บทที่ 79 บางทีอาจมี โดย Ink Stone_Romance
เฉินชีเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเกือบหนึ่งปีแล้ว ขุนนางใหญ่ชนชั้นสูงเขาท่องจำจนขึ้นใจแล้ว หวงเฉินมหาบัณฑิตแห่งสภาอำมาตย์หนึ่งในสามมหาอำมาตย์ เขาย่อมรู้จัก
แต่ขุนนางชั้นสูงเช่นนี้เขายังไม่เคยพบมาก่อน
คนข้างทางแค่นเสียงหยัน
“มหาบัณฑิตหวงเดินไม่ไหวตั้งนานแล้ว นั่นเป็นลูกชายของเขา ใต้เท้าน้อยหวง”
เฉินชีประหลาดใจมาก
“ใต้เท้าน้อยหวงถึงกับใช้กองทหารเกียรติยศของมหาบัณฑิตหวงได้ด้วยหรือ?” เขาเอ่ย
“ใช่แค่ใช้กองทหารเกียรติยศที่ไหนเล่า เขาแทนที่บิดาเขาแล้ว เรื่องในสภาอำมาตย์เขาก็รับหน้าที่” คนข้างทางเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าหวงหกล้มขาเจ็บเดินไม่ได้กลับไม่ยอมขอลาออก ถึงกับให้ลูกชายของเขาแทนที่เขา”
เฉินชีถลึงตา
“ทำอย่างนี้ได้ด้วย?” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้ถึงกับเห็นด้วย?”
“ฮ่องเต้เมตตาอารีน่ะ ปฏิบัติต่อขุนนางชราดีเป็นพิเศษ” คนข้างทางถอนหายใจเอ่ยแล้วโบกมือ ท่าทางระวังอยู่บ้าง “เรื่องของใต้เท้าน้อยหวงอย่าพูดมากล่ะ พูดไม่ได้”
พูดจบก็หดหัวรีบจากไปอย่างว่องไว
ใต้เท้าน้อยหวงผู้นี้น่ากลัวปานนั้นเชียวหรือ?
เฉินชีมองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนินด้านนั้นอีกครั้ง
ถูกชาวบ้านหวาดกลัวย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงดีงามอะไร ใต้เท้าน้อยหวงผู้นี้ดูไปแล้วไม่เหมือนคนที่ฮ่องเต้ผู้เมตตาอารีน่าจะให้อภิสิทธิ์นะ
“ผู้ดูแลใหญ่ชี เจ้ายังไม่รู้สินะ ใต้เท้าน้อยหวงคนนี้ก็สารเลวเช่นกัน” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาข้างกายเขา “องครักษ์เสื้อแพรน่ะโหดร้าย ส่วนเขาน่ะเล่ห์ร้าย พูดง่ายขึ้นหน่อยคือใต้เท้าน้อยหวงเชี่ยวชาญการใส่ร้าย ส่วนองครักษ์เสื้อแพรเชี่ยวชาญการทำให้การใส่ร้ายเป็นเรื่องจริง”
ถึงกับเป็นคนเช่นนี้?
เฉินชีถลึงตาโต
“ใช่แล้ว ว่ากันว่าขุนนางจบชีวิตในมือองครักษ์เสื้อแพรมากมาย ที่จริงกว่าครึ่งนั้นล้วนขอบคุณใต้เท้าน้อยหวงประทานให้” พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
น่ากลัวเช่นนี้!
เฉินชีถลึงตาอีกครั้ง
“ยังดีพวกเราไม่ใช่ขุนนาง คงไม่มีเรื่องกับเขา” เขาตบหน้าอกเอ่ย “พวกเรารีบกลับไปทำยากันเถอะ”
เฉินชีพาเหล่าพนักงานเดินไปตามถนน คนบนถนนก็พากันแยกย้ายจากไป ระหว่างที่คนผู้นี้มาแล้วไป ไม่มีใครสังเกตตรงมุมกำแพงด้านหนึ่ง เด็กผู้หญิงอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งสวมเสื้อขาวทั้งร่างยืนก้มศีรษะอยู่ ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิดูไปแล้วดั่งกิ่งหลิวอ่อนแอ
สายตาของนางตั้งแต่ต้นจนจบมองไปยังทิศทางของถนนเสด็จพระราชดำเนิน ราวกับตั้งตาคอยทั้งราวกับว่างเปล่าไร้แวว
ส่วนอีกด้านหนึ่งใต้เท้าน้อยหวงที่เดินทางมาถึงถนนเสด็จพระราชดำเนินก็กำลังมองถ้วยฝาปิดที่องครักษ์ส่งมา
“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถาม
ถ้วยฝาปิดถูกเปิดออก ไม่มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมา ตรงกันข้ามแสงส่องประกายเข้ามาในสายตา
ใต้เท้าน้อยหวงเพียงอึ้งนิดหนึ่ง ผู้รอบรู้กว้างขวางอย่างเขาก็ฟื้นสติ
“ทรายทองนี่เอง” เขาเอ่ย ยื่นมือหยิบนิดหนึ่งขึ้นมาจากในนั้น ทรายทองใต้แสงตะวันไหลร่วง “น้ำแกงนี้บำรุงคนจริงๆ”
แต่น้ำแกงนี้ย่อมไม่ใช่คนที่บอกว่าตนเองมาจากตระกูลยากจน มารดาชราป่วยหนักกระเสือกกระสนพอกินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่จะทำได้
ไม่รู้ว่านี่ปล้นสะดมผู้คนมาเท่าไรถึงเอามาได้
แน่นอนเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ใต้เท้าน้อยหวงหาสนใจไม่
“หลี่ชงคนนี้ไม่เลว” เขาเอ่ย ปิดฝาถ้วย “กลับไปดูสิว่าตรงไหนตำแหน่งว่าง เติมเขาเข้าไปสักคน คัดลอกหนังสืออยู่ที่กรมขุนนางลอกมานานปีขนาดนี้ก็น่าสงสารอยู่”
องครักษ์เก็บถ้วยฝาปิดไปขานรับทราบ
“ใต้เท้าหวง”
มีคนร้องเรียกอีกครั้ง
เสียงครั้งนี้ดังมาจากด้านหน้า ใต้เท้าหวงมองไป เห็นขุนนางอายุสามสิบกว่าปีใบหน้าผอมแห้งเส้นผมดำคนหนึ่งก้าวเร็วไวมา หลังร่างขุนนางชั้นผู้น้อยติดตามสองคน ในมือขุนนางชั้นผู้น้อยต่างประคองหีบใบหนึ่ง ดูไปแล้วกินแรงนัก
“ใต้เท้าถัง” ใต้เท้าน้อยหวงเอ่ยขึ้น “ทำไมมาเวลานี้เล่า?”
“เกินไปแล้วจริงๆ” ใต้เท้าถังเอ่ย สีหน้าชิงชัง “ฏีกากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงของพวกเราสำนักฏีกา[1]ถูกใต้เท้าเหอขวางไว้อีกแล้ว”
ใต้เท้าน้อยหวงร้องอ้อทีหนึ่ง ยื่นมือตบพุง
“ท่านลุงเหออายุมากแล้ว” เขาเอ่ย “คนอายุมากสมองก็เพี้ยนง่าย”
คิดอะไรได้ก็ร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“ลู่อวิ๋นฉีเล่า? ฝั่งเขาด้านนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ?”
ฎีกาของลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่มีคนขวางได้
ใต้เท้าถังยิ่งสีหน้ารังเกียจ
“ใต้เท้าลู่ตอนนี้ยุ่งเสวยสุขกับคนงามอยู่” เขาเอ่ย “งานการล้วนไม่ทำแล้ว”
ใต้เท้าน้อยหวงหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา
“ยังก่อกวนคุณหนูจวินคนนั้นอยู่อีกเรอะ” เขาเอ่ย “ไหนเลยต้องเปลืองแรงปานนั้น แย่งคนมาเสียตรงๆ ไม่ใช่ก็ได้แล้วรึ ยังรักหยกถนอมบุปผาเล่นละครเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจอะไร เป็นเด็กน้อยที่ซื่อตรงคนหนึ่งจริงๆ”
ผู้ที่วิจารณ์ลู่อวิ๋นฉีว่าเป็นเด็กน้อยที่ซื่อตรงคงมีเพียงใต้เท้าน้อยหวงแล้ว
ใต้เท้าถังคร้านจะสนใจเรื่องชายหญิงเหล่านี้ พยักหน้าหลายทีก็รีบพูดธุระของตนเองต่ออีกครั้งทันที
“ใช่ไหมเล่า” เขาเอ่ย “เขาไม่สนการงาน ใต้เท้าเฒ่าเหอจึงมือเดียวปิดฟ้า ถึงกับบอกว่าที่พวกเรากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงสมคบกับชาวจินเป็นเรื่องโง่เง่าน่าขำ บอกว่าเอาไปถวายหน้าพระพักตร์น่าขายหน้า”
พูดถึงตรงนี้โกรธเกรี้ยวจนหน้าดำๆ แดงไปหมด เห็นได้ว่าเมื่อครู่ถูกถากถางมาไม่เบา
“บอกว่าพวกเราผู้ตรวจการต้องฟังข่าวถวายฎีกา ไม่ใช่ฟังเสียงหมาเห่า” เขาเอ่ยชิงชัง
ใต้เท้าน้อยหวงสีหน้าเห็นใจ
“นี่ย่อมไม่ดีแล้ว ทำไมด่าคนเสียเล่า?”เขาเอ่ย
“ใช่แล้ว จะไม่มีหลักฐานได้อย่างไร? นี่เป็นข่าวที่แถบเหนือส่งกลับมา มีคนมากมายนักเคยพูด” ใต้เท้าถังเอ่ยชิงชัง
ใต้เท้าน้อยหวงพยักหน้าอีกครั้ง
“บางทีอาจมี ก็ย่อมมีไหมเล่า” เขาเอ่ย พลางยื่นมือออกมา “มา ฎีกามอบให้ข้า ข้าจะไปทูลกับฝ่าบาท ใช่เรื่องโง่เง่าน่าขำหรือไม่ ควรเป็นฝ่าบาทตัดสินพระทัย พวกเราจะแย่งเขียงเข้าครัวแทนได้อย่างไรเล่า”
ใต้เท้าถังยินดียิ่ง โบกมือให้ขุนนางผู้น้อยหลังร่างทีหนึ่ง
“เอามา” เขาเอ่ย
ขุนนางผู้น้อยสองคนรีบก้าวเข้ามาก้มศีรษะยกหีบขึ้น
ใต้เท้าน้อยหวงเหมือนประหลาดใจนัก
“มากปานนี้?” เขาเอ่ย แล้วส่ายศีรษะจิ๊ปาก “หนึ่งคนพูดเป็นการใส่ร้าย สองคนพูดเป็นการใส่ร้าย คนมากมายปานนี้พูด นั่นย่อมเป็นจริง…”
เขามองไปทางองครักษ์ด้านหลัง
“ขนเข้าไปเช่นนี้คงดูไม่ดี พวกเจ้าเก็บไว้ก่อน ข้าจะเปรยกับฝ่าบาทก่อน ให้ฝ่าบาทเห็นมากมายปานนี้ ใยไม่ทรงเสียพระทัย”
บรรดาองครักษ์ขานรับลงจากม้ารับหีบไป
หน้าดำๆ ของใต้เท้าถังในที่สุดก็เผยรอยยิ้ม เบี่ยงกายหลีกทางคำนับใต้เท้าน้อยหวง น้อมส่งเขาผ่านไปถึงเหยียดกายตั้งตรง
“ตาแก่หนังเหนียว ดูสิเจ้ายังทำอย่างไรได้” เขามองไปทางกรมที่เพิ่งเดินออกมา เอ่ยอย่างชิงชัง
…
เมื่อแสงตะวันบ่ายเอน คุณหนูจวินเดินมาถึงหน้าประตูตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง
“คุณหนูเป็นบ้านนี้หรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์หิ้วห่อกระดาษห่อหนึ่งเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินพยักหน้า
หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งดีใจก้าวเข้าไปตบประตู
ประตูขานรับเปิดออก ยามเฝ้าประตูผู้ใบหน้าเป็นมิตรคนหนึ่งมองข้ามมา
“แม่นาง ท่านมาหาใคร?” เขาเอ่ยถาม
“ข้ามามอบยา” หลิ่วเอ๋อร์ยกห่อกระดาษในมือเอ่ยขึ้น
ยามเฝ้าประตูอึ้งไป เคยได้ยินแต่มอบของขวัญ ไม่เคยได้ยินมอบยามาก่อน คนผู้นี้หาเรื่องถูกตีหรือไง จากนั้นมองเห็นคุณหนูจวินด้านหลังร่างหลิ่วเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เสียงดังปังประตูปิดลง
หลิ่วเอ๋อร์หวิดถูกกระแทกเข้าจมูก ร้องทันที
“เจ้าทำอะไร?” นางตะโกน “ยาที่ตระกูลพวกเจ้าซื้อ ไม่เอาแล้วเรอะ?”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ขอบคุณ พวกท่านรีบไปเถอะ” ด้านหลังประตูเสียงสั่นๆ ของยามเฝ้าประตูลอยมา
“เฮ้ ถ้าอย่างนั้นเงินพวกเราไม่คืนนะ” หลิ่วเอ๋อร์ตะโกนบอก
“ไม่ต้องคืน ไม่ต้องคืน” ยามเฝ้าประตูเอ่ยทันที
หลิ่วเอ๋อร์หมุนตัว แย้มรอยยิ้ม
“คุณหนูนี่ดีนัก ได้กำไรแล้ว” นางเอ่ย
ยามเฝ้าประตูคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ หวิดหน้าคว่ำบนประตู
สาวใช้คนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่ ได้กำไรอะไรเล่า ยังดีใจอีก รอไม่มีคนมารักษา พวกเจ้าก็ขาดทุนใหญ่แล้ว
……………………………………….
[1] สำนักฎีกา (知谏院) อีกชื่อหนึ่งของสำนักผู้ตรวจการ