เล่ม 2 ตอนที่ 7 นี่โดนเข้าใจผิดแล้วใช่หรือไม่

ราชินีพลิกสวรรค์

“หลิวหลี มานี่มา” เมื่อจดจ่ออยู่กับร่างทั้งสามที่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจียงหลีก็เรียกเจ้าเปี๊ยกออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เจ้าเปี๊ยกมองนางแวบหนึ่งก่อนจะปีนกระโดดขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของนางโดยไม่ลังเล

เจียงหลีกอดกระชับเจ้าก้อนขนเอาไว้แล้วทอดมองไปยังทั้งสามที่โรยตัวลงมาบนชายหาด

ชายหนึ่งหญิงสอง ร่างของทั้งสามสวมใส่อาภรณ์หรูหราราคาแพงซึ่งมองออกว่ามาจากที่เดียวกัน ทั้งยังมีเรือลำนั้นที่กำลังแล่นมาประชิดชายฝั่งทางด้านหลังของทั้งสามคน

เจียงหลีไม่เอ่ยสิ่งใดแล้วปราดตามองทั้งสามอย่างรวดเร็ว นางพิจารณาได้ว่าคนที่มีพลังปราณแข็งแกร่งที่สุดก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง

รูปลักษณ์หน้าตาของทั้งสามคนงดงามหมดจด เมื่อยืนอยู่ด้วยกันทั้งหมดอยู่ในบทบาทของหนุ่มรูปหล่อและสตรีรูปงาม

ในขณะที่นางสำรวจบุคคลทั้งสาม สามคนนั้นก็สำรวจนางเช่นกัน

ไม่เหมือนศิษย์น้องทั้งสองเลยสักนิด ในขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นถึงพื้นก็พินิจมองเจียงหลีด้วยแววตาเป็นประกายตกตะลึง

อีกทั้งสายตาตกตะลึงนั้นช่างปิดไม่มิดเลยสักนิด แววตาร้อนแรงมองตรงไปที่เจียงหลีทำให้เจ้าก้อนขนที่นางกอดเอาไว้ในอ้อมแขนมีสายตาเย็นเยียบและเล็บอันแหลมคมบนอุ้งเท้าสีชมพูเปล่งแสงสีฟ้าออกมา

หญิงสาวอีกสองคนก็กำลังจ้องมองหน้าตาและรูปร่างของเจียงหลีชัดๆ แล้วความริษยาก็ฉายแววในดวงตาของพวกนางในเวลาเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกถึงสายตาอันร้องแรงของศิษยพี่ ความอิจฉาริษยาก็ชัดเจนขึ้นในใจของพวกนาง

“งาม งามจริงๆ งามเลิศในปฐพี งามไม่มีที่เปรียบ งามมีเอกลักษณ์ของตัวเอง!” ชายหนุ่มเอ่ยชมจากความในใจของตน

สตรีสองนางอะไรนั่นของเขาโมโหอยากโวยวายแต่กลับมีชายหนุ่มเป็นอุปสรรคจึงได้แต่อดทนไว้

วาจาพร่ำเพ้อของเขานี้กลับทำให้เจ้าเปี๊ยกในอ้อมกอดของเจียงหลีมีแววตาเยือกเย็นถึงที่สุด ในส่วนลึกของนัยน์ตาลูกแก้วซ่อนจิตสังหารเอาไว้อย่างเข้มข้น

“อ่ะ แล้วนี่ตัวอะไร ทำไมถึงน่ารักน่าชังเยี่ยงนี้” เมื่อหนึ่งในหญิงสาวมองเห็นเจ้าก้อนขนที่เจียงหลีอุ้มอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องด้วยความประหลาดใจและถึงกับยื่นมือไปหามัน

“เจ้าจะทำอะไร” เจียงหลีถอยหลังทันควันเบี่ยงตัวหลบแล้วปกป้องเจ้าก้อนขนเอาไว้แล้วส่งสายตาระแวงสามคนนั้น

แม้นางจะไม่รู้ที่มาที่ไปของบุคคลทั้งสาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะบังอาจทำอะไรได้ตามใจชอบ

“บังอาจ!”

“ช่างกล้านัก!”

การตอบโต้ของเจียงหลีทำให้แม่นางทั้งสองถึงกับเบิกตาเขม็งและคิ้วขมวด

“หุบปาก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อยับยั้งความขัดแย้งบานปลาย

เมื่อสตรีทั้งสองถูกเขาเอ็ดตะโรจึงสงบสติอารมณ์ทันที จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาอย่างเชื่อฟังแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

สีหน้าหวาดระแวงของเจียงหลีไม่ได้หายไปไหนแล้วยังคงจ้องสามคนนั้นเขม็ง บางครั้งสายตาก็เหลือบมองไปทางเรือที่จอดเทียบฝั่งแล้ว

บนเรือลำนั้นยังมีเงาเคลื่อนไหวของคน มองดูแล้วข้างบนนั้นยังมีอีกหลายคน

ในที่สุด!

เจียงหลีคิดเช่นนั้นได้ เงาร่างของคนราวสิบกว่าคนลงจากบนเรือแล้วเข้ามาใกล้บุคคลทั้งสามอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพลังลมปราณของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับหลิงไซว่ขั้นสูง

“ศิษย์พี่ เป็นเยี่ยงไรบ้าง ใช่นางหรือไม่” ชายหนุ่มอีกคนที่ตามหลังมาติดๆ เอ่ยถามชายหนุ่มตามตรง

บุคคลนั้นน่าจะมีหน้ามีตาในหมู่คนกลุ่มนี้ทันทีที่เขายกมือขึ้นเขาก็ขัดการซักถามจากคนที่มาทีหลัง

คนกลุ่มหนึ่งยืนรอบนหาดทรายเงียบๆ

คนที่มาใหม่ล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด แม้พวกเขาจะยืนอยู่เงียบๆ แต่กลับลอบสำรวจเจียงหลีไปด้วย ไม่มีใครที่ไม่หลงใหลใบหน้ามีเสน่ห์ของเจียงหลีสักคน

คนงามเฉกเช่นนี้ ไม่เคยมีปรากฏในสำนักพรตเสวียนหมิงของพวกเขามาก่อน!

นาง…ใช่คนที่พวกเขาตามหาจริงหรือ เมื่อคำถามนี้ปรากฏในใจของพวกเขา ทุกคนต่างก็มีความหวังเดียวเช่นกัน สตรีงดงามที่สุดในปฐพีเยี่ยงนี้น่าจะเป็นบุคคลที่พวกเขาตามหา

“แม่นาง ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเราไม่ใช่คนร้าย” ดูเหมือนว่าเป็นเพราะใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเจียงหลีน้ำเสียงของชายผู้เป็นหัวหน้าจึงสุภาพกว่าปกติ

เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าใกล้เจียงหลี แต่ยิ่งใกล้ก็ยิ่งมองเห็นชัดเจนเขาคิดว่าเจียงหลีนั้นสวยมาก

เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับเขาที่เข้ามาใกล้เพื่อแสดงท่าทีต่อต้านและตักเตือน

เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนางก็หยุดฝีเท้าอย่างจนปัญญา เขายิ้มเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเอง “แม่นาง พวกเรามาจากสำนักพรตเสวียนหมิง ข้ามีหลายคำถามที่อยากถามแม่นาง ใช่สิ ข้าชื่อหันอวี้ ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อแซ่อะไร”

“เจียงหลี” เจียงหลีต้องการโดยสารเรือของพวกเขาออกไป ขอเพียงแค่พวกเขาไม่กระทำเกินกว่าเหตุ นางย่อมไม่ปฏิเสธการตอบคำถามง่ายๆ สำหรับอำนาจของสำนักพรตเสวียนหมิง นางไม่รีบร้อนที่จะทราบในตอนนี้

แล้วดูเหมือนว่าเจ้าเปี๊ยกจะไม่เห็นด้วยกับการให้ความร่วมมือของเจียงหลี กรงเล็บแหลมคมของมันข่วนไปที่มือของนาง แม้จะไม่ได้เลือดตกยางออกแต่กลับทิ้งรอยข่วนสีขาวเอาไว้

อย่าซนสิ เจียงหลีลูบหัวมันเงียบๆ

“ที่แท้ก็คือแม่นางเจียงนี่เอง” หันอวี้ยิ้มให้เล็กน้อย ใบหน้ารูปงามสะอาดหมดจดมองนางอย่างอ่อนโยน “แม่นางเจียงอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวรึ ที่นี่เป็นเกาะร้างนะ”

“เรือข้าอับปางก็เลยลอยมาติดเกาะอยู่ที่นี่” เจียงหลีตอบอย่างคลุมเครือ

เรืออับปาง!

ดวงตาของหันอวี้วูบไหว เขาแอบคิดในใจเงียบๆ ดูแล้วคงจะจริงในแปดเก้าส่วนจากสิบส่วน คำทำนายของมหาปุโรหิตกล่าวไว้ว่าจะมีธิดาสวรรค์มาปรากฏตัวที่นี่เพราะเรืออับปาง เราค้นหาตามทิศทางที่กำหนดแล้วก็เห็นเพียงแค่สตรีตรงหน้านี้เท่านั้น

หันอวี้มีคำตัดสินเบื้องต้นในใจแต่ยังไม่รีบด่วนสรุป เขาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ถ้าเช่นนั้น…หลังจากเรืออับปางแล้วมีเพียงท่านคนเดียวที่ลอยมาติดอยู่ที่แห่งนี้หรือ โดยเฉพาะ…บนเกาะแห่งนี้ยังมีแม่นางท่านอื่นอีกหรือไม่”

ดวงตาเป็นประกายของเขาจ้องเจียงหลีเขม็ง ไม่ยอมพลาดทุกสีหน้าของนางเลยสักนิด

ธิดาสวรรค์ที่ได้รับการต้อนรับจากสวรรค์ แต่ทว่าเรื่องใหญ่ของสำนักจะทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด

“ข้าถูกคลื่นซัดมาที่นี่คนเดียวจริงๆ ไม่มีผู้ใดอีก…อย่างไรก็ตามข้าอยู่ที่นี่หลายวันแล้วก็ไม่พบเห็นคนอื่นอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่นางอื่นๆ เลย” เจียงหลีคิดว่าคำถามของเขาช่างแปลกยิ่งนักแต่ก็ไม่ได้คิดมากแล้วตอบไปตามจริง

คำตอบของนางทำให้แววตาของหันอวี้เป็นประกาย นอกจากหญิงสาวสองคนนั้น คนอื่นๆ ข้างหลังเขาต่างเผยสีหน้าตื่นเต้น

แต่ถึงอย่างไรหันอวี้ผู้นี้นับว่าสงบอารมณ์ได้ล้ำลึกยิ่งกว่า

เขาพูดกับเจียงหลี “อย่างนี้นี่เอง พวกเรามาจากการเดินเรืออันยาวนานผ่านเกาะนี้และต้องการพักสักคืน มิทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่”

เจียงหลีเอ่ยยิ้ม “ที่นี่ไม่ใช่บ้านข้าสักหน่อย พวกท่านอยากพักก็พักสิ แต่ว่า…”

ทันใดนั้นนางเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วหยุดพูด

หันอวี้รีบเอ่ยขึ้น “แม่นางมีสิ่งใดก็พูดมาตามตรงเถิด”

เจียงหลีเหยียดยิ้มแล้วมองไปยังเรือของพวกเขา “ไม่รู้ว่าพวกท่านจะไปที่ไหนต่อหรือ หากกลับซีฮวงล่ะก็ข้าขอติดเรือไปด้วยได้หรือไม่”

“เรื่องนี้นี่เอง เรื่องเล็กน้อย แน่นอนว่าย่อมได้” หันอวี้ยิ้มเอ่ย

“เช่นนั้นก็ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” เจียงหลีก็ยิ้มเอ่ยเช่นกัน

ด้วยรอยยิ้มนางยิ่งสร้างใบหน้างามล่มเมืองเปล่งประกายจนชายหนุ่มทุกคนต่างตกตะลึงและแม้แต่ดวงตาของหันอวี้ก็เผยความหลงใหล

“พวกท่านตามสบายเถิด ข้าขอตัวกลับไปก่อน” เมื่อเจียงหลีบรรลุจุดประสงค์แล้วก็ไม่พูดมากอีกจึงหันกลับไป นางคิดว่าหากตัวเองยังไม่ไปอีกล่ะก็ฝ่ามือนางคงถูกเจ้าเปี๊ยกอารมณ์แปรปรวนนี่ข่วนแสบไปหมดแน่ๆ