ตอนที่ 1439 ร้อยเผ่าแดนวิญญาณ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เช้าตรู่วันที่สองเมื่อจินเย่ว์และอาวุโสทั้งสองรวมทั้งบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างไป๋ปี้และเหลยหลันอยู่ที่ชั้นหนึ่งของหอคอยแล้ว ก็ยืนรออะไรสักอย่างอย่างเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

 

 

อาวุโสสือมีสีหน้ารอคอยด้วยความหวังอยู่เล็กๆ ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองกลับมีสีหน้างุนงง มองไปทางหัวบันไดด้วยแววตาที่ฉายแววตกตะลึงระคนสงสัยออกมา

 

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านบน จากนั้นเงาร่างคนก็พลิ้วไหว หานลี่มาปรากฎตัวที่หัวบันไดด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

“เป็นอย่างไร สำเร็จแล้วหรือ” อาวุโสสือดวงตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ ข้าเรียนรู้ไปได้พอสมควรแล้ว น่าจะนำออกมาต่อกรกับศัตรูได้” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

 

 

“เยี่ยมมาก อันตรายจากการทดสอบครั้งนี้อาจจะมากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก แม้นว่าสหายหานจะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง แต่ระหว่างทางเกรงว่าคงต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อคืนข้าและอาวุโสสือจึงปรึกษากันเล็กน้อย แล้วเตรียมสมบัติประจำเผ่าชิ้นหนึ่งให้ท่านยืมใช้ เช่นนั้นหากพบอะไรที่คาดไม่ถึงเข้า ก็จะได้ปกป้องตนเองได้” หญิงสาวพิจารณาสีหน้าของหานลี่อย่างละเอียดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยออกมา

 

 

“สมบัติประจำเผ่า” หานลี่ตะลึงงัน รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

“ใช่แล้ว กรรไกรมังกรวารีอัสนีเล่มนี้ เจ้าพกไว้เถิด” จินเย่ว์เอ่ยก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นกรรไกรสีเขียวเล่มหนึ่ง

 

 

หานลี่ยื่นมือออกไปรับตามความรู้สึก คว้าสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ในมือ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

 

 

เห็นเพียงกรรไกรเล่มนี้มีความยาวครึ่งฉื่อ รูปทรงโบราณ ผิวของมันเป็นสีเขียวเข้มแต่มีอักขระโบราณสีเงินอ่อนกระจายตัวอยู่ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา

 

 

“อาวุโสทั้งสองจะให้ชนรุ่นหลังยืมของสิ่งนี้จริงๆ หรือ” หานลี่ใช้นิ้วมือลูบไปบนกรรไกร สัมผัสได้ถึงความเย็นยยะเยือกกลุ่มหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความดีใจ

 

 

“ความจริงแล้วสมบัติประจำเผ่าเรายังมีสมบัติอีกสองสามชิ้นที่เหมาะสมกับการใช้ในหุบเหวยิ่งกว่าสิ่งนี้ แต่น่าเสียดายที่สมบัติเหล่านั้นจำต้องใช้เวลาหลอมมันไม่น้อย ไม่อาจนำมาใช้ยอ่างฉุกละหุกได้ ส่วนกรรไกรอัสนีสวรรค์ชิ้นนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ขอแค่ใส่พลังวิญญาณเข้าไป ก็สามารถอัญเชิญออกมาโจมตีศัตรูได้แล้ว ช่างน่าอัศจรรย์นัก! แต่ด้วยเหตุนี้กรรไกรเล่มนี้จึงอาจจะถูกศัตรูชิงไปได้ง่ายๆ สหายหานต้องใช้อย่างระมัดระวังหน่อย” จินเย่ว์กล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึม

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบสมบัติให้ ชนรุ่นหลังจะใช้มันอย่างระมัดระวัง” รู้ว่าที่ทั้งสองยอมนำสมบัติล้ำค่าออกมาก็เพราะความปลอดภัยของบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง หานลี่เองก็ไม่ได้เกรงใจรับสมบัติชิ้นนั้นมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

จินเย่ว์พยักหน้าแล้วออกคำสั่งกับไป๋ปี้และเหลยหลันที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่ได้หยิบสิ่งใดออกมา

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

 

สมบัติที่ควรมอบให้ทั้งสอง เดาว่าคงมอบให้ก่อนที่จะออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ครั้งที่แล้วในการต่อสู้ของเลหยหลันและเผ่าแดงสดที่สนามแข่งขันนั้น น้ำเต้าสีทองที่ใช้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งห้าคนก็ออกจากหอคอย บินขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

บนท้องฟ้ามีคนของสาขาอื่นๆ จำนวนไม่น้อยมารอคอยอยู่ตรงนานแล้ว

 

 

พวกเขาในครานี้ไม่มีใครนั่งอยู่บนวิหคยักษ์หรือแมลงบินอีก ล้วนมีปีกคู่หนึ่งปรากฎขึ้นที่แผ่นหลังและลอยตัวอยู่กลางอากาศ

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จากสาขาต่างๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แยกตัวออกจากเหล่าอาวุโส

 

 

ท่าทางของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่เหมือนกับเมื่อวานเลยสักนิด ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่หยอกล้อต่อกระซิกกันเหมือนเมื่อวาน

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย ไม่ได้เอ่ยสนทนากับใครเช่นกัน พาอีกสองคนที่เหลือบินไปอยู่ตรงมุมหนึ่งของกลุ่มด้วยความเงียบขรึม

 

 

แต่ไม่นานนักหานลี่ก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ จึงหันหน้าไปมองแวบหนึ่งด้วยใจที่เต้นระรัว

 

 

ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สตรีที่ร่างกายผอมเตี้ยเหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังมองพิจารณาเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่

 

 

สตรีผู้นี้มีผิวสีดำสนิท แต่ลำคอกลับมีรอยสักประหลาดๆ สีดำ

 

 

เมื่อนางเห็นหานลี่มองมาก็ฉีกยิ้มน้อยๆ เผยไรฟันขาวใสเป็นพิเศษออกมา

 

 

หานลี่กลับใจหายวาบ!

 

 

เพราะว่าเมื่อเขาแผ่จิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงผิวดำจะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายบนตัวยังแปลกประหลาด ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามเล็กน้อย เหมือนว่าฝึกฝนความสามารถพิเศษอะไรสักอย่างมา

 

 

หานลี่ไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเลยสักนิด แต่มุมปากกลับขยับขึ้นลงสองสามครั้ง

 

 

ไป๋ปี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างซึ่งเดิมทีกำลังหลับตาทั้งสองข้างอยู่ ข้างหูได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น

 

 

เขาลืมตาขึ้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองตามสายตาของหานลี่ไปยังเด็กหญิงร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่ง แต่สีหน้ากลับซีดขาว หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ แล้วรีบก้มหน้างุดด้วยความร้อนรน

 

 

“พี่หาน นั่นคือเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ มีชื่อเสียงมากกว่าจู้อินจื่อ คืออันดับหนึ่งในรุ่นของพวกเรา แต่นางเป็นผู้ที่มีใจคอโหดเ**้ยม นิสัยแปลกประหลาด เอะอะก็จะเอาแต่ชีวิตคน พี่หานอย่าไปล่วงเกินจะดีกว่า” ข้างหูนของหานลี่มีเสียงหวาดผวาของไป๋ปี้ดังขึ้น

 

 

หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น อดที่จะพิจารณาว่าเหตุใดเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงมองมาที่ตัวเองไม่ได้ แล้วพลันรู้สึกว่ามีสายตาเ**้ยมเกรียมอีกคู่หนึ่งกวาดมาที่ตนเอง ครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาดีแน่ๆ

 

 

หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลางหรี่ตาเหลือบมองไป

 

 

ผลคือมองเห็นว่าที่อีกมุมหนึ่งของฝูงชน จู้อินจื่อกำลังยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางเผ่าแดงสดคนอื่นๆ และกำลังใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองมา

 

 

หานลี่มองกลับไปแวบหนึ่งด้วยความเยือกเย็น แล้วชักสายตากลับมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

เผ่าแดงสดจะต้องยึดเผ่าวิหคสวรรค์ให้ได้ แน่นอนว่าต้องเล่นแผนสกปรกอะไรกับพวกเขาในการทดสอบแน่ หานลี่กลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้

 

 

เพราะว่าหานลี่และพวกออกมาค่อนข้างสาย ดังนั้นจึงไม่ได้รออยู่กลางอากาศนานนัก

 

 

หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อสามมหาอาวุโสของอาวุโสในการประชุมและผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวผู้นั้นมาปรากฎตัวตรงหน้าุทกคนแล้ว ทั้งกองทัพก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าทันที ตรงไปยังกำแพงยักษ์ที่เหมือนกับภูเขาขนาดย่อมซึ่งอยู่ไกลออกไป

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆที่เหนือกำแพงนั้นว่างเปล่า ทั้งกองทัพกลับไม่ได้บินผ่านกำแพงยักษ์ไป แต่หยุดอยู่ที่หนึ่งใต้กำแพงยักษ์

 

 

เมื่อเห็นผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเดินมาอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพแล้วบริกรรมคาถาแล้ว จากนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่กำแพง

 

 

เสียงอึกทึกดังขึ้น กำแพงยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนสั่นเทา ค่อยๆ มีเขตอาคมสีเงินอ่อนปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงห้าสี

 

 

ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากออกพ่นแผ่นไม้สีม่วงอ่อนออกมาในทันที

 

 

บนแผ่นไม้มีลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้า เสาลำแสงสีม่วงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป หลังจากกระพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในใจกลางของเขตอาคม

 

 

ชั่วขณะนั้นเขตอาคมสีเงินพลันเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา จากนั้นลำแสงประหลาดพลันหมุนโคจร เขตอาคมหายวับไปทันที แต่ด้านล่างกำแพงยักษ์พลันมีประตูยักษ์สีเงินปรากฎขึ้นบานหนึ่ง

 

 

ประตูบานนี้สูงยี่สิบสามสิบจั้ง แผ่ลำแสงเย็นยะเยือกออกมา เห็นได้ชัดว่าหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบ ราวกับว่าสร้างขึ้นจากเงินบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเก็บแผ่นไม้เข้าไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงผืนหนึ่งพลันม้วนวนพุ่งออกมา โจมตีไปยังประตูบานยักษ์

 

 

เสียงตูมดังสนั่นขึ้น ประตูสีเงินค่อยๆ ถูกผลักออกท่ามกลางม่านลำแสง

 

 

ด้านนอกประตูมีพายุทมิฬสีเทาคุ่นๆ พันเข้ามาทันที ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปบุตรศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นล้วนพากันตัวสั่นสะท้าน ผิวดูเหมือนถูกคนใช้มีดอันแหลมคมเฉียดผ่านจนทำให้ขนลุกชัน

 

 

ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!

 

 

แน่นอนว่าหานลี่เองก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของวายุหอบนี้ แววตาจึงเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ

 

 

ประตูใหญ่เปิดออก แน่นอนว่าทั้งกองทัพจึงเดินออกจากประตูหินไปอย่างไม่ลังเลอีก ชั่วขณะนั้นสถานการณ์ด้านหลังของประตูยักษ์พลันกระจ่างขึ้น

 

 

หานลี่อดที่จะสูดลมหายใจอย่างเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้

 

 

ด้านหลังประตูไม่ไกลนักคือแผ่นดินสีดำสนิทผืนหนึ่ง

 

 

บนพื้นดินไม่เพียงจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกขึ้นมา ไม่ว่าดินหรือหินก็ล้วนเป็นสีดำสนิท มองปราดเดียวไม่อาจมองเห็นปลายทางได้

 

 

และกลางอากาสกลับมีทะเลหมอกสีเทาขาวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น มันหนาแน่นเป็นพิเศษ มองไม่เห็นขอบฟ้าเช่นกัน ท่าทางคงหนาแน่นมาก

 

 

และรอยแยกของม่านหมอกกับพื้นดินนั้นก็มีความสูงแค่สามสิบสี่สิบจั้งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแคบมาก แต่ด้านในกลับมีเสียงวายุหวีดหวิวประหลาดๆ ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าสามารถกลืนกินได้ทุกอย่างอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ทำให้ทุกคนเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้

 

 

“นี่คือประตูหุบเหวสินะ ท่าทางอันตรายมากดังคาด” หานลี่พึมพำในใจ

 

 

“เอาล่ะ มาถึงที่นี่แล้ว นอกจากบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว คนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไป ประตูของหุบเหวอยู่ในม่านหมอกห่างออกไปหมื่นลี้” ฮูหยินชราที่มือหนึ่งค้ำไม้เท้าเอาไว้เอ่ยขึ้น

 

 

แม้นว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับเข้ามาในโสตประสาทหูของทุกคนอย่างชัดเจน ฝูงชนที่แต่เดิมเกิดเสียงอื้ออึงโกลาหลขึ้นพลันเงียบสงบลงในทันที

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อมาถึงครานี้แล้ว งั้นก็เริ่มประกาศเนื้อหาของการทดสอบกันเถิด คิดดูแล้วทุกคนคงรอไม่ไหวแล้ว” บุรุษผมสีขาวที่อยู่ด้านข้างหัวเราะหึๆ ออกมา

 

 

ฮูหยินชรา มองไปยังบุรุษผมขาวแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

 

 

“อาวุโสร่วมประชุมอย่างพวกเราได้ปรึกษากับเหล่าอาวุโสแล้วว่า เนื้อหาในการทดสอบครั้งนี้จะไม่เหมือนกับที่ต้องสังหารปีศาจทมิฬเหมือนคราวก่อนๆ แต่จะให้พวกเจ้าไปนำสมุนไพรวิญญาณอย่างผลเปลวยมโลกกลับมาผลหนึ่ง ต่อให้พวกเจ้าทำสำเร็จ ผลวิญญาณชนิดนี้ไม่เหมือนกับสมุนไพรวิญญาณชนิดอื่น มันจะเกิดขึ้นแค่ในสถานที่ที่มีความมืดและเหม็นคาวมากที่สุด ผลนี้จะสุกงอกห้าร้อยปีครั้ง ทุกต้นจะมีผลแค่ผลเดียวเท่านั้น ผลเปลวยมโลกที่เจ้านำมาต้องเป็นผลที่สุกแล้วเท่านั้น ไอทมิฬที่ชั้นหนึ่งนั้นมีไม่พอ ไม่อาจมีผลชนิดนี้ปรากฎขึ้นได้ แน่นอนว่าหากมีคนไม่เชื่ออยากลองพึ่งดวงตามหาดู ก็แล้วแต่เจ้า ชั้นที่สองอายยุมีผลเปลวทมิฬอยู่เล็กน้อย แต่จะมีอยู่จริงๆ หรือไม่ พวกข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ ส่วนชั้นที่สามนั้นมีผลชนิดนี้อยู่อย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนยังไม่น้อย ส่วนจะทำอย่างไรนั้น แน่นอนว่าก็้แล้วแต่พวกเจ้า เวลาในการทดสอบคือสามเดือน หลังจากนี้สามเดือนไม่ว่าจะมีคนทำภารกิจสำเร็จกี่คน ข้าก็จะเปิดประตูบานนี้ออกอีกครั้ง เพิ่มมารอรับพวกเจ้า ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงของฮูหยินชราไม่โกรธแต่มีพลังอำนาจ ทุกสิ่งที่พูดล้วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการทดสอบ หานลี่ผู้ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบ แน่นอนว่าจึงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ไม่กล้าละเลยแม้แต่คำเดียว

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อบอกเนื้อหาในการทดสอบให้พวกเจ้าฟังแล้ว ตอนนี้ก็ออกเดินทางได้ หลังจากนี้สามเดือน ตาเฒ่าหวังว่าจะได้พบเหล่าสหายส่วนใหญ่อีกครั้ง คนที่เหลือก็กลับกันเถิด ประตูผนึกมารจะปิดลงอีกครั้งแล้ว” ชายชราที่มีรอยสักออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

 

 

จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อด้วยความดีใจ คาดไม่ถึงว่าทันใดนั้นจะเดินไปยังประตูเมืองด้านหลัง โดยไม่หันกลับมาเลยสักนิด

 

 

บุรุษผมขาวและฮูหยินชรามองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเดินตามไปติดๆ อย่างไม่ลังเล จากนั้นาอาวุโในการประชุมที่เหลือก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ อาวุโสของสาขาต่างๆ เห็นเช่นนั้น กว่าครึ่งก็มองไปยังบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าตนเองสองสามแวบ แล้วเดินกลับไปเช่นกันด้วยความกังวลใจ

 

 

มีเพียงส่วนน้อยที่ถือโอกาสนี้ถ่ายทอดเสียงมาอีกสองสามประโยค แล้วหันหน้าจากไป

 

 

ชั่วพริบตากลางอากาศด้านนอกประตูยักษ์ ก็เหลือเพียงบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามร้อยคนที่กำลังยืนมองสบตากันปริบๆ อยู่ตรงนั้น