ตอนที่ 176.2 อับอาย (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

คนดูแลตึกรุ่ยเสวี่ยที่อยู่ไม่ห่างเย่หนานเฟิงเดินออกมา พยักหน้าตอบด้วยความเคารพ “ใช่เจ้าค่ะ ชายารอง ท่านอ๋องบอกไว้เช่นนั้นเจ้าค่ะ ชายารองดูแลครรภ์ในห้องอยู่หลายวัน คุณชายเย่มาผ่อนคลายที่สวนดอกไม้ทุกวัน เพียงแต่ว่าวันนี้เจอชายารอง…เยี่ยงนั้นพวกบ่าวไม่รบกวนชายารองแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” 

 

 

ยวนยางขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง ก็ไม่กล้าพูดอะไร เห็นว่าเย่หนานเฟิงและคนดูแลคนนั้นเดินจากไปแล้วจึงหันหน้ากลับ เห็นสีหน้าของชายารองยังทุกข์ทน เอ่ยปลอบขวัญ “ชายารอง ไม่เป็นไรนะเจ้าค่ะ ต่อให้คนชั้นต่ำคนนั้นจะหยาบช้าแค่ไหน ก็เป็นได้แค่คนที่ถูกซ่อนไว้ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

คนที่ซ่อนไว้? ทำได้แค่เดินโอหังในจวนเท่านั้น 

 

 

ตอนนี้เกรงใจตน เว่ยอ๋องกังวลครรภ์ของตน จึงตักเตือนเขา 

 

 

รอเด็กคนนี้ลืมตาดูโลกก่อน หากว่าเขาไม่เลือกตน อวิ๋นหว่านถงก็ยังไม่เชื่อจริงๆ 

 

 

ก่อนที่เจอเย่หนานเฟิงยังอารมณ์ดีอยู่ ตอนนี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว 

 

 

ขณะนั้นมีป้าคนสนิทมาหาที่สวนดอกไม้ในเรือน เห็นชายารองจึงรีบสับขาเดินเข้ามา กระซิบข้างหู “ชายารอง เจออู้เต๋อแล้วเจ้าค่ะ กลับมาที่วัดหวาอันแล้ว บ่าวให้ทหารปิดวัดไว้แล้ว ครั้งนี้เขาหนีไปไม่ได้แน่เจ้าค่ะ” 

 

 

ยวนยางดีใจ “จริงหรือ” ตั้งแต่พระเฒ่านั้นจากไป ทิ้งคำทำนายทั้งยังไม่แก้ไว้ให้ ชายารองกังวลใจมาโดยตลอด สั่งให้คนตามไม่ขาด ครั้งนี้นับว่าดีแล้ว 

 

 

ตามคาด อวิ๋นหว่านถง ดึงสติกลับมาลูบเสื้อคลุม “เตรียมม้า ไปวัดหวาอัน” 

 

 

อวิ๋นหว่านถงและบ่าวกลับมาถึงจวนเว่ยอ๋อง แสงก็จวนจะหมด แสงตะวันตกดินเส้นสุดท้าย 

 

 

ยวนยางและอวิ๋นหว่านถงเข้าเรือนมาทางด้านหลัง มองแผ่นหลังของนาง กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก 

 

 

วันนี้เดินทางไปวันหวาอันได้เจออู้เต๋อ พระเฒ่าไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไร 

 

 

ชายารองเดินเข้ากุฎิ อยู่กับอู้เต๋อเพียงลำพังอยู่ครู่หนึ่ง น่าจะแก้คำทำนายได้แล้ว 

 

 

ทว่าหลังจากชายารองออกจากวัด ขึ้นรถม้ากลับมาถึงจวนอ๋อง นิ่งเฉยไม่เอ่ยสักคำ สีหน้าก็ดูตึงเครียด 

 

 

ยวนยางก็ไม่กล้าถามมาก หากทำนายได้ว่าดวงชะตานั้นไม่สมพงษ์กันแล้วแก้ไม่ได้จะทำเยี่ยงไร หรือว่าครรภ์นี้ของชายารองจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว 

 

 

ก่อนเดินถึงห้อง เห็นว่าชายารองหยุดชะงัก จับใบหน้า เหงนหน้ามองท้องฟ้าพระจันทร์ข้างแรมปรากฏให้เห็นลางๆ ใกล้มืดแล้ว เอ่ยถาม “วันนี้ท่านอ๋องกลับจวนหรือไม่” 

 

 

สีหน้าขาวซีดคล้ายปกคลุมด้วยหิมะ เอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย กำลังพยายามปิดบังอะไรอยู่? 

 

 

ยวนยางนิ่งไปสักพัก เอ่ยตอบ “ใช่เจ้าค่ะชายารอง วันนี้ท่านอ๋องไปปรนนิบัติที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับจวนเจ้าค่ะ” 

 

 

“ดี” น้ำเสียงเย็นชา ราวกับใบไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ขยับเบาๆ ก็หยุดลง 

 

 

ดี? ยวนยางไม่ได้ตอบกลับ เพียงฟังที่ชายารองเอ่ย “ยวนยาง เจ้าให้บ่าวเรือนอื่นที่ปากแข็งๆ ไปตึกรุ่ยเสวี่ย แอบไปบอกเจ้ามารยานั่นว่าท่านอ๋องทำงานอยู่ที่ห้องหนังสือศาลาเทียนชู อยากให้เขาไปปรนนิบัติ บอกอีกว่าท่านอ๋องให้เย่หนานเฟิงไปเพียงคนเดียว อย่าบอกใคร” 

 

 

ยวนยางนิ่งอึ้ง “ชายารอง ท่าน…ท่านคิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านถงตะหวาดเสียงดัง “รีบไป!” 

 

 

ยวนยางไม่กล้าถามมาก รีบวิ่งไปจัดการ 

 

 

ห้องหนังสือที่ศาลาเทียนชูอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวนอ๋อง ห่างจากห้องชายารองไกลมาก โดยปกติเว่ยอ๋องไม่ค่อยใช้สักเท่าไร ส่วนมากจะทำงานที่ห้องหนังสือเรือนเอกง่ายต่อการบรรทม 

 

 

เย่หนานเฟิงได้ยินแล้วกลับไม่นึกสงสัย ท่านอ๋องไม่ชอบให้คนอื่นรบกวน ศาลาเทียนชูเงียบสงบ ข้างๆ ทะเลสาบ มีศาลางดงามตั้งอยู่ด้วย หากท่านอ๋องไม่ไป แม้แต่บ่าวเฝ้าก็ไม่มี เป็นที่หยอกล้อเล่นส่วนตัวได้ดีทีเดียว 

 

 

เขาคลุมเสื้อใหญ่อย่างสำราญใจ เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 

 

 

ยามเดินเข้าใกล้ศาลาเทียนชู เห็นแสงเทียนเลือนรางผ่านลายฉลุบนหน้าต่าง 

 

 

หน้าประตูพระจันทร์และทางเดิน ไม่มีบ่าวเลยสักคนคงจะถูกท่านอ๋องไล่ไปเสียแล้ว  

 

 

ช่างมีรสนิยมจริงๆ 

 

 

ใบหน้าเย่หนานเฟิงแดงระเรื่อ ค่อยๆ เดินเข้าไป แอ๊ด เสียงผลักประตูเข้ามาในห้องหนังสือ ทั้งยังหันหลังล็อคกลอนประตู 

 

 

“องค์ชายห้า~” เอื้อนเอ่ยอย่างออดอ้อนออเซาะ ราวกับคลื่นไหวขึ้นลง 

 

 

คนข้างในที่ได้ฟังขนลุกไปหมด สีหน้าเยือกเย็น สายตาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ 

 

 

เย่หนานเฟิงไม่เห็นปฏิกิริยาของคนข้างใน อดใจไม่ไหวเปิดม่านผ้าขาว กัดริมฝีปากเอ่ย “เรียกข้ามา ก็ไม่ตอบสักคำ ตกลงแล้วงานสำคัญหรือว่าข้าสำคัญกันนะ…” 

 

 

เสียงพูดจู่ๆ ก็เงียบลง 

 

 

เย่หนานเฟิงเบิกตากว้าง อวิ๋นหว่านถงสวมใส่ชุดสีแดงนั่งอยู่หลังโต๊ะเว่ยอ๋อง สายตาเย็นดุจหิมะ ยิ้มมุมปากเล็กน้อย  

 

 

“ทำไมเป็นท่าน องค์ชายห้าล่ะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านถงยิ้มเบาๆ “วันนี้องค์ชายห้าไปปรนนิบัติฮ่องเต้ไม่กลับจวน อะไรกัน คนสนิทเช่นเจ้าไม่รู้หรอกหรือ” 

 

 

เย่หนานเฟิงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมาได้ เป็นเพราะชายารองอยากเย้าตนเล่น อย่างไรเสียรอบๆ ก็ไม่มีใคร เอ่ยอย่างไม่พอใจ “น่าเบื่อเสียจริง! ชายารองอวิ๋นเรียกบ่าวมา คงมิใช่พูดแค่นี้หรอกกระมัง” สะบัดเสื้อจะเดินออก 

 

 

“มิใช่แค่นั้น” เสียงหญิงสาวหลังโต๊ะทำเอาเย่หนานเฟิงชะงัก แท้จริงแล้วนางอยากจะเล่นอะไรกันแน่ 

 

 

“อยากเห็นกับตาว่าเจ้าใช้ท่าทางชั้นต่ำอะไรออดอ้อนออเซาะท่านอ๋องอยู่ทุกครั้ง” 

 

 

น้ำเสียงเยาะเย้ยถางถางดูถูก 

 

 

เย่หนานเฟิงไม่โกรธกลับยิ้มตอบ ตั้งแต่ถูกส่งมาเป็นของเล่นที่หอนายโลม ได้ยินคำพูดพวกนี้มามากจะโกรธได้เยี่ยงไร หันกลับมาเอ่ยเสียงแหลม ตอบโต้อย่างไม่ยอมเลยสักนิด “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ยามบ่าวออดอ้อน ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะสุขใจแค่ไหน ท่านล่ะ? เพียงอิงซบท่านอ๋องก็ถูกสะบัดจนล้มลงพื้น อับอายหรือไม่ ทำเรื่องที่สตรีทำได้ ก็เก่งแล้ว หากเป็นบ่าวก็คงเอาหน้ามุดดินไปแล้ว” 

 

 

“คนชั้นต่ำ!” เรื่องที่อวิ๋นหว่านถงเจอกับท่านอ๋องครั้งนั้นเขาก็รู้ ยิ่งโกรธ มือตบโต๊ะหนังสือส่งสายตาอาฆาต 

 

 

อับอายขายหน้าเสียเอง สมน้ำหน้า เย่หนานเฟิงไม่เกรงใจแล้ว หลายวันมานี้เป็นเพราะว่านางมีครรภ์จึงทะเลาะกับนางไม่ได้ อึดอัดจะตาย จ้องมองที่ท้องนาง แสยะยิ้ม “หากไม่ใช่เพราะก้อนเนื้อที่อยู่ในท้องของท่าน ท่านอ๋องจะทนเห็นข้าถูกรังแกได้สักเสี้ยววินาทีหรือ บ่าวยังยืนยันคำเดิม ไม่กี่เดือนนี้รีบรับรู้ถึงความสุขเสียให้พอ รอวันที่เด็กคนนี้คลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็หมดหน้าที่ท่านแล้ว! คิดว่าท่านอ๋องยังอยากจะปรายตามองหน้าท่านอยู่อีกหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านถงได้ยินคำดูถูกพวกนั้น กลับไม่โมโห ท่าท่างค่อยๆ เย็นลง หรี่ตามอง “หมดหน้าที่? เหอะ ลูกชายของข้า จะต้องเป็นซื่อจื่อ[1]แห่งจวนเว่ยอ๋องแน่ ต่อให้ท่านอ๋องจะไม่ชอบข้าเพียงใด เพื่อเด็กคนนี้ก็ต้องยกย่องข้า ไม่กดขี่ข้า เจ้าฝันไปแล้วล่ะ” 

 

 

เย่หนานเฟิงแค่นเสียงหัวเราะ ก้าวเดินตรงมาข้างหน้าโต๊ะ ยั่วโทสะต่อ “ฝันหรือ เช่นนั้นคอยดูแล้วกันว่าใครกันแน่ที่เพ้อฝัน! เราทั้งสองต่างก็รู้ดี พระมเหสีรองเหวยมิได้เกี่ยวของกับความผิดของเหวยกั๋วจิ้ว ตอนนี้ยังคงเป็นพระมเหสีรองอยู่ ช่วงนี้ท่านอ๋องเข้าวังไปปรนนิบัติฮ่องเต้เช้าเย็น นั่นก็แสดงว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเว่ยอ๋อง วันนั้นท่านอ๋องยังพูดกับข้าว่าช่วงนี้ร่างกายของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าตอนนี้จะดีขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่ยังเจ็บไข้อยู่มาก เกรงว่าใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ฮ่องเต้อยากรอให้สถานการณ์ตระกูลเหวยผ่านไปก่อน ถึงจะแต่งตั้งท่านอ๋อง! เมื่อเว่ยอ๋องได้ราชาภิเษกเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่ต้องปิดบังความชอบของตัวเองแล้ว ข้าก็จะไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ อีกต่อไปแล้ว! ท่านอ๋องรับปากแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะได้เป็นชายาชายคนใหม่ ส่วนเจ้าน่ะหรือ ฮ่าๆ ยังมีชีวิตก็นับว่าดีแล้ว ยังคิดใช้ทายาทเว่ยอ๋องเป็นเครื่องมือไต่ให้สูงขึ้นอีกหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งเด็กในท้องนี่หรือ วางใจได้ หลังจากยืมท้องเจ้าเสร็จ เจ้าก็จะได้หายไป! ถึงตอนนั้นลูกชายของเจ้า ข้าจะรับเลี้ยงไว้เอง ถึงตอนนั้นข้าจะหักแขนขาของเจ้ามาดองในไหให้หมดแน่! ถุย!” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ซื่อจื่อ หมายถึงผู้สืบทอด ลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากพ่อ บรรดาลูกชายของชินหวาง อ๋อง โหวเหยีย ฯลฯ จะถูกเรียกว่า ซื่อจื่อ