ตอนที่ 239 ช่างเป็นวิธีที่ดีจริง (6)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

แต่พอเขาหยิบขาหมูชิ้นหนึ่งกัดกร้วม ก็โยนความลังเลทั้งหมดทิ้งไป แววตามีแต่รสชาติหอมหวนของขาหมูแก้วในปาก

 

 

พวกเขาถูกเจี่ยงอี้จ่างสั่งอดเนื้อมาเป็นเดือนแล้ว คราวนี้ต่อให้ต้องตายก็ขออิ่มท้องไว้ก่อน!

 

 

เห็นต้าสู่สวาปามอย่างมูมมาม มือซ้ายคว้าขาหมูแก้วอันหนึ่ง มือขวาถือเป็ดย่างตัวหนึ่ง บรรดาคนหยิบหย่งชักตาร้อนผ่าวน้ำลายสอ

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋ยังไม่ได้สั่งให้พวกเขาไปกิน ยังไม่ต้องพูดถึงเจี่ยงอี้จ่างที่นั่งมองพวกเขาอย่างเย็นชา แค่คนคลุมหน้าหลายคนที่ถือแส้ในมือแถมกลิ่นอายเย็นเยียบทั้งตัว ก็ทำเอาพวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามแล้ว ได้แต่เบิ่งตาดูต้าสู่ที่นั่งกินเหมือนหนูตัวใหญ่เลือกกินจริงๆ อะไรอร่อยก็แทะเลย และกับข้าวพวกนั้นก็พร่องลงอย่างรวดเร็ว ทำเอาพวกเขาร้อนใจจนตาเขียว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นต้าสู่คงอิ่มราวหกเจ็ดส่วนแล้วจึงอมยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อมีการตกรางวัลย่อมมีการลงโทษด้วย ในเมื่อข้าระบุคนได้รางวัล ย่อมต้องมีคนต้องถูกลงโทษ”

 

 

พวกหยิบหย่งพลันตาค้าง…อะไรนะ ยังมีคนจะถูกลงโทษด้วยหรือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชำเลืองมองพวกเขาที่กระสับกระส่าย แม้แต่ต้าสู่ก็กินช้าลง นางจึงระบุชื่อคนแรกช้าๆ “เฝยหลง ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าเจ้าใจกล้า และมีแผนจึงสามารถถอดกางเกงในของผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำได้”

 

 

คราวนี้เฝยหลงไม่กล้าทำท่าได้ใจเหมือนเดิมแล้ว จึงจ้องชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้าพูดแล้วจะคืนคำหรือ”

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยือก “ย่อมไม่ อาหารโต๊ะนี้เจ้าย่อมมีส่วนด้วย แต่เจ้าก็ทำผิดอย่างยิ่งจึงต้องลงโทษ นี่เป็นกฎเกณฑ์หรือไม่”

 

 

เฝยหลงชักเดือด หิวจัดจนไม่นำพาต่ออะไรแล้ว รู้สึกว่าชิวเยี่ยไป๋แกล้งตน จึงพาลตัดใจตะโกนลั่น “ข้าผิดตรงไหน!”

 

 

เป๋าเป่าแลดูเขาและหรี่ตาลงอย่างน่าหวาดเสียว แต่ยังคงนั่งสงบกับที่ มิได้เตะโครมเข้าให้เช่นยามปกติ

 

 

ถึงอย่างไรวันหลังยังมีโอกาสอีกเยอะที่จะจัดการกับคนที่เสียมารยาทต่อคุณชายสี่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เท้าคางด้วยมือข้างหนึ่ง คลึงถ้วยในมืออย่างเกียจคร้านกล่าวว่า “แม้เจ้าจะปลดกางเกงของยอดฝีมือได้ แต่กลับจัดการกับผลที่ตามมาไม่ได้ เพียงแค่ความสะใจชั่ววูบ แต่ถูกคนจับได้จนเจ้าต้องถูกตีแทบตาย ซ้ำยังพัวพันถึงพี่น้องคนอื่นๆ ในกองคั่นเฟิงพลอยโดนลงโทษด้วย ใช่หรือไม่”

 

 

เฝยหลงฟังแล้วเพลิงโทสะที่เผาจนเหิมเกริมพลันทอนลง แม้แต่พรรคพวกหยิบหย่งด้วยกันก็นึกขึ้นได้ว่า ครานั้นเฝยหลงทำเอาทุกคนถูกทำโทษคุกเข่าอยู่ครึ่งค่อนวัน

 

 

แต่เฝยหลงกลับสวนทันควันอย่างมิยินยอม “นั่นมันบัญชีเก่าเก็บแล้ว ใต้เท้าเชียนจ่งจะเปิดปฏิทินค้างปีมาตำหนิลงโทษพวกพี่น้องหรือ”

 

 

ว่าแล้วเขาก็หรี่ตากวาดมองพรรคพวกหยิบหย่งแวบหนึ่ง

 

 

พริบตานั้นพวกหยิบหย่งก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่ตนเองเพิ่งจะโอ้อวด ‘ความดีความชอบ’ กันเสียงขรม เพราะกลัวว่าจะเล่าได้ไม่ละเอียดและถูกบันทึกไว้หมดแล้ว พวกเขาจึงพลันกระสับกระส่ายพูดกันคนละคำสองคำอย่างดุเดือด ท่าทางเหมือนจะกบฏ…

 

 

“หากเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าท่านออกจะไร้น้ำใจเกินไปแล้ว!”

 

 

“ใต้เท้าต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

 

“นี่เกินไปแล้ว!”

 

 

“…”

 

 

คนหยิบหย่งตัวน้อยที่เป็นคนจดบันทึกเมื่อครู่แทบอยากแทรกแผ่นดินหนี

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋กลับพลันกล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้าพูดพอหรือยัง”

 

 

เสียงนางไม่ดังมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนฐานะสูงส่งในยุทธจักร ความเย็นเยียบและเฉียบขาดในน้ำเสียงทำเอาพวกหยิบหย่งเงียบลงตามสัญชาตญาณ

 

 

นางกล่าวเนือยๆ ว่า “พวกเจ้ายังรู้จักปฏิทินเก่าด้วย แต่เมื่อครู่ตอนโอ้อวดความชอบหวังรางวัล ไม่เห็นมีใครบอกว่าเรื่องพวกนี้เก่าเก็บนี่ หืม”

 

 

หัวใจที่พองโตของบรรดาคนหยิบหย่งพลันแฟบลงในพริบตา นั่นนะสิ เมื่อครู่พวกเขาหวังว่าจะเล่าเพื่อได้รางวัลนี่!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พูดต่อช้าๆ “ข้าบอกแล้ว จะเล่นต้องเล่นให้ได้ดี เล่นก็ต้องเล่นอย่างมีกฎเกณฑ์ มีรางวัลมีลงโทษ เช่นนี้การละเล่นจึงจะมีความหมาย พวกเจ้าก็เห็นด้วยแล้วนี่”

 

 

บรรดาคนหยิบหย่งพูดไม่ออก “…”

 

 

การขุดหลุมฝังตนเองคืออะไร ก็คือเช่นนี้เอง แต่ใต้เท้าท่านก็เจ้าเล่ห์เกินไป!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋โบกมือ “เอาล่ะ เริ่มจากเฝยหลงแล้วกัน ทำโทษโบยสิบแส้!”

 

 

พริบตานั้นเฝยหลงตกใจ “ทำไมจึงเริ่มจากข้า!”

 

 

ว่าแล้วเขาก็หันกายวิ่งหนีออกไปทันที พลางแอบนึกในใจว่า สิบแส้นี้ถึงจะไม่ตายแต่ก็เจ็บแน่ และขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูลด้วย!

 

 

อย่าเห็นว่าเฝยหลงอ้วนจนตัวกลม เช้านี้ชิวเยี่ยไป๋ได้เห็นกับตาถึงฝีมือของเขาว่าคล่องแคล่วว่องไวมาก คราวนี้จึงเห็น ‘ลูกหนังเนื้อ’ กำลังกลิ้งหนีไปทางประตู

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ได้เงยหน้า ยังคงก้มหน้าจิบน้ำบ๊วย เงาร่างสีเทาสายหนึ่งบินออกไปราวสายฟ้า แส้หวายในมือม้วนเข้าใส่เฝยหลง

 

 

เฝยหลงได้ยินเสียงลมจู่โจมด้านหลังก็รีบกลิ้งตัวกับพื้น ไม่คำนึงว่าทุลักทุเลไม่น่าดู หลบพ้นแส้หวายอย่างเฉียดฉิว เขาแสยะยิ้ม เหอะ ไม่เท่าไหร่นี่หว่า

 

 

แต่รอยยิ้มแข็งตัวทันที เพราะแส้หวายเส้นหนึ่งพันใส่คอแล้ว

 

 

นาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงแส้แหวกอากาศและเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ‘ลูกหนังเนื้อ’ กลมดิกฟาดกับพื้น แล้วยังกระเด้งขึ้นลงหลายครั้ง ถูกคนคลุมหน้าเสื้อเทาเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า

 

 

“ละเมิดกติกาการละเล่น เพิ่มโทษหนึ่งขั้น ลงทัณฑ์เป็นเท่าตัว เริ่มได้!” ชิวเยี่ยไป๋ออกคำสั่งอย่างเกียจคร้าน

 

 

คนเสื้อเทารับคำสั่งทันที พริบตานั้นเงื้อแส้ในมือประเคนใส่แผ่นหลังของเฝยหลงอย่างรุนแรงมิไว้ไมตรี

 

 

“โอ๊ย!” เฝยหลงเจ็บจนร้องเสียงแหลม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วมองเป๋าเป่าแวบหนึ่ง เป๋าเป่ารู้ทันทีหันไปสั่งคนคลุมหน้าเสื้อเทาที่อยู่ข้างๆ “อุดปาก!”

 

 

คนคลุมหน้าเสื้อเทากระชากฉีกเสื้อของเฝยหลงแล้วขยำเป็นก้อนยัดใส่ปาก เฝยหลงก็สิ้นเสียงได้แต่เจ็บจนหน้าเขียว ถูกแส้หวดจนสั่นระริกทั้งตัว

 

 

พรรคพวกที่อยู่รอบข้างดูจนหน้าเขียวหน้าซีด เฝยหลงผู้เกกมะเหรกแต่ไหนแต่ไรบัดนี้น้ำหูน้ำตาไหลอย่างน่าอนาถ พวกเขาก็พลอยสงสารไปด้วย

 

 

แต่บางคนก็สงสัยว่าเฝยหลงความอดทนน้อยไปหน่อย หวายนี้เส้นเล็กนิดเดียวฟังเสียงก็ไม่รุนแรง แส้ฟาดใส่แต่ละทีเสื้อผ้ายังไม่ทันขาดด้วยซ้ำ แม้แต่อานุภาพการลงทัณฑ์ของคุกเจ้าอวี้ที่พวกเขาเคยไปชมดูก็ยังไม่มี เจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

เฝยหลงถูกอุดปาก ทุกข์ก็บอกไม่ได้ เขาเจ็บจริง เขาเองก็เคยโดนเฆี่ยนด้วยแส้จากพวกเจ้านายในซือหลี่เจียนมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้ว่าแส้ขนาดใหญ่เฆี่ยนคนเจ็บไม่เท่าแส้เล็ก เขาไม่ได้กลิ่นคาวเลือดด้วยซ้ำ กลับรู้สึกว่าโดนฟาดแต่ละครั้งเหมือนโดนมีดคว้านเข้าไปในเนื้อ