย่างลึกซึ้งมากเกินไปเขาอาจจะสูญเสียประสาทสัมผัสและกลายเป็นบ้าไปได้
ดังนั้นเขาจึงถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็วและเลิกเพ่งศิลาจารึกพวกนั้น
“กัดคำเดียวดีกว่าชิมไม่เลือก… เคล็ดดวงใจกระบี่เป็นดั่งวิชาปีศาจ มันต้องฝึกอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปและทำความเข้าใจ”
“ข้าออกจากที่นี่ไปก่อนแล้วลองฝึกฝนดวงใจกระบี่ขั้นแรกดู”
เพียงแค่จี้เทียนซิงตั้งสติและคิดที่จะออกไป พื้นที่ลึกลับและศิลาจารึกโบราณทั้ง 18 แห่งก็กลายเป็นภาพลวงตาและเบลอไปทันที
ในเวลาต่อมาดวงจิตของจี้เทียนซิงก็กลับไปที่จุดเดิมและเขาก็ตื่นขึ้น เขาลุกขึ้นจากเตียง เปิดตาแล้วมองไปรอบๆพบว่าตนเองยังอยู่ในห้องเดิม
เมื่อมองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าล่วงเลยเข้าสู่ยามราตรีแล้ว และแสงไฟภายในสกุลจี้ก็สว่างขึ้น
เขาหยิบชาขึ้นมาและจิบชาเล็กน้อย เขารู้สึกอ่อนล้าและขมวดคิ้วพร้อมกับกระซิบกับตนเองว่า “เหตุใดข้าถึงหลับราวกับฝันไป?**”
“ไม่รู้ว่าสุสานเทพกระบี่และศิลาจารึกทั้ง 18 นั่นเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่…” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วมุ่นและจำได้ว่าประโยคทั้งหมดบนศิลาจารึกอันที่หนึ่งและสองยังคงปรากฏในใจของเขาอย่างชัดเจน
เขาลังเลที่จะคิดถึงมันอยู่ครู่หนึ่งและสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะผุดลุกขึ้นลองฝึกฝนวิถีใจกระบี่ดู