ตอนที่317 ขอความช่วยเหลือทั่วทุกทิศ

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่317 ขอความช่วยเหลือทั่วทุกทิศ

พวกคนงานของท่าเรือหัวรีบรวมตัวกันทันทีเพื่อหารือว่า พวกเขาควรจะทำยังไงต่อไป

“ฉันคิดว่า…หรือเรายังพอช่วยอะไรบริษัทได้? ตราบใดที่นำเรือแล่นออกจากท่าได้ บริษัทจะไม่ต้องประสบกับปัญหา และถ้าบริษัทไม่ประสบปัญหา ค่าจ้างของพวกเราเองก็จะไม่มีปัญหาเช่นกัน”

“นี่แกโง่รึเปล่า? เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังบ่อนทำลายท่าเรือหัวอยู่เบื้องหลัง แล้วคนงานตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะไปทำอะไรได้? สิ่งที่พวกเราควรทำตอนนี้เลยก็คือ ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายมา ไม่ว่าที่นี่จะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเรา ก็แค่หางานที่อื่นทำต่อไป”

“แต่เราจะทิ้งที่นี่ไปอย่างไร้เยื่อใยเลยงั้นเหรอ? พวกเราทำงานในท่าเรือนี้ก็ตั้งหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน พวกดราที่มัวแต่คิดเรื่องของตัวเองมันดีแล้วจริงๆ งั้นเหรอ?”

“ช่างหัวบริษัทไปสิ เราทำงานมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ค่าแรงกลับไม่ขึ้นสักกะหยวน ขนาดเครื่องปรับอากาศที่เราร้องเรียนไปจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ ประกันสังคมขั้นพื้นฐานก็ยังไม่มี ควรจะถามทางบริษัทกลับไปมากกว่าว่า พวกเขายังปฏิบัติต่อเราอย่างมนุษย์คนหนึ่งรึเปล่า? หรือเห็นเป็นแค่แรงงานชั้นต่ำไม่มีความรู้สึกกัน? พวกเราก็แค่เครื่องมือทำเงินของพวกเขาเท่านั้น ไม่แม้แต่เคยถามพวกเราด้วยซ้ำว่า ชีวิตความเป็นอยู่ดีไหม ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่า ไม่มีสักคนเหลียวแลพวกเราเลย พอเวลาแบบนี้คิดหรือว่าเราจะช่วย กรรมสนองแล้ว!”

“พูดถูกต้องเลย อีกอย่างการที่จู่ๆ ท่าเรือหัวกลายมาเป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีคนมีอำนาจอยู่เบื้องหลังแน่นอน ถ้ารู้ว่าบริษัทกำลังจะตาย แล้วทำไมเราถึงต้องตายไปพร้อมมัน?”

“ใช่! ไปเรียกร้องขอค่าจ้างงวดสุดท้ายกันเถอะ ในตอนนี้พวกนักข่าวกำลังให้ความสนใจอย่างมาก ดังนั้นเราควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อเอาเงินค่าจ้างมาให้ได้”

………..

ภายใต้การยั่วยุของไส้ศึกที่ถูกส่งไปโดยหวางอวี่จุน พวกคนงานท่าเรือหัวก็ตกลงกันเรียบร้อยว่า พวกเราจะต้องได้ค่าจ้าง มิเช่นนั้นพวกเขานี่แหละจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

หัวฉีเฉินที่ส่งปู่ของเขาเข้าโรงพยาบาลเสร็จสรรพ ก็รีบไปที่สำนักงานเขตน่อทันทีเพื่อตามหาหลินเซียะ

หลินเซียะกล่าวตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“คุณหัว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยพวกคุณหรอกนะ แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริงๆ นักข่าวและสื่อใหญ่มากมายต่างเบนความสนใจและจับจ้องมาทางคุณอยู่ ถ้าผมสั่งถอนกำลังออกจากโกดังสินค้าคุณขึ้นมา ผมจะอธิบายกับนักข่าวยังไง? จะให้บอกว่าผมกับพวกคุณสนิทกันเลยยอมปล่อยไปรึไง?”

หัวฉีเฉินรีบตอบกลับทันทีว่า

“ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม คุณก็หลับตาข้างหนึ่งให้คนงานของผมลอบเข้าไปขนส่งสินค้าขึ้นเรือ ตราบใดที่เรือสามารถแล่นออกจากฝั่งได้ ผมก็พอใจแล้ว ถึงตอนนั้นคุณก็แกล้งทำเป็นลงโทษผมทีหลังก็ได้ แค่นี้คุณก็ไม่เสียหน้าแล้ว”

หลินเซียะคลี่ยิ้มแห้งรีบตอบกลับเช่นกันว่า

“คุณหัวกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม? ตอนนี้บริเวณโกดังสินค้าของคุณมีนักข่าวคอยเฝ้าอยู่ตลอดทุกมุม ทันทีที่คุณเริ่มส่งคนงานไป คงโดนนักข่าวพวกนั้นจับได้หมดแล้ว อย่าให้เรื่องมันแดงไปกว่านี้เลย ผมไม่สามารถอธิบายให้ทางสาธารณะฟังได้แน่ อย่างน้อยก็ควรปิดโซเซียลดูนะว่าข่าวของคุณตอนนี้มันดังขนาดไหน ผมช่วยคุณไม่ได้จริงๆ ในเวลาแบบนี้ ต้องขอโทษด้วย”

หัวฉีเฉินโมโหอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อหลินเซียะไม่เต็มใจยื่นมือช่วยแบบนี้ ต่อให้เขาจะพูดยังไงก็ไร้ประโยชน์

หลังออกจากสำนักงานเขตมา หัวฉีเฉินก็เดินทางไปหาคณะกรรมการจัดการท่าเรือเทียนจิ้งหรือก็คือ กรมการท่าเรือปรจำเมืองหวานจิ้งนั้นเอง และเข้าพบบุคคลผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงอย่าง เจาฮุ้ยหมิน

เวลากำลังจะหมดลงแล้ว หัวฉีแนไม่กล้าเสียเวลาล่าช้าไปแม้แต่เสี้ยวอดใจ เขารีบเข้าเรื่องทันทีว่า

“หัวหน้าเจา คุณต้องช่วยผม!”

เจาฮุ้ยหมินเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“คุณหัวไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยคุณหรอกนะ แต่ผมจะไปทำอะไรได้? ตอนนี้ตำรวจเข้าจัดการแทนเกือบทั้งหมดแล้ว ผมไม่กล้าอนุมัติให้เดินเรือหรอกครับ”

“หัวหน้าเจา ผมรู้ว่าคุณประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องกลัว ผมสัญญาเลยว่าจะไม่สร้างความอับอายให้แน่นอน ผมจะโทรเรียกพวกคนงานให้ลอบเข้าทางโกดังด้านหลัง และช่วยกันขนสินค้าขึ้นเรือก่อน ถึงตอนนั้นผมขอร้องคุณแค่อย่างเดียว ช่วยหลับตาข้างหนึ่งคิดซะว่ามองไม่เห็น ตราบใดที่เรือสามารถออกจากฝั่งได้ ถือว่าผมติดหนี้บุญคุณหัวหน้าเจาแล้ว”

หลังจากหัวฉีเฉินพูดจบ เขาก็รีบเซ็นเช็ควางบนโต๊ะทันที พอเจาฮุ่ยหมินเหลือบมองก็พบว่าเป็นเช็คมูลค่า500,000หยวน ดูเหมือนว่าตระกูลหัวกำลังตกสู่ความสิ้นหวังอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ยอมควักเงิน500,000ในคราเดียวแบบนี้แน่นอน

พูดตามตรงเลย เห็นแค่นี้เจาฮุ่ยหมินก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว เงินตั้งครึ่งล้านมันเทียบเท่าได้กับเงินเดือนเต็มจำนวนสองปีเต็ม แต่เขาเองก็รู้อยู่ในใจว่า ตนไม่ควรเห็นเช็คใบนี้เด็ดขาด

“คุณหัว ทำแบบนี้ถือเป็นการดูถูกกันมากเลยนะครับ ผมทำงานรับราชการ แล้วจะมารับสินบนแบบนี้ได้ยังไง? คุณหัว ผมยังมีงานต้องทำ รบกวนออกไปด้วยครับ”

หัวฉีเฉินตระหนักได้ทันทีว่า ตนเพิ่งทำเรื่องผิดพลาดไป ดังนั้นเขาจึงรีบเก็บเช็คใบนั้นกลับและรีบอธิบายกับเจาฮุ้ยหมินต่อว่า

“หัวหน้าเจา อย่าเข้าใจผมผิดไปนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายกว่าที่คุณคิดไว้มาก ตอนนี้ท่าเรือหัวเหลือเวลาไม่มากแล้ว และความหวังเดียวที่จะแก้ไขเรื่องทั้งหมดได้ขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้ว”

เจาฮุ้ยหมินส่ายหัวปฏิเสธเด็ดขาด ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้จริงๆ ในตอนนี้ ถ้าตำรวจไม่มีคำสั่งลงมาให้ถอนการระงับ เขาเองก็ไม่กล้าอนุญาตให้เดือเรือเช่นกัน

นี่เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว และเขายังคงต้องดิ้นรนต่อไป และดูเหมือนว่าต่อให้เจาฮุ้ยหมินอนุญาติ มันก็เหลือเวลาไม่พอแล้วสำหรับการขนสินค้าขึ้นเรือ โดยไร้ซึ่งหนทางอื่นใด หัวฉีเฉินรีบตรงไปที่โกดังสินค้าของท่าเรือหัวทันที

บรรดาคนงานเองก็นั่งรออยู่ด้านหลังโกดังนานแล้ว ทันทีที่เห็นหัวฉีเฉินกำลังวิ่งมาทางนี้ พวกเขาทุกคนก็รีบลุกขึ้นและเข้าไปล้อมรอบตัวเขาทันที

หัวฉีเฉินรีบกล่าวเสียงดังว่า

“ฉันกำลังตามหาทุกคนอยู่พอดี ทุกคน! ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ระหว่างความเป็นความตายกันแล้ว เพื่อท่าเรือหัวของเรา ฉันหวังว่าทุกคนจะยอมช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ รีบตามฉันมา พวกเราจะต้องขนสินค้าขึ้นเรือโดยเร็วที่สุด ขอเพียงเรือแล่นออกจากท่าได้ก่อนเที่ยงคืน ไม่ว่าพวกนายจะต้องการอะไรฉันยอมทุกอย่าง!”

สมาชิกทุกคนของตระกูลหัวล้วนภาคภูมิใจในสายเลือดและล้วนทำตัวหยิ่งผยองหัวสูงกันทุกคน แต่ในตอนนี้หัวฉีเฉินพูดกับพวกคนงานทุกคนราวกับเป็นเพื่อนพ้อง นี่มันพิสูจน์ได้ชัดเจนเกินพอแล้วว่า สถานการณ์ของท่าเรือหัวในปัจจุบันย่ำแย่แค่ไหน

ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนคาดคะเนไปตอนแรกถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วท่าเรือหัวต้องล้มละลายแน่นอน และอันดับแรกที่พวกเขาต้องทำคือ การเรียกร้องค่าแรงงวดสุดท้ายก่อนจะโดนเบี้ยวไม่จ่าย

“รองประธานหัว พวกเราทุกคนเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดนะ แต่ที่เรามาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อรับค่าจ้าง ทันทีที่จ่ายให้พวกเราครบทุกคน รับรองว่างานเดินแน่นอน”

“ใช่แล้ว! ตราบใดที่เห็นเงินค่าจ้าง พวกเราจะรีบขนสินค้าขึ้นเรือโดยเร็วที่สุด”

………

เมื่อได้ยินทุกคนรุมตะโกนใส่แบบนั้น หัวฉีเฉินก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ เขารีบตะโกนตอบกลับว่า

“ทุกคนฟังก่อน! ผมขอสาบานต่อสวรรค์ต่อหน้าทุกคนเลยว่า ฉันจะจ่ายค่าจ้างให้ทุกคนแน่นอน แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนต้องรีบช่วยกันขนสินค้าขึ้นเรือโดยเร็วที่สุด! แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโอนเงินให้ทุกคนเอง แล้วฉันจะให้เงินพิเศษอีกคนละพันหยวนแทนคำขอบคุณ!”

“หยุดโกหกได้แล้ว! ไม่ว่าใครหน้าไหนในตระกูลหัวก็เอาแต่พูดแบบนี้แต่สุดท้ายก็หลอกเรา!”

“ใช่แล้ว! แค่เรื่องติดตั้งเครื่องปรับอากาศยังทำให้ไม่ได้ แถมเรื่องประกันสังคมก็ไม่ยอมทำให้แถมผลักภาระค่ารักษาให้พวกเราจ่ายเอง! พวกเราไม่เชื่อใจพวกตระกูลหัวอีกต่อแล้ว! เอาค่าจ้างพวกเรามา!”

“รีบจ่ายค่าจ้างมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตะโกนเรียกพวกนักข่าวและตำรวจให้มาตรงนี้!”

“ค่าจ้าง! ค่าจ้าง! ค่าจ้าง!”

ทันใดนั้นสถานการณ์ก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง และหัวฉีเฉินไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

ทุกคนมาที่นี่เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาควรได้แล้ว แต่หัวฉีเฉินกลับไม่เข้าใจอะไรเลย เขายังคงคิดว่า พวกคนงานเหล่านี้จะเต็มใจช่วยเขา แต่ที่ไหนได้…

เพราะเขาเป็นแบบนี้เสมอจึงไม่น่าแปลกใจที่หัวเซินซวนจะไม่พอใจลูกชายคนนี้เป็นอย่างมาก