ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 6 เปลี่ยนแปลง (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

พ่อบ้านโอวหยางก้มหน้าลงไม่กล่าวอันใด ฮูหยินตงฟางถูกบรรดาศิษย์ล้อมไว้ แม้ว่าไม่มีคนกล้าแตะต้องนาง แต่หากคิดหนีแม้ครึ่งก้าวก็อย่าได้คิด นางอดร้อนใจไม่ได้ กล่าวว่า “นายท่าน! ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

 

ตงฟางชิงฉีราวกับไม่ได้ยินวาจาร้องทุกข์ของนาง เพียงมองโอวหยาง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเห็นเจ้าเป็นดังน้องชาย เจ้ากลับแอบแทงข้างหลังข้า ไม่สู้ลองเล่าสาเหตุมาสักหน่อย บอกข้าว่าเพราะเหตุใด”

 

 

โอวหยางเงียบอยู่เป็นนาน จึงกล่าวเบาๆ ว่า “คน ปีศาจ คนละทางเดิน ไหนเลยมีเหตุผลใดมากมาย สิบสองปีก่อนท่านช่วยข้าไว้ ข้าตั้งใจทำงานให้ท่านเพื่อทดแทนบุญคุณ ตอนนี้บุญคุณจบสิ้นแล้ว ท่านกับข้าจากนี้ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก”

 

 

“เจ้าเป็นปีศาจ?!” ไม่เพียงแต่ตงฟางชิงฉี ทุกคนล้วนตกใจ

 

 

โอวหยางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ทำไม รู้ว่าข้าเป็นปีศาจ ก็รู้สึกควรเป็นเช่นนี้หรือ ข้าแย่งภรรยาท่าน ยังพานักโทษหนี…ก็เพราะข้าเป็นปีศาจ…ผลเช่นนี้ท่านควรรับได้กระมัง”

 

 

“ท่านโอวหยาง! ท่านอย่า…” เพียนเพียนอดกล่าวแทรกขึ้นไม่ได้ ถูกตงฟางชิงฉีโบกมือขัดขึ้น

 

 

“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยช่วยเจ้าไว้ ดังนั้นกับเจ้าจึงไม่อาจกล่าวว่ามีบุญคุณใด แต่เจ้าตั้งใจทุ่มเทรับใช้งานเกาะฝูอวี้ของข้า สิบปีมานี้ข้าซาบซึ้งมาก ครั้งนี้ข้าปล่อยเจ้าไปได้ แต่คนผู้นี้ไม่อาจพาไปด้วยได้”

 

 

ตงฟางชิงฉีชี้ไปทางคนผู้นั้นที่หดตัวหลบอยู่ด้านหลังโอวหยาง ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล มองไม่เห็นอันใดสักอย่าง

 

 

โอวหยางลูบไปยังแผ่นหลังที่บาดเจ็บ กัดฟันทนดึงเอาก้านธนูนั่นออกโยนลงพื้น เลือดสาดเต็มพื้น ฮูหยินตงฟางด้านหลังอดแตกตื่นตกใจไม่ได้ ถึงกับอุทานน้ำเสียงรักใคร่สงสาร “ถงหลาง…ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

โอวหยางมองตงฟางชิงฉีนิ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เขาถูกพวกท่านขังมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว ก็ควรได้พบแสงตะวันได้แล้ว ตามหลักการมนุษย์ของพวกท่าน ท่านมีคุณกับข้า เดิมข้าก็ไม่ควรทำสิ่งที่ผิดต่อท่าน แต่บุญคุณของท่าน สิบปีมานี้ข้าชดใช้หมดแล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับเป็นคนแปลกหน้า ข้าย่อมต้องพาเขาไปด้วย และท่านอยากสังหารก็ลงมือได้ ย่อมเป็นอิสระของท่าน”

 

 

กล่าวจบเขายกมือยกตัวคนผู้นั้นขึ้น ปลายเท้าแตะพื้นเล็กน้อย ถึงกับค่อยๆ ลอยตัวขึ้น พริบตาก็ไกลออกไปสามสี่ฉื่อ ตงฟางชิงฉีไหนเลยจะยอมให้เขาหนีไปซึ่งๆ หน้าได้ ยามนั้นจึงได้ชักกระบี่ที่เอวออกมา กระบี่นั่นชื่อว่าจิงหง ยืดได้หดได้ตามใจ เปลี่ยนไปตามใจปรารถนา ตอนนั้นที่เขาลู่ไถซานก็อาศัยกระบี่นี่ทำร้ายสุนัขฟ้ากับอินทรีกู่เตียวบาดเจ็บ

 

 

โอวหยางเห็นด้านหลังมีลำแสงพุ่งแทงมา รู้ว่าร้ายกาจไม่น้อย จึงไม่กล้าปะทะโดยตรง ยามนั้นจึงเอี้ยวตัวเบาๆ กลางท้องฟ้าปล่อยให้เฉียดผ่านไป พลันได้ยินเสียงคับแค้นใจของฮูหยินตงฟางที่อยู่ด้านล่างแว่วมา “ถงหลาง เจ้าจะทิ้งข้าหนีไปคนเดียวหรือ เจ้าลืมที่เคยรับปากไว้?”

 

 

เขาพลันนิ่งอึ้ง การเคลื่อนไหวในอากาศแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ตงฟางชิงฉีมองเห็นช่องโหว่ในทันที พลิกข้อมือ กระบี่ก็ราวกับมังกรสะบัดหัว แทงตรงไปทันที โอวหยางจะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว ข้อมือที่จับคนผู้นั้นไว้ถูกกระบี่จิงหงแทง นิ้วมือพลันอ่อนแรง คนผู้นั้นร่วงลงไปทันที เพียนเพียนรีบเข้ามาคุมตัวไว้ ตามมาด้วยเรื่องที่น่าตกตะลึง คนผู้นี้ไม่ร้องและไม่ขยับ ร่างกายยังแข็งราวกับเหล็ก

 

 

โอวหยางเห็นคนถูกแย่งไปได้ ก็รีบลดตัวลงสู่พื้นดินจะเข้ามาแย่งชิง ตงฟางชิงฉีตวัดกระบี่สู้กับเขาต่อ รู้สึกเพียงว่าร่างกายเขาไหลลื่น คมกระบี่แทงโดนก็เหมือนลื่นไถลอออกไป ราวกับแทงโดนหนังลื่นๆ ก่อนหน้านี้ ตนอยู่กับเขามาสิบปี เห็นเขาเป็นดังพี่น้องแท้ๆ ยังสงสารที่เขาไม่มีวิทยายุทธ์ ทุกครั้งยังปรารถนาดีจะสอนเขา แต่ก็มักจะถูกปฏิเสธเสมอ

 

 

ในที่สุด ตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาต้องปฏิเสธเคล็ดวิชา เขาลื่นไหลนุ่มนวลเหนือกว่าวิชาเกาะฝูอวี้อีกขั้น ฝ่ามือและเท้าไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย มือเปล่าก็รับมือการโจมตีทั้งหมดของเขาไว้ได้ เขาเข้าใจว่านี่คือการยอมอ่อนข้อให้ โอวหยางเป็นปีศาจ หากใช้พลังแท้จริง แม้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหลายปีก็ไม่อาจต้านทานได้ มนุษย์ธรรมดาต่างกับมารปีศาจราวฟ้ากับดิน แม้ทุ่มเทต่อสู้ด้วยชีวิต อย่างมากก็แค่เสียเปล่า

 

 

คิดถึงตรงนี้ ตงฟางชิงฉีพลันรู้สึกจิตใจสับสน โลกนี้ยังมีสิ่งใดที่เชื่อใจได้เต็มที่ไหม ภรรยาที่เขาทุ่มเทมอบความรักให้ก็มีคนอื่น ถึงกับทรยศตนเองอย่างไม่ปิดบัง คนผู้นั้นที่เป็นดังพี่น้องก็ปิดบังตนเองมาถึงสิบปี ก่อนจากไปยังแย่งชิงความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาะฝูอวี้ไปอีกด้วย ตนเองบำเพ็ญเซียนหลายสิบปี เป็นหนึ่งในเจ้าสำนักของห้าสำนักใหญ่ใต้หล้า มีเกียรติยศยิ่งใหญ่ระดับใด! มาถึงตอนนี้กลับเข้าใจแล้วว่านั่งอยู่ในบ่อมองฟ้านั้นรสชาติเป็นเช่นไร

 

 

ในใจเขาพลันรู้สึกสับสนขึ้นมา กระบวนท่าก็พลอยสับสนไปด้วย ไม่ทันระวังถูกโอวหยางคว้ากระบี่จิงหงไว้ได้ เขาตกใจยิ่ง รีบกระชากกลับมา ผู้ใดจะรู้ว่ามือเขาถึงกับราวเหล็กไหล ไม่ขยับแม้แต่น้อย ฉู่เหล่ยเห็นท่าไม่ได้การ รีบจะเข้าไปช่วย กลับถูกเขาตวาดเสียงดัง พริบตา กระบี่จิงหงถูกโอวหยางแย่งไปได้ ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ เขาก็แทงเข้าที่อกขวาของตงฟางชิงฉี

 

 

“ล่วงเกินแล้ว!” โอวหยางปล่อยกระบี่จิงหง ขาขวาแตะพื้นเล็กน้อย ค่อยๆ ลอยตัวหลบกระบี่ฉู่เหล่ย หันกลับไปใช้แรงคว้าคนผู้นั้นที่ถูกเพียนเพียนดึงไว้ เพียนเพียนเตรียมตัวไว้แล้วว่าเขาต้องมาแย่งชิง ตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ คว้าเสื้อคนผู้นั้นไว้แน่น ผู้ใดจะรู้ว่าเสื้อนั้นไม่อาจทานแรงได้ สองคนใช้แรงกระชาก จนเสียงขาดดังแคว่ก ในที่สุดใบหน้าคนผู้นั้นก็เปิดเผยท่ามกลางแสงจันทร์

 

 

ร่างเขาผอมแกน หลังค่อม บนร่างยังมีขนสีขาวราวหิมะปกคลุมทั้งตัว แม้แต่ใบหน้าก็มี มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนแก่หรือเด็ก แต่ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใบหน้าเขา หากเป็นท่อนเหล็กขนาดราวข้อมือสองท่อนร้อยรัดมือเขาไว้ ท่อนเหล็กสองท่อนแยกกันร้อยไว้กับส้นเท้าเขา ได้แต่ใช้มือประคองไว้ ไม่เช่นนั้นเพียงขยับก็ย่อมเจ็บปวดรวดร้าวถึงใจ

 

 

ทุกคนเองคิดไม่ถึงว่าผ้าที่ห่ออยู่นั้นจะเป็นคนสภาพอนาถเช่นนี้ พากันอึ้งตะลึงมอง

 

 

โอวหยางคว้าตัวคนผู้นั้นขึ้นมาด้วยมือหนึ่ง โดดไปบนยอดไม้ กล่าวว่า “เทพสวรรค์ล่ามกุญแจโซ่หมุดทะเลไว้ในร่างเขา ให้เขาและคนผู้นั้นห่างกันหมื่นลี้ ไม่อาจได้พบกันอีกชั่วชีวิต แต่ไม่ได้ให้มนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้าลงทัณฑ์ทรมานเขาเช่นนี้! เขาทำผิดก็ย่อมได้รับการลงโทษจากเทพสวรรค์ เกี่ยวอันใดกับมนุษย์เช่นพวกเจ้า คนผู้นี้ วันนี้ข้าพาไปแล้ว! ขออำลา!”

 

 

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน!” ตงฟางชิงฉีกุมอกขวาไว้ เลือดไหลรินรดง่ามนิ้วไม่หยุด เขาถูกแทงทะลุปอด ยามหายใจเจ็บปวดรวดร้าว เปล่งวาจาอย่างยากลำบาก “เจ้า…บอกว่าลงทัณฑ์ทรมาน…แต่เรื่องนี้…ข้าไม่รู้เรื่อง…คำสั่งบรรพชนเกาะฝูอวี้…ที่ขังอยู่คุกใต้ดินก็คือนักโทษถูกเทพบรรพกาลลงทัณฑ์…ผู้ใดก็ไม่อาจปล่อยเขาไปได้…แต่มิได้อนุญาตให้ทรมาน…”

 

 

โอวหยางไม่กล่าวอันใด เงียบไปครู่หนึ่ง หันกายจะจากไป ก็พลันได้ยินเสียงเศร้ารันทดของฮูหยินตงฟางใต้ต้นไม้กล่าวว่า “ถงหลาง! เจ้าเคยรับปากข้าไว้อย่างไร?!”

 

 

เขาหยุดนิ่งเป็นนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ข้าผิดต่อท่าน ที่ท่านรักข้า แท้จริงเพราะข้าเป็นปีศาจต้อยต่ำ หรือข้าที่ช่วยท่านบำเพ็ญเพียร ช่วยท่านให้งดงามเยาว์วัยได้ตลอดไป?”

 

 

ฮูหยินตงฟางคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเช่นนี้ พลันอดน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ที่แท้เจ้า…แต่ไรไม่เคยเชื่อข้า วาจาเจ้า…ก็แค่หลอกลวงให้ข้าช่วยเจ้าหาคนผู้นี้…”

 

 

อะไรที่ว่าจะเป็นดังนกยวนยางเทพเซียน จากนี้ไม่แยกจากกันชั่วชีวิต เขาไร้ยอด ฟ้าดินประสาน จึงแยกจากท่าน…ความหวานล้ำในวันวานเหล่านั้นล้วนมีเพียงนางที่เพ้อฝันไปเองฝ่ายเดียว ละครฉากใหญ่ที่ร้องเพียงลำพังโดยแท้ นางรอคอยอย่างยินดีเบิกบานอย่างนั้น วางแผนอย่างระแวดระวังช่วยเขาหาคนผู้นี้ นำพาให้พวกเขาได้พบกัน จากนี้คงต้องอำลาอดีตแล้ว ความสุขสมหวังที่ปรารถนา…ผู้ใดจะรู้ว่านางได้ลิ้มรสเพียงแค่ความขื่นขมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

โอวหยางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ไรมาข้าก็ไม่เชื่อผู้ใดทั้งนั้น ปีศาจก็ชั่วร้ายเช่นนี้ ท่านเกลียดข้าก็ดีแล้ว”

 

 

เขาเคลื่อนไหวร่างกาย ปล่อยให้ประกายสองกระบี่จากฉู่เหล่ยเพียนเพียนเฉียดผ่านไป แสงวาบกลางท้องฟ้า จากนั้นก็หายไปอย่างไร้เงา

 

 

ฮูหยินตงฟางมองเห็นเงาร่างเขาหายไปกลางท้องฟ้าค่ำคืนอย่างไร้ร่องรอย รู้สึกเพียงว่าโลกทั้งใบของตนจบลงแล้ว ‘ชายวิญญูชนผู้หนึ่ง มุ่งมั่นสลักชิ้นงาน บรรจงสลักหยก สูงส่งเช่นนั้น สง่างามเช่นนั้น ชายวิญญูชนผู้นี้ ข้ามิมีวันลืมเลือน’ เสียงเพลงรัญจวนเวียนวนยังคงก้องอยู่ข้างใบหูนาง ผู้ใดก็ไม่เชื่อว่านางมีใจรักแท้จริง เพื่อปีศาจที่นิ่งเงียบวาจาน้อยตนหนึ่ง ยังถึงกับย้อนกลับไปมีจิตใจดั่งดรุณีน้อยแรกแย้ม นางล้วนสละได้ทุกสิ่งเพื่อเขา

 

 

วิญญูชนผู้นี้หันหลังลอยละล่องจากไป ไม่ต้องการนาง ไม่เห็นค่านาง ลืมนางแล้ว

 

 

เป็นผู้ใดที่เคยกล่าวว่า ทำดีย่อมได้ดี ตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้รับรู้ผลกรรมแห่งทุกข์ นางเป็นคนเลว เป็นคนเลวที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด

 

 

แต่เป็นผู้ใดกล่าวว่า คนเลวไม่อาจรักใครสักคนได้กัน

 

 

อกขวาตงฟางชิงฉีได้รับบาดเจ็บสาหัส ในที่สุดไม่ทนไม่ไหวล้มลง บรรดาศิษย์ข้างๆ แตกตื่นตกใจรีบเข้ามาประคอง ฉู่เหล่ยกับเพียนเพียนไล่ตามไปอยู่นาน ก็ไม่อาจตามโอวหยางกับปีศาจบรรพกาลตนนั้นทัน สุดท้ายได้แต่กลับมาอย่างโมโหและผิดหวัง ช่วยทุกคนแบกตงฟางชิงฉีกลับห้องมาห้ามเลือดและทำแผล

 

 

ทว่า ผู้ใดก็ไม่มองนาง ผู้ใดก็ไม่ทักนาง ราวกับนางเป็นเพียงอากาศธาตุ

 

 

นางนิ่งอึ้งน้ำตาไหลพรากอยู่นาน พลันส่งเสียงหัวเราะดังไม่หยุด ค่อยๆ หันกายจากไป

 

 

ผู้ใดก็ไม่รู้นางจะไปที่ใด ผู้ใดก็…ไม่สนใจอีกแล้ว

 

 

เรื่องมารปีศาจวุ่นวายครั้งนี้ ที่สุดแล้วก็เพราะมีไส้ศึกจึงทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเสวียนจีไม่คิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเช่นนี้ ที่แท้ใต้เกาะฝูอวี้ไม่ได้มีโซ่หมุดทะเล ไม่เป็นไปตามการคาดเดาของอวี่ซือเฟิ่ง ที่คุกใต้ดินขังไว้นั้นเป็นเพียงปีศาจชราตนหนึ่ง ในร่างมีกุญแจโซ่หมุดทะเลผนึกไว้…เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็กระจ่างแล้ว มารปีศาจพวกนั้นต้องการช่วยมารปีศาจใหญ่แห่งบรรพกาลโบราณตนนั้นออกมา และไม่เสียดายสิ่งที่ต้องแลกไป

 

 

ส่วนเรื่องสถานการณ์อีกสี่สำนักที่เหลือ ยามนี้ไม่อาจคาดเดาได้ชั่วคราว หากดูจากระดับความร้ายกาจของมารปีศาจพวกนี้ สำนักเซวียนหยวนต้องยากจะหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้แน่แล้ว แปดเก้าส่วนจากสิบส่วนย่อมถูกกวาดล้างสำนักไปแล้ว หุบเขาเตี่ยนจิง ตำหนักหลีเจ๋อ และสำนักเส้าหยาง ในสามสำนักนี้ซ่อนโซ่หมุดทะเลหรือไม่ยังคงเป็นความลับ ตอนนี้เกาะฝูอวี้เสียหายหนัก สิ่งที่พวกมารปีศาจต้องการก็แย่งชิงไปได้แล้ว คิดว่าคงไม่มาก่อกวนชั่วคราว

 

 

แต่เรื่องพ่อบ้านโอวหยางยังคงสร้างความสะเทือนใจให้กับบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้อยู่มาก ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเขามาบนเกาะเมื่อสิบปีก่อน แท้จริงเพื่อมาตอบแทนคุณ หรือว่าเพื่อสิ่งที่ได้ทำในวันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาทำร้ายเจ้าสำนักบาดเจ็บสาหัสเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธ ศิษย์เกาะฝูอวี้ผูกพันกับตงฟางชิงฉีลึกซึ้ง ไม่แพ้บิดาแท้ๆ เพราะโอวหยางทำร้ายเจ้าสำนักก่อนจะหนีไป ดังนั้นจึงล้วนทำให้ทุกคนโกรธแค้น

 

 

เช้าวันนี้พวกเสวียนจีตามเพียนเพียนมายังหมู่บ้านฝูอวี้ นำศิษย์ที่ถูกตงฟางชิงฉีขับไล่ออกจากสำนักพวกนั้นกลับมา และอธิบายเรื่องราวให้ฟังง่ายๆ บรรดาศิษย์ได้ยินว่าเจ้าสำนักบาดเจ็บสาหัสก็พากันร้องไห้น้ำตาไหลพราก ยังได้ยินว่าที่ถูกขับออกไปนั้นเพราะมีสาเหตุ ความคับแค้นในใจก่อนหน้าก็พลันมลายสิ้นไป กลายเป็นความรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอย่างเต็มหัวใจ

 

 

เสวียนจีเห็นพวกเขาร้องไห้กันหนักมาก ก็ค่อยๆ ดึงแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง กระซิบข้างหูเขาเบาๆ ว่า “พวกเขายังไม่รู้ว่าสาเหตุจากฮูหยินตงฟาง จะว่าไป สองสามวันนี้ก็ไม่ได้เห็นฮูหยินตงฟางอีก เจ้าเห็นนางไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ตอนนี้ทุกคนพากันหลบเลี่ยงเอ่ยถึงนาง เจ้าเองก็อย่าได้เอ่ยเลย ข้าคิดว่าหากนางพอมีสมองคิดอยู่บ้าง ก็ไม่ควรอยู่ต่อ คิดว่าคงจากไปนานแล้วกระมัง”

 

 

เสวียนจีถอนหายใจ “เหตุใดพ่อบ้านโอวหยางไม่พานางไปด้วย ข้ารู้สึกว่าจริงๆ แล้วนางชอบเขามาก”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ชอบไม่ชอบก็ไม่สำคัญแล้ว เรื่องความรักแต่ไรมาก็ล้วนเป็นความคาดเดาและหวาดระแวงปนเปกัน โดยเฉพาะสถานะพิเศษอย่างพวกเขา จะให้ทุ่มเทเชื่อใจใครสักคน ไม่อาจเป็นไปได้กระมัง”

 

 

อย่างไรทุกคนก็ไม่อาจทนถูกทำร้ายความรู้สึกในจิตใจ

 

 

เสวียนจีเกาฝ่ามือเขาไปมา ทำเอารู้สึกจักจี้ ในใจเขาอดวูบไหวไม่ได้ ได้ยินเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาของนางว่า “หากชอบใครสักคน ก็อย่าได้ระแวงเลย…เช่นนั้นคงเหนื่อยมาก และย่อมไม่มีความสุข”

 

 

ในใจแอบทอดถอนใจ ที่เรียกว่าชอบ แต่ไรมาก็ล้วนเป็นความทุกข์ขื่นขมครึ่งหนึ่ง ความหอมหวานครึ่งหนึ่ง เพราะใส่ใจมากเกินไป ดังนั้นจึงพอได้มาก็กลัวสูญเสียไป ไม่รู้จักทุกข์แห่งรัก ก็ไม่อาจลิ้มรสความหอมหวานแห่งรัก หลังลิ้มรสความหอมหวานแห่งรัก ความทุกข์ขื่นขมปวดร้าวใจก็มีแต่ตนเองเท่านั้นที่รับรู้ได้

 

 

“เจ้ายังเด็ก…ยัง…ไม่เข้าใจกระมัง” เขาหัวเราะเสียงทุ้ม

 

 

เสวียนจีรีบกล่าวว่า “ข้า ข้าไม่เด็กแล้ว! ข้ารู้! ข้าชอบหลิงหลง ศิษย์พี่หก ท่านพ่อ ท่านแม่ ศิษย์พี่…แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยหวาดระแวงและคาดเดา! อยู่ดีๆ เหตุใดต้องคิดหวาดระแวง”

 

 

ช่างเซ่อซ่าเสียจริง เขาแอบสบถในใจ

 

 

“แต่…” นางพลันเสียงเบาลง รู้สึกเหมือนมีความอายแผ่ซ่าน ทำเอานางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนเช่นปกติ อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ามองนาง เห็นเพียงสีหน้านางแดงราวแสงอรุณส่อง ดวงตาดำขลับมองใบหน้าเขา ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย สุดท้ายมองไปยังดอกไม้ที่ทัดอยู่หลังใบหูนางที่ยังคงไม่แห้งเ**่ยว

 

 

“ข้าเหมือนชอบเจ้ามากขึ้นอีกหน่อยแล้ว”

 

 

เสียง ตุบ ดังขึ้น ขนมเปี๊ยะและเนื้อย่างที่เขาซื้อมาร่วงลงพื้นหมด เสวียนจีหัวเราะแหะๆ พลันรู้สึกทำอะไรไม่ถูก หันหลังวิ่งหนีไปทันที ทิ้งเขายืนเป็นไก่ไม้แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ที่ข้างฝ่าเท้ามีเนื้อย่างและแผ่นเปี๊ยะน่าสงสารนอนแผ่อยู่ เป็นนานกว่าเขาจะได้สติคืนมา กุมแขนตนเองไว้ คิดไปคิดมาก็รู้สึกโง่เซ่อ อดหัวเราะทอดถอนใจไม่ได้ หันหลังคิดไปตามหานาง กลับเห็นชุดขาวนั้นไปไกลมากแล้ว เขาถึงกลับไม่กล้าไล่ตามไป ได้แต่เดินตามไปด้านหลังคนเดียวโดดเดี่ยว ในใจทั้งหวานล้ำและเจ็บปวด พลันไม่รู้ว่ารสชาติใดกันแน่

 

 

ทุกคนกลับถึงเกาะฝูอวี้ จงหมิ่นเหยียนเดิมคิดไปหาพี่โอวหยางคุยสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่าหาโดยรอบก็ไม่พบ ได้แต่ลากศิษย์ที่เดินผ่านมาถามเขาว่า “พี่ชาย ขอถามหน่อยว่าพี่โอวหยางตอนนี้อยู่ที่ใด”

 

 

ศิษย์ผู้นั้นพอได้ยินชื่อพี่โอวหยาง สีหน้าในเวลานั้นพลันแปรเปลี่ยน สะบัดมือเขาออกอย่างแรง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่รู้!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นสีหน้าเขาไม่ปกติ อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “จะไม่รู้ได้อย่างไร คนที่ข้าพามาก่อนหน้านี้ไง! ยังเป็นญาติกับพ่อบ้านโอวหยางด้วย!”

 

 

ศิษย์ผู้นั้นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “โจรชั่วโอวหยางทำร้ายเจ้าสำนักบาดเจ็บ ทุกคนบนเกาะฝูอวี้แทบอยากจะฉีกเนื้อเขาทิ้ง! พ่อบ้านอะไรกัน! เขาคู่ควรหรือ?!”

 

 

กล่าวจบเขาก็มองจงหมิ่นเหยียนหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง กล่าวว่า “โอวหยางนั่นเป็นปีศาจ พี่ชายเขาก็ไม่ใช่คนดีอันใด! คิดว่าก็คงเป็นไส้ศึกแฝงตัวเข้ามา เจ้าหุบเขาหรงส่งคนมาจับเขาไปขังนานแล้ว ลงทัณฑ์สอบสวน หากเจ้ารู้ความ ก็อย่าได้ถูกปีศาจล่อลวงอีก!”

 

 

กล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งจงหมิ่นเหยียนยืนตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยนอยู่ที่เดิม

 

 

ขังคุก?! สอบสวน?! โอวหยางทำอันใด เกี่ยวอันใดกับพี่ชายเขา เขาเดินทางมากับพี่โอวหยางตลอดทาง เขาเป็นปีศาจที่ไหนกัน! เห็นชัดว่าเป็นคนที่อ่อนแอและขี้โรค!

 

 

คิดถึงคนที่สุขภาพอ่อนแอต้องมาถูกลงทัณฑ์สอบสวน ในใจเขาอดรู้สึกปวดแปลบไม่ได้ ความสามารถในการสอบสวนของเจ้าหุบเขาหรง คืนนั้นเขาเห็นกับตา พี่โอวหยางถูกเขาเหยียบขยี้เช่นนั้น ไหนเลยจะยังมีชีวิตรอดได้! ไม่ได้การ เขาต้องไปขอร้องอาจารย์!

 

 

คิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบหันหลังมุ่งไปทางห้องพักแขกหาฉู่เหล่ย