หู่โถวกะพริบตา รู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย สตรีสองนางนี้ ทำไมถึงทำให้รู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนต่างมองไปยังหู่โถวตาไม่กะพริบ
ต้วนชิงเกอหยุดลง หญิงทั้งสองนางนี้นางล้วนรู้จักดี ดูไปแล้ว เณรน้อยผู้นี้ก็คงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของชิงเฉินจริงๆ
นักปราชญ์เห็นต้วนชิงเกอหยุดลง ก็ชำเลืองขึ้นมองไป กวาดสายตามองจากใบหน้ามั่วเฟยเยียน แล้วจบลงที่บนใบหน้าของมั่วหร่านอี ชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งถลาเข้าไปอย่างเงียบกริบ ถือพู่กันขึ้นแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “สาวงาม ให้ข้าวาดรูปเจ้าสักผืนได้หรือไม่ ”
ติ๋ง น้ำหมึกหยดหนึ่งกระเซ็นลงบนรองเท้าปักลายดอกกุหลาบดอกของมั่วหร่านอี
มั่วหร่านอีก้มหน้าลง ใบหน้าเขียวปัด กวาดสายตามองนักปราชญ์ปราดหนึ่ง แล้วเดินเฉียดผ่านไปยังหู่โถว
เห็นท่าทีเย่อหยิ่งชวนน่าค้นหาของมั่วหร่านอี นักปราชญ์ก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว หญิงสาวหน้าตานิสัยเช่นนี้ในบรรดารูปภาพนับร้อยเขายังไม่เคยวาด หากสามารถวาด นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่
พอคิดได้เช่นนี้ก็ไม่สามารถสะกดใจอดทนไม่ได้ พุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วสูงสุด “คนสวย…”
มั่วหร่านอีเองก็ไม่สามารถสะกดใจอดทนได้อีกต่อไปเช่นกัน ยกเท้าเตะออกไป
ไม่รู้ว่านักปราชญ์ผู้นี้เคยเจอประสบการณ์เช่นนี้มามากแล้วหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่าระดับการบำเพ็ญเพียรสูงกว่ามั่วหร่านอี จึงสามารถเอียงตัวหลบได้โดยไม่ลังเล หมุนตัวรอบหนึ่งอยู่กลางอากาศ แล้วร่อนลงสู่พื้นอย่างสง่างาม
เขายังคงหมายจะรุกคืบ มั่วหร่านอีในชุดสีขาวทั้งตัวเฉียดกายผ่านไป แววตาอันเยือกเย็นนั้นทำให้เขาหยุดจังหวะเท้าลง
“หู่โถวหรือ” มั่วหร่านอีลองร้องเรียกเพื่อทดสอบทีหนึ่ง
หู่โถวรู้สึกสับสน “เจ้า…เจ้าไยรู้จักนามของข้า”
ดวงตาหงส์อันเป็นประกายคู่นั้นของมั่วหร่านอีเบิกขึ้นเล็กน้อย เอามือช้อนค้างแล้วพูดว่า “เจ้าแม้แต่ข้าก็จำไม่ได้เลยเชียวหรือ”
ท่วงท่าและสีหน้าอันคุ้นเคยนั้น ราวกับฉายภาพปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในห้วงความคิดอันสับสนของหู่โถว หลุดปากพูดออกมาว่า “พี่สิบหรือ”
มั่วหร่านอีแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที
หู่โถวลูบศีรษะ มองมั่วเฟยเยียนที่กำลังเดินเข้ามา “เจ้า เจ้าคือพี่เก้าหรือ”
มั่วเฟยเยียนพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง “ข้าเอง”
“พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” หู่โถวถาม สุ้มเสียงยังคงเหมือนดั่งเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ แฝงไว้ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู
มั่วหร่านอีเม้มมุมปากไม่ได้พูดอะไร มั่วเฟยเยียนพูดขึ้น “พวกเรามาร่วมงานมงคลของเจ้าสิบหก หู่โถว หลายปีมานี้เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน”
หู่โถวหัวเราะ “เรื่องนี้มันยาว พวกเราเองก็มาหาชิงเฉิน” พูดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้วนชิงเกอ “สหาย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าชิงเฉินอยู่ที่ไหน”
ต้วนชิงเกอลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “อยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่งข้างยอดเขาชิงมู่ ยอดเขาลั่วเถา ข้าพาพวกเจ้าไปก่อน มีแม่นางชื่อว่าหนิงโหรวผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นเช่นกัน”
“เจ้าว่าอะไรนะ” มั่วหร่านอีสีหน้าเปลี่ยนอย่างหนัก ยื่นมือไปหมายจะคว้าข้อมือของต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอหลบได้อย่างบิดพลิ้ว ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “ได้ยินชิงเฉินบอกว่า นางคือพี่สิบสี่ของพวกท่าน ตามข้ามาก่อนเถิด”
พูดจบก็กวักมือเรียกของวิเศษเหาะเหิน พากลุ่มคนบินไปยังยอดเขา
ค่อยๆ ร่อนลงไปบนภูเขาที่มีดอกท้อบานสะพรั่ง ต้วนชิงเกอร่ายยันต์วิญญาณออกมาหนึ่งแผ่น ทางเดินเล็กๆ ในสวนท้อก็ค่อยๆ เปิดออก หญิงสาวในชุดประจำสำนักเหยากวงผู้หนึ่งวิ่งออกมา เมื่อเห็นผู้ที่มาคือต้วนชิงเกอใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจ พูดพลางสะอึกสะอื้นว่า “นักพรตซู่เหยียน คุณหนูบ้านข้ากลับมาแล้วหรือ”
ต้วนชิงเกอส่งสายตาปลอบโยน แล้วเดินเข้าไปด้านในพลางพูดขึ้นว่า “ครอบครัวและสหายของชิงเฉินมาถึงแล้ว เหลียงเฉิน เจ้าและเหม่ยจิ่งจะต้องต้อนรับให้ดีนะ”
ในระหว่างที่พูดก็เดินเข้าไป พลันเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูผู้หนึ่งกำลังก้มหน้าแปรงขนให้กับอสูรเขาเดียวสีขาวดั่งหิมะตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงก็เงยหน้าเหลียวตามไป
ลมหมุนสีแดงลูกหนึ่งโฉบผ่านเข้ามา มั่วหนิงโหรวเมื่อถูกคนผู้หนึ่งกอดเอาไว้แน่น ก็ตกใจอึ้งไปชั่วขณะ
“หนิงโหรว ข้าคือพี่สิบของเจ้าเอง!”
หลังจากตื่นเต้นลิงโลดกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดการทักทายของคนในครอบครัวก็สิ้นสุด ต้วนชิงเกอรู้ดีว่าพวกเขาคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกมาก จึงพูดว่า “ทุกท่านพักผ่อนให้ดีก่อนเถิด ข้าขอไปก่อน หากมีธุระอันใด ก็ให้เหลียงเฉินและเหม่ยจิ่งไปตามข้า”
ถังมู่เฉินตะโกนขึ้น “แม่นาง รอประเดี๋ยว”
ต้วนชิงเกอเหลียวกลับ มองไปยังถังมู่เฉินแล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “สหายเรียกข้าว่าซู่เหยียนก็ได้ มีเรื่องอันใดหรือ”
ถังมู่เฉินแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าน้องสาวของข้าเวลานี้อยู่ที่ใดหรือ”
“น้องสาวหรือ” ต้วนชิงเกอรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ถังเฉินมู่หัวเสียจนอดไม่ได้ที่จะเคาะหัวตัวเอง แล้วรีบร้อนอธิบาย “หมายถึงชิงเฉินน่ะ ข้าคือพี่บุญธรรมของนาง”
ต้วนชิงเกอท่าทีลังเลเล็กน้อย คนอื่นเองเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่าผิดสังเกต หันสายตามองไปยังนาง
เมื่อคิดว่าผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหายของมั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอก็ตัดสินใจเล่าความจริงออกมา
“เจ้าบอกว่า ชิงเฉินไปหาข้า แล้วตอนนี้ยังไม่กลับอย่างนั้นหรือ” มั่วเฟยเยียนขมวดคิ้วแน่น
ต้วนชิงเกอพยักหน้า บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย นางพูดว่า “ทุกท่านอย่าได้กังวลมากไปเลย ตะเกียงเจ้าชะตาของชิงเฉินไม่ได้มีเหตุอันใด ดูแล้วคงจะมีเรื่องเกิดขึ้นทำให้ล่าช้าไปเท่านั้นเอง”
คำพูดของต้วนชิงเกอถึงแม้จะทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
เมื่อนางไปแล้ว พี่น้องตระกูลมั่วและหู่โถวก็นั่งล้อมวงคุด้วยกัน พูดคุยกันยาวนานเต็มๆ ตลอดทั้งคืน กว่าจะเล่าสิ่งที่ตนได้ประสบพบเจอมาจนหมด
“ถ้าอย่างนี้ เจ้าก็ได้แต่ตระเวนพเนจรไปเรื่อยเพื่อฝึกให้บรรลุพุทธญาณ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากสภาพการเป็นเด็กได้อย่างนั้นหรือ” มั่วหร่านอีเหล่สายตามองหู่โถว แล้วถามขึ้นอย่าสงบนิ่ง
หู่โถวพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฝึกบำเพ็ญให้ดี หากต้องการสิ่งใด ก็บอกพวกเรามา”
หู่โถวรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นอย่างสุขุมว่า “อมิตาภพุทธ ขอบคุณมากจริงๆ พวกเจ้าอย่าเป็นห่วงข้าเลย การฝึกฝนตอนนี้เป็นการฝึกฝนที่ยากที่จะมีโอกาสนัก เมื่อคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว ถึงตอนนั้นคิดว่าการบรรลุบนทางพุทธญาณคงก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
บรรยากาศเงียบกันขึ้นมาทันที
หู่โถวมองไปยังพี่น้องทั้งสามคนด้วยสายตาไม่เข้าใจ เขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ
มั่วหร่านอีกลอกตามองบน “จะให้พวกเราไม่เป็นห่วงได้อย่างไร เจ้าไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วจะกลับคืนสู่ฆราวาสได้อย่างไร จะแต่งภรรยาได้อย่างไร”
คำถามติดกันสองคำถามแทบจะทำให้หู่โถวกระโดดโหยง เขาพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “คืน…คืนสู่ฆราวาส? แต่ง…แต่งภรรยา?”
“ไม่ต้องติดอ่างแล้ว เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ก็คือคืนสู่ฆราวาสแล้วแต่งภรรยา” มั่วหร่านอีพูดยืนยัน
หู่โถวซีดเผือดไปทั้งหน้า “พูด…พูดเล่นน่า”
มั่วหนิงโหรวหลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งที “พี่สิบ เจ้าไม่ต้องบีบคั้นหู่โถวขนาดนั้นก็ได้”
หู่โถวถอนหายใจอย่างโล่งอก พี่สิบสี่อย่างไรก็ยังอ่อนโยน เข้าใจความรู้สึกคน
ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงมั่วหนิงโหรวกล่าวเสริมว่า “คงต้องให้เวลาอันสมควรกับเขาหน่อย หู่โถวบวชมาตั้งนานขนาดนี้ จู่ๆ จะยอมรับได้อย่างไรกัน พวกเราต้องค่อยๆ เกลี้ยกล่อมเขาถึงจะถูก”
หมายจะฝนทั่งให้เป็นเข็มหรือ
หู่โถวตัวเซ มองไปยังมั่วเฟยเยียนที่อยู่นิ่งเงียบมาตั้งแต่แรก
มั่วเฟยเยียนสีหน้าเย็นชา นางค่อยๆ พยักหน้า
หู่โถวหน้ามืดแทบจะล้มพับ เขาเอามือค้ำโต๊ะแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่กลับสู่ฆราวาส ข้าจะบำเพ็ญพุทธญาน”
มั่วหร่านอีโน้มตัวลงเข้ามาประชิด “จะไม่กลับสู่ฆราวาสหรือ”
หู่โถวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่กลับสู่ฆราวาสอย่างเด็ดขาด!”
มั่วหร่านอียิ้มเยาะ “ไม่กลับคืนสู่ฆราวาสก็ได้ ของเพียงมีลูกหลานสืบสกุลตระกูลมั่วก็พอ”
หู่โถวแทบจะกระอักเลือด ให้มีลูกหลานสืบสกุล ก็หมายถึงกลับสู่ฆราวาสไม่ใช่หรือ
ราวกับเดาความคิดของเขาได้ มั่วหร่านอีเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากินเนื้อดื่มสุราก็แค่ผ่านท้อง แต่พระพุทธองค์ยังคงอยู่ในใจ ในเมื่อสามารถดื่มสุรา สามารถกินเนื้อได้ แล้วทำไมจะนอนกับสตรีมิได้”
หู่โถวอึ้งงันไปทันที แล้วพูดอุบอิบว่า “ก็จริงนะ แล้วทำไม…”
เห็นสายตาของหู่โถวเริ่มจะสับสน มั่วเฟยเยียนก็พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “หู่โถวอย่าไปฟังพี่สิบของเจ้า นางบำเพ็ญมาร!”
แววตาหู่โถวกลับมาเป็นประกายอีกครั้ง เหงื่อโชกไปทั้งตัว มองไปยังมั่วเฟยเยียนด้วยสายตาซาบซึ้งหนึ่งที
มั่วเฟยเยียนพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “สองสิ่งมิอาจยืนเคียงข้างกันได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ฆราวาส”
หู่โถวโกรธจัด กัดฟันพูดขึ้นว่า “มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าคืนสู่ฆราวาส พวกท่านล้วนแต่บำเพ็ญเพียรนี่นา พี่สิบสี่ท่านก็มีลูกหลานแล้ว พี่สิบท่านเองก็จะได้แต่งงานแล้วแต่ยังหนีงานมงคล แล้วท่านไยจึงไม่มีลูกหลานให้ตระกูลมั่วเองเล่า แล้วก็พี่เก้าท่านตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญเพียรชั่วชีวิตโดยไม่ออกเรือน สุดท้ายจะให้ข้าคืนสู่ฆราวาสเพื่อให้กำเนิดเด็ก นี่มันรังแกกันแท้ๆ ไม่ใช่หรือ”
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนประสานสายตากันหนึ่งที ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มั่วหนิงโหรวจูงมือหู่โถวขึ้นอย่างสุดแสนจะอ่อนโยน แล้วพูดแทงจุดอ่อน “นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่า พวกข้าเป็นสตรีหรือ”
หู่โถวเต็มไปด้วยความขมขื่น ทันใดนั้นก็รู้สึกคิดถึงมั่วชิงเฉินขึ้นมาเต็มประดา
เหลือเพียงหนึ่งวันก็จะถึงพิธีเข้าคู่บำเพ็ญ แขกเหรื่อจากทั่วสารทิศมากขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยเทียนหยวนขับขี่ของวิเศษเหาะเหินรูปทรงใบไม้ พาดผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก แล้วร่อนลงสู่เบื้องหน้าประตูพรรคเหยากวง สาวเท้าเดินไป ก็ถูกลูกศิษย์ประจำหน้าที่รั้งเอาไว้ “ผู้อาวุโส มีเทียบเชิญหรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่น แววตาอันเยือกเย็นเจือด้วยความประหลาดใจ สิ่งแรกที่นึกขึ้นได้ก็คือหรือว่ามีคนแอบอ้างเป็นตนเข้าพิธีมงคลหรือเปล่า
นึกได้เช่นนี้ก็อดทนไม่ได้ ผลักมือลูกศิษย์ประจำหน้าที่ออกแล้วสาวเท้าเดินพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส ได้โปรดแสดงเทียบเชิญก่อน ไม่มีเทียบเชิญก็ขอให้แจ้งชื่อเสียงเรียงนามหน่อย ผู้น้อยจะได้ไปรายงานแจ้ง” ลูกศิษย์ประจำหน้าที่สองสามคนล้อมมุงกันเข้ามา
เยี่ยนเทียนหยวนแววตาฉายความเยือกเย็นปลาบหนึ่ง ประหนึ่งชักกระบี่คมที่ซ่อนอยู่ในฝักออกมา แม้ไม่ได้แสดงพลังอำนาจออกมาแต่ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้ามาใกล้
เขาเดินตรงเข้าไปด้านใน แล้วพูดขึ้นโดยไม่หันหน้ากลับ “ข้าไม่มีเทียบเชิญ แต่ข้าเป็นเจ้าบ่าว!”
ลูกศิษย์ประจำหน้าที่สองสามคนนั้นอึ้งตาถลน เผลอร้องออกมา “คน…คนที่หน้าเต็มไปด้วยหนวดเขาผู้นั้นคือลั่วหยางเจินจวินหรือนั่น”
สักพักใหญ่ ลูกศิษย์ผู้หนึ่งก็พูดขึ้นเบาๆ “ดูจากรูปร่างด้านหลังแล้ว เหมือนจะจริง…”
หญิงสาวสองสามคนที่พึ่งจะร่อนลงมาไม่นานกำลังจะเดินเข้าไปเหล่านั้นคือนิกายเหอฮวน หญิงผู้หนึ่งในนั้นเอามือป้องปากหัวเราะพลางพูดขึ้นว่า “โอ ไม่ใช่ว่ากันว่าลั่วหยางเจินจวินรูปงามหาที่เปรียบมิได้ หล่อเหลาดั่งชาวสวรรค์หรอกหรือ ไยตอนนี้ดูเช่นไร ก็แค่ชายโสโครกหน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
“ไม่ต้องพูดมาก” หญิงสาวที่เป็นหัวหน้ากว่าสายตาปราดหนึ่ง แสดงเทียบเชิญแล้วเดินเข้าไป
ลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่สองสามคนก็แอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นเสียงดัง “ไอ้หยา คนผู้นั้นเมื่อครู่ต้องเป็นตัวปลอมแน่”
“ไม่ผิดๆ” ผู้คนที่เหลือต่างขานรับ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปรายงาน
“ลั่วหยาง ทำไมเจ้าอยู่ในสภาพนี้” กลางห้องโถงใหญ่ หลิวซางเจินจวินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยเทียนหยวนจึงได้ลูบใบหน้าตน น้ำเสียงเขาแหบพร่าเล็กน้อย “ลืมโกนไป ลั่วหยางเสียมารยาทแล้ว ท่านเจินจวิน ชิงเฉินนาง กลับมาแล้วหรือไม่”
“ยังไม่ได้กลับมา” หลิวซางเจินจวินเงียบไปชั่วครู่ แล้วตอบตามตรง
เยี่ยเทียนหยวนทิ้งมือลง แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “อืม ลั่วหยางรู้แล้วขอรับ ลั่วหยางขอตัวไปก่อน”
เสวียนหั่วเจินจวินลุกขึ้นเดินเข้ามา ตบไหล่เยี่ยเทียนหยวนเบาๆ “ลั่วหยาง เจ้าไปจัดการตัวเองก่อนเถิด วางใจได้ ภรรยาตัวน้อยของเจ้าไม่หายไปไหนหรอก”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้ขอรับ”
พูดเสร็จก็ยกเท้าก้าวไปด้านนอก แล้วนักพรตฝูหมิงรีบร้อนเดินเข้ามา ไม่ทันสังเกตว่าเป็นเยี่ยเทียนหยวน แสดงคารวะหลิวซางเจินจวินแล้วพูดว่า “เจินจวิน นักพรตชิงเฉิงกลับมาแล้ว ทว่า…มีผู้ชายคนหนึ่งพานางกลับมา เมื่อพวกเขาสองคนมาถึงหน้าประตู ก็พากันสลบไป”