บทที่ 417 หลับ
บทที่ 417 หลับ
“เสี่ยวเสวีย! เร็วเข้า!”
เซียวเฟิงขมวดคิ้ว แววตาของเขาแสดงให้เห็นความกังวลซึ่งเห็นได้ยากมาก และที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าตอนนี้เขากำลังท้าทายอยู่กับระบบป้องกันตนเองของเมืองจักรวรรดิในเขตฮันกึลอยู่!
แม้ว่าเมืองจักรวรรดิของเขตฮันกึลจะไม่ได้ใหญ่เท่าของเขตฮัวเซียก็จริง แต่ขนาดก็พอ ๆ กับเมืองแห่งความโศกเศร้าเลย!
และที่สำคัญมากกว่านั้น เขาไม่คิดเลยว่ากลไกป้องกันเมืองจักรวรรดินั้นจะน่าทึ่งเช่นนี้!
ในตอนนัั้นทั่วทั้งเมืองจักรวรรดิถูกปกคลุมไปด้วยวงเวทขนาดใหญ่ที่ประสานกันเป็นวงเดียวแล้ว ซึ่งมันนับว่าเป็นวงเวทคุ้มกันที่ใหญ่มาก ๆ
ถึงแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ แต่ด้วยการทำให้ค่าสถานะของผู้ที่โดนกักกันลดลงไปเป็นอย่างมาก แค่นั้นก็น่ากลัวมากพอแล้ว
ความรู้สึกของเซียวเฟิงที่โดนพลังของเขตคุ้มกันนั้นมันเหมือนกับตัวเองโดนแรงกดดันมหาศาลกดลงมารอบตัวราวกับกำลังจมน้ำ ค่าสถานะต่าง ๆ ของเขาลดลงมาถึง 50% เลยทีเดียว! เป็นอะไรที่น่าอึดอัดสุด ๆ
โชคยังดีที่เสี่ยวเสวียได้พัฒนาขึ้นมาถึงระดับเทพเจ้าแล้วจึงได้รับสกิลจิตวิญญาณศักดิ์ที่สามารถยกเลิกผลดีบัฟทุกอย่างมาด้วย ดังนั้นความเร็วของยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ตนนี้จึงไม่ได้ลดลงเลย ทำให้เสี่ยวเสวียยังสามารถเร่งความเร็วได้อีกเพื่อให้ออกจากเมืองจักรวรรดินี้
หลังจากที่ได้ยินเสียงคำสั่งของเซียวเฟิง ความเร็วของเสี่ยวเสวียก็เพิ่มขึ้นมาเต็ม ๆ และทำให้ไม่มีศรดอกไหนที่สามารถไล่ตามทั้งสองได้เลย
นอกจากนี้ ด้วยผลของสกิลกายาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังทำให้ผลของดีบัฟที่เกิดขึ้นลดลงอีกด้วย ทำให้ตัวเซียวเฟิงเองรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยขณะที่กำลังรีบออกจากเมืองจักรวรรดิไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมจู่ ๆ เมืองจักรวรรดิก็เปล่งแสงล่ะ?”
“ดูนั่น มีพวก NPC ยามวิ่งกันเต็มไปหมดเลย ภารกิจปิดล้อมหรือยังไงกัน?”
“ไม่ ๆ! ดูเหมือนยามพวกนี้จะกำลังไล่ล่าใครอยู่นะ เพราะพวกเขาวิ่งไปยังทางเดียวกันหมดเลย!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเมืองจักรวรรดิก็ทำให้เหล่าผู้เล่นฮันกึลเกิดความสนใจขึ้นมาด้วย พวกเขาต่างพากันประหลาดใจไปพร้อม ๆ กัน
“ดูบนฟ้านั่นสิ! นั่น! หน่วย NPC ที่อยู่ในราชวัง! อัศวินกริฟฟิน!”
ใครสักคนตะโกนขึ้นมาในจังหวะนั้น ซึ่งเหล่าผู้เล่นที่อยู่ละแวกนั้นต่างก็แหงนหน้ามองอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้จะเห็นเพียงเงาที่บินผ่านเมืองจักรวรรดิ แต่เพราะมีจำนวนมาก พวกเขาจึงรู้ได้ว่าคนเหล่านี้คือ NPC ระดับสูง! เป็นกองทหารพระราชวัง!
“รู้หรือเปล่าว่ายามพวกนั้นกำลังไล่ใครอยู่? ทำไมถึงต้องใช้อัศวินกริฟฟินเลย?”
ผู้เล่นมากมายต่างก็ให้ความสนใจกับสิ่งนี้มากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเมืองจักรวรรดิ ทำไม NPC ระดับสูงมากมายถึงได้พากันออกมาเช่นนี้!
“ฮึ่ม! ฉันจะคอยดูว่าแกจะหนีได้ถึงไหนเชียว! กล้ามากนะที่มาฆ่าพวกเราในเมืองจักรวรรดิน่ะ! ฉันจะรอดูวันที่แกโดนจับเข้าคุก! ในเขตฮันกึลน่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะสามารถออกไปได้หลังจากก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว! รีบ ๆ เข้าคุกไปได้แล้ว!”
มีเพียงซาตานและผู้เล่นจักรวรรดิกาลาดูที่เพิ่งเกิดใหม่เท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเหล่า NPC ระดับสูงเหล่านั้นถึงพากันนำทัพออกมา ซึ่งสิ่งนี้มันแอบทำให้เขาดีใจไม่น้อยเลยด้วย
“ไป! ไปรอที่หน้าประตูห้องขัง! ฉันล่ะอยากจะเห็น ไอคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียสักหน่อย! มันคงจะเป็นอะไรที่น่าสนุกแน่ ๆ ! จากนั้นเดี๋ยวจะถ่ายวีดีโอแล้วโพสต์ลงฟอรั่มด้วย ฮ่า ๆๆ”
ทว่า…สิ่งที่พวกเขารอกลับไม่ได้เกิดขึ้น
เพราะเซียวเฟิงสังเกตเห็นอัศวินกริฟฟินที่อยู่บริเวณกลางเมืองจักรวรรดิมาก่อนแล้ว ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าเมืองจักรวรรดิจะมีกลุ่ม NPC ที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่บนฟากฟ้าด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอัศวินกริฟฟินเหล่านี้เลเวลเท่าไหร่ แต่เขาก็เชื่อว่าพลังในการต่อสู้ของ NPC กลุ่มนี้ต้องเกินคาดมากแน่ ๆ
น่าเสียดายที่ความเร็วของกริฟฟินนั้นไม่สามารถเทียบเท่าเสี่ยวเสวียได้ ดังนั้นลืมเรื่องจับตัวเซียวเฟิงไปได้เลย ขนาดจะจับหางเสี่ยวเสวียยังไม่ทัน เพราะงั้นแล้วการออกจากเมืองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก
ความเร็วที่เสี่ยวเสวียทำได้นั้นมันเร็วมากจนสามารถออกจากเมืองจักรวรรดิได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เซียวเฟิงสามารถหนีออกมาได้ ไม่งั้นแล้วละก็ ด้วยกลไกป้องกันของเมืองจักรวรรดิ เขาไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีบอสระดับสูงตนไหนถูกส่งออกมาอีก และถ้ามันถึงขั้นนั้น เขาได้ตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ แน่
แต่ถึงแม้จะออกจากเมืองจักรวรรดิได้แล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัย เพราะในตอนนี้ชื่อของเขามันกลายเป็นสิ่งที่ NPC ยามพูดถึงและประกาศตามหาตัวไปทั่วทุกเมืองหลักแล้ว ดังนั้นตอนนี้สถานการณ์ของเซียวเฟิงในเขตฮันกึลนั้นจึงถือว่าเข้าขั้นวิกฤตไม่น้อยเลย
บทสรุปของความห้าวหาญเมื่อครู่นี้ ทำให้เซียวเฟิงไม่สามารถย่างกรายเข้าใกล้เมืองหลักเมืองใดได้ในเขตฮันกึลจนกว่าชื่อสีแดงของตัวเองจะถูกชำระล้างไป
ส่วนปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็เห็นจะเป็นการที่อันดับในสนามประลองของตัวเองยังไม่ถึงอันดับที่ 5 เนี่ยสิ ตอนนี้มันเหลือเพียงวันเดียวเท่านั้นก่อนที่อีเวนต์การแข่งขันของผู้เล่นจะมาถึง คุณสมบัติที่สามารถเข้าร่วมได้ก็ยังไม่มี แถมตอนนี้ยังมาติดชื่อแดงอีก แค่จะย่างกรายเข้าไปใกล้เมืองจักรวรรดิยังทำไม่ได้ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงเข้าลานประลองเลย!
ชักจะเป็นปัญหาตึงมือขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิ!
เซียวเฟิงแหงนหน้ามองชื่อสีแดงของตน เขาเคยมีสภาพเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ จากความเข้มของสีแดงนี้ มันน่าจะอีกราว ๆ 30 ชั่วโมงเลยกว่าชื่อจะกลับเป็นสีขาวดังเดิม และแน่นอนว่า 30 ชั่วโมงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะรอได้แน่ ๆ เพราะนั่นมันจะบรรจบกับอีเวนต์ที่จะเริ่มพอดี
เพราะแบบนี้เซียวเฟิงจึงขมวดคิ้วแน่น ณ เวลานี้ชายหนุ่มก็คิดหาวิธีอื่นไม่ออกเลยนอกจากกลับไปยังหุบเขาอาทิตย์อัสดงก่อน เซียวเฟิงตั้งใจจะยืมพลังของวิหารแห่งแสงที่หุบเขาอาทิตย์อัสดงนั้น หลัก ๆ เขาอยากจะขอให้บิชอปโจลีฟช่วยมอบภารกิจสำหรับชำระบาปให้เขาเอง เพราะตามปกติแล้ววิหารแห่งแสงจะมีระบบนี้อยู่
ในเมื่อเขาไม่สามารถเข้าใกล้เมืองจักรวรรดิได้ คัมภีร์เมืองก็คงจะไม่ควรใช้ไปด้วย เขาต้องพึ่งเพียงการเดินทางด้วยตนเองเท่านั้น เซียวเฟิงหันไปดูแผนที่ของระบบที่เปล่งแสงขึ้นมา โชคดีที่เขตฮันกึลนั้นไม่ได้ใหญ่มาก เพราะงั้นจึงสามารถมาถึงหุบเขาอาทิตย์อัสดงได้ในเวลา 1 ชั่วโมง
จากนั้นเซียวเฟิงก็ครุ่นคิดว่าเขาควรจะรอจนกระทั่งถึงที่หมายแล้วค่อยล็อกออฟ หรือจะล็อกออฟตั้งแต่อยู่บนหลังเสี่ยวเสวียเลย ปล่อยให้เสี่ยวเสวียไปยังที่หมายกับตัวละครของเขาด้วยตนเอง
เรื่องความปลอดภัยนั้นชายหนุ่มไม่ได้กังวลแล้วในตอนนี้ เพราะขนาด NPC ของเมืองจักรวรรดิยังตามจับตัวเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะมีใครสามารถตามตัวได้ทันในตอนนี้แล้ว
ดังนั้น หลังจากมองไปยังเวลา เซียวเฟิงก็ตัดสินใจที่จะล็อกออฟเพื่อไปพักผ่อนและตั้งนาฬิกาปลุกไว้ให้ปลุกตัวเองขึ้นมาในอีก 5 ชั่วโมงข้างหน้า การที่เขาจมปลักอยู่ในสนามประลองถึงสองวันเต็มก่อนหน้านั้นมันทำให้สภาพจิตใจของตัวเองค่อนข้างเหนื่อยล้ามากเลย ดังนั้นในเมื่อมีเวลาการพักสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร
ภาพในหัวดำมืดลง เขาถอดหมวกเล่นเกมออกและลืมตาขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว กระนั้นเซียวเฟิงก็รับรู้ได้ถึงใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียงเขา แน่นอนว่าร่างนั้นเป็นของผู้หญิง
ที่ด้านนอกคฤหาสน์ยอดเขานี้ไร้ซึ่งแสงไฟใด ๆ มันเลยทำให้ภายในห้องนี้พลอยมืดสนิทไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเซียวเฟิงก็ยังพอจะมองเห็นเงาราง ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ดูจากโครงร่างที่เข้ารูปเข้าทรง ไม่ว่าจะส่วนเว้าหรือโค้งนูนของหน้าอก เซียวเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือจืออี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะยื่นมือไปสัมผัสเธอเบา ๆ เพื่อยืนยันว่าใช่เธอจริง ๆ
จืออี้นอนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิงด้วยหมอนใบเดียวกันและกำลังสวมหมวกเล่นเกมอยู่ แสงไฟจากหมวกนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังออนไลน์
เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ เขาขี้เกียจจะพูดแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตนก็บอกอยู่เสมอว่าอย่าเข้ามาในห้อง แต่พวกเธอก็ไม่ยอมฟัง ดังนั้นคราวนี้เขาจึงไม่พูดอะไรกับการกระทำของเธอแล้วเลือกที่จะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินเข้าห้องน้ำไปแทน
“ทำไมถึงออฟไลน์ล่ะ?”
ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่อาบน้ำเย็น ๆ เสร็จแล้ว จืออี้เองก็ออฟไลน์ด้วยเช่นกัน แสงในห้องได้ถูกเปิดขึ้น ทำให้ห้องที่มืดสนิทนั้นสว่างไสวขึ้นมาทันที เธอถอดหมวกเล่นเกมออกแล้ววางไว้ที่ข้างเตียงก่อนจะขยับเรือนร่างที่เย้ายวนดุจปีศาจร้ายที่คอยล่อลวงหนุ่ม ๆ ของเธอให้ตะแคงข้างมามองเซียวเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอ ทำไมเธอถึงเข้ามาในห้องฉันอีกแล้ว?”
เขาถามออกไปขณะเช็ดผมด้วยผ้าเช็ดตัวพร้อมกับที่เดินกลับไปยังเตียงด้วย เซียวเฟิงเดาว่าคงเป็นเพราะเขาสัมผัสตัวเธอเมื่อครู่นี้แน่ ๆ ระบบเลยแจ้งเตือน เธอจึงออฟไลน์ออกมา
ขณะที่ผู้เล่นกำลังออนไลน์ ร่างกายจะถูกตัดขาดออกจากการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ณ โลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอากาศหนาวหรืออากาศร้อนด้วยเช่นกัน เว้นเสียแต่คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีสัมผัสไวเป็นพิเศษอย่างเซียวเฟิง
ถึงแม้ว่าจืออี้จะเข้ามาในห้องเซียวเฟิง แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดเสียงหรือสิ่งอื่นใด รวมไปถึงไม่ได้แตะโดนตัวเซียวเฟิงเลย ดังนั้นร่างกายของเซียวเฟิงจึงไม่รับรู้ถึงการบุกเข้ามาในห้องของสาวเจ้า
ในกรณีที่จะปกป้องร่างกายของผู้เล่นขณะที่ออนไลน์ ตัวหมวกเล่นเกมจะมีระบบรับรู้เป็นของตนเอง ซึ่งมันใช้ทำหน้าที่แทนระบบรับรู้ของร่างกายที่ถูกตัดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิด้านนอกหรือการที่ร่างกายของผู้เล่นเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว มันจะแจ้งเตือนให้ผู้เล่นทราบทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อร่างกายได้รับการกระทบจากสิ่งอื่น และผู้เล่นคนนั้นเป็นผู้หญิง ระบบจะบังคับให้ออฟไลน์ในทันที เนื่องจากเมื่อครู่นี้เซียวเฟิงเผลอไปสัมผัสเข้ากับหน้าอกของจืออี้ตอนจะคลำร่างเพื่อเช็กให้มั่นใจ เพราะงั้นเขาจึงเดาได้ไม่ยากว่าทำไมเธอถึงออฟไลน์ หากยังเป็นในโลกของเกม การที่เขาทำแบบนี้ จะถือเป็นหนึ่งในการคุกคาม ซึ่งจืออี้สามารถสั่งให้ระบบลงโทษเซียวเฟิงด้วยสายฟ้าฟาดได้เลย
“มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ เพราะเมื่อมื้อเย็นนายไม่ได้ลงไปกินข้าว ฉันก็รอแล้วรออีกรอจนกระทั่งขึ้นมาเห็นว่ากลายเป็นเด็กติดเกมไปแล้วนั่นแหละ”
จืออี้บุ้ยปาก เธอรอเซียวเฟิงจริง ๆ รอเขาจนเหมือนว่าเธอติดเขามากกว่าติดเกมเสียอีก
“เข้าเรื่องที่ว่านั่นเลย” ที่จืออี้พูดมามันก็จริง เขาไม่ได้ออฟไลน์เมื่อตอนเย็นเพราะต้องการจะจัดการเรื่องการประลองให้เรียบร้อยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน
“ฉันจะย้ายไปกิลด์มิดซัมเมอร์แต่ก็ยังทำงานอยู่กับวอร์สปิริตฮอลล์ด้วย”
จืออี้ยิ้ม ความงามธรรมชาติบนใบหน้าของเธอนั้นไม่ว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาก็ล้วนแต่มีเสน่ห์ที่เย้ายวนผู้ที่เหลียวมองได้เสมอ
“เรื่องนี้เธอควรไปบอกหลิวเฉียงเหว่ยนะ” เซียวเฟิงดูจะประหลาดใจนิดหน่อย
“เธอยินยอมแล้ว เพราะงั้นฉันเลยมาถามความคิดเห็นของนาย” หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะยืดเส้นยืดสายเผยให้เห็นสัดส่วนที่น่าหลงใหล
“หือ? เธอคนนั้นยอมด้วยเหรอ? ความสัมพันธ์ของพวกเธอพัฒนาขึ้นขนาดนั้นเชียว? ไม่สิ ก่อนหน้านี้พวกเธอก็เพิ่งโดนเซียวหลิงขังไว้ในห้องน้ำด้วยกันไม่ใช่หรือไง? หรือไม่เจอกัน?”
เซียวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินเช่นนั้น เขาดูประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิมขณะมองไปยังจืออี้
“ก็เจอกันแหละ แต่พวกเราสองคนก็เข้าใจกันได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรนะ ตอนนั้นพวกฉันพูดอะไรไม่ได้เพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะได้ยิน แต่หลังจากตอนนั้นก็ได้คุยนู่นคุยนี่กันบ้างแล้ว”
จืออี้พยักหน้าอีกครั้ง แววตาที่งดงามเหมือนบรรยากาศยามฤดูใบไม้ร่วงดูราวกับว่ากำลังซ่อนอะไรไว้อยู่
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ดี” เซียวเฟิงคลำผมตนเอง เมื่อเห็นว่ามันแห้งแล้วเขาก็โยนผ้าเช็ดตัวไปไว้ข้าง ๆ
“แล้วสรุปว่านายคิดยังไง?” ร่างที่เย้ายวนนั้นเอียงลงนอนข้าง ๆ เซียวเฟิงอีกครั้ง
“คิดอะไร?” ระหว่างที่กำลังเอนตัวลงไปนอนบนเตียง เซียวเฟิงก็ถามกลับไปด้วย
“ก็ที่ฉันจะไปอยู่กับมิดซัมเมอร์ไง” ทันทีที่ร่างของเซียวเฟิงลงมานอน จืออี้ก็เหมือนจะกลายร่างเป็นงูที่เลื้อยเข้าไปโอบรัดร่างของเขาไว้ กลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้มันหอมตลบอบอวล ความน่าลุ่มหลงและความอ่อนโยนที่แสดงออกผ่านแววตานั้นราวกับกำลังพยายามละลายเซียวเฟิงอยู่เสียอย่างนั้น
“ฉันไม่มีปัญหา เธอจะทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข” เซียวเฟิงส่ายหน้าแล้วค่อย ๆ สอดแขนเข้าไปโอบรอบเอวบางของสาวเจ้า ซึ่งมันทำให้จืออี้รู้สึกชื่นชอบไม่น้อยเลย
“ถ้างั้นแล้ว…ตอนนี้พวกเรากำลังจะทำอะไรบางอย่างกันหรือเปล่า?”
ร่างกายที่นุ่มนิ่มของจืออี้ขยับเข้าชิดใกล้เซียวเฟิงให้มากขึ้น เธอลูบตามแขนของเขาก่อนจะถามขณะที่มือของเธอกำลังลูบใบหน้าเขาไปด้วย แววตาที่ชวนหลงใหลนั้นตอนนี้ราวกับกำลังร่ายคาถาให้คล้อยตามไปด้วย
“เธอมาคนเดียวเหรอ?” เขาลังเล
“สามคนนั้นยังอยู่อีกห้องหนึ่งอยู่ พวกเธอนอนเป็นผักบนเตียงกันมาสองวันแล้ว ฉันคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะกลับมาปกติ เพราะงั้นถ้าท่านเซียวไม่หนำใจก็ค่อยไปหาพวกเธอต่อก็ยังได้” จืออี้คลี่ยิ้มที่ดูชั่วร้ายเล็กน้อยออกมา
“พอเลย ฉันก็แค่สั่งสอนพวกนั้นเฉย ๆ กลับไปนอนได้แล้ว” เซียวเฟิงส่ายหน้าและชักมือกลับมาจากการโอบเอวจืออี้ จากนั้นเขาก็หลับตาลง เพียงไม่นานเสียงกรนก็ดังออกมา
จืออี้ที่ถูกทิ้งให้บุ้ยปากอย่างไร้การเหลียวมองทำได้เพียงนอนลงบนหมอนแล้วมองใบหน้าเซียวเฟิงที่กำลังหลับเท่านั้น