ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 367 ทำงานแล้ว

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่อึ้งไปในทันที

กลอนสองประโยคนี้เขาคุ้นเคยสุดๆ

‘กวีหลีเซา’ ของชวีหยวนผู้ยิ่งใหญ่ ยาวจนไม่อาจยาวกว่านี้ มีอักษรที่พบไม่บ่อยเยอะแยะไปหมด โดนครูสอนภาษาในชั้นเรียนคอยจับตามอง ท่องจนสมองแทบจะไหล หากท่องหลีเซาทั้งบทได้ก็เป็นปีศาจชัดๆ

และประโยคที่ว่า ‘หนทางข้างหน้าเนิ่นนานและยาวไกล ข้าจะไล่ตามไปทุกหนแห่ง’ กลายเป็นประโยคอมตะที่ใครๆ ก็รู้จัก ใช้บรรยายสภาพจิตใจที่กระตือรือร้นมุ่งมั่นไปข้างหน้า ถ้าใช้คำของครูสอนภาษาจีนหลี่มู่มาพูดก็คือ ใช้วิธีที่ถูกต้องค้นหาหนทางแก้ไขปัญหาโดยไม่พลาดโอกาสไป

กลอนบทนี้มีชื่อมากนัก

มีหลายครั้งที่พวกฮิปสเตอร์เอามาใช้เป็นคติประจำใจ

หลี่มู่ก็ชอบมากเช่นกัน

แต่ทำไมมันถึงมาปรากฏอยู่บนแท่นบูชาศิลาดำเก้าชั้นของสำนักขุนคีรีได้?

หลี่มู่ขบคิดชั่วครู่ แล้วก็นึกคำพูดของรัชทายาทบนเรือวาฬทะยานฟ้าขึ้นได้ เหมือนจะพูดประโยคหนึ่งว่าสำนักขุนคีรีคือพรรคพวกที่หลงเหลือของต้าเยวี่ย จากนั้นนึกถึงคำของรัชทายาทต้าเยวี่ยงอวี๋ฮว่าหลง ถ้าเชื่อมประโยคก่อนหลังละก็…

แม่เจ้า หลี่มู่แทบกระโดดโหยง

หรือท่านชวีหยวนผู้ยิ่งใหญ่ผู้สถาปนาบทกวีแบบโรแมนติกของประเทศจีนจะเป็นผู้ก่อตั้งสำนักขุนคีรี?

หลี่มู่อึ้งตะลึงไปทันที

ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ชวีหยวนกระโดดแม่น้ำมี่หลัวฆ่าตัวตายเพราะแคว้นฉู่ถูกตีแตก ภายหลังมีตำนานเล่าว่าชวีหยวนได้กลายเป็นเทพแม่น้ำ และพัฒนามาเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ผู้คนต่างโยนบ๊ะจ่างลงในแม่น้ำเพื่อให้อาหารปลา เพื่อที่ปลาจะได้ไม่ไปกินร่างของชวีหยวน…อืม สรุปแล้วจากตำนานต่างๆ ดูจากทุกด้านแล้ว ชวีหยวนตรงกับปรัชญาเมธีจากโลกพวกนั้นที่อวี๋ฮว่าหลงว่ามา

ในเมื่อชนรุ่นหลังก็เรียกชวีหยวนว่า ‘ชวีจื่อ’

ไม่ถูก นี่ก็ไม่ถูกต้อง

ไม่นานหลี่มู่ก็ตระหนักได้ถึงช่องโหว่ในตรรกะความคิดของตัวเอง

เพราะขอแค่เป็นคนรุ่นหลังยุคของชวีหยวน ก็สามารถเขียนกลอนบทนี้ออกมาได้กันทั้งนั้น

ในเมื่อกลอนสองประโยคนี้มีชื่อมาก

แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นั่นก็คือสำนักขุนคีรีเป็น ‘พรรคพวกที่หลงเหลือราชวงศ์ต้าเยวี่ย’ เป็นสำนักที่ปรัชญาเมธีของจีนยุคโบราณก่อตั้งขึ้นจริงๆ

นอกจากกลอนสองประโยคนี้แล้ว ยังมี ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ที่เหนือกว่าระดับค่ายกลวิชาเวทของโลกนี้ไปไกลนี่อีก สิ่งเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ได้

หลี่มู่นั่งอยู่ที่เดิม เริ่มขบคิดปัญหาพวกนี้

รัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงพูดว่า ปรัชญาเมธีของโลกเปิดเส้นทางเซียนสายนี้ คนรุ่นหลังอย่างหลี่ไป๋ผู้เป็นอาจารย์ของเขาก็ค้นหาเส้นทางนี้แล้วก้าวออกมาจากโลก ก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่ได้ขบคิดปัญหานี้ให้ละเอียด แต่เมื่อครู่เขาพลันตระหนักได้ว่าหากมีเส้นทางสายนี้อยู่จริงๆ เช่นนั้นตนเองก็เดินทางย้อนกลับไปยังโลกได้ใช่หรือไม่?

ความคิดนี้ฉายวาบขึ้นในหัวของหลี่มู่ราวสายฟ้าฟาด ทำให้เขาอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

ก่อนหน้านี้ความคิดของเขาคือขอแค่บรรลุขั้นเทวะ ก้าวข้ามขั้นทะลวงสวรรค์ ก็จะก้าวออกไปจากห้วงดาราสมุทรได้ จากนั้นค่อยหาทางกลับโลกไป แต่วิธีนี้ก็มีความไม่แน่นอนอยู่เล็กน้อย…ต่อให้ทะลวงสวรรค์ได้ แต่หากหลงอยู่ในห้วงดวงดาวขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร?

นั่นเป็นจักรวาลผืนฟ้าดวงดาวอันไร้จุดสิ้นสุดเชียวนะ ไม่มีรถประจำทาง หากหลงขึ้นมาจริงๆ คงออกมาไม่ได้ตลอดชีวิต

“หลังจากถึงขั้นทะลวงสวรรค์ก็จะออกไปจากดาวดวงนี้ได้ แต่หากจะกลับโลกก็ต้องหาเส้นทางเซียนที่อวี๋ฮว่าหลงว่ามาให้เจอแล้วเดินย้อนกลับไป ถึงจะกลับโลกได้จริงๆ นี่เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด”

หลี่มู่กระจ่างแจ้งแล้ว

แต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ก็จะต้องช่วยรัชทายาทแห่งต้าเยวี่นอวี๋ฮว่าหลง

อันที่จริง ใจของหลี่มู่เอนไปทางราชวงศ์ต้าเยวี่ยนานแล้ว

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นราชวงศ์ที่ปรัชญาเมธีจีนโบราณบนโลกมนุษย์สร้างขึ้นทีเดียว

และปรัชญาเมธีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ลูกหลานพระเจ้าเหยียนและพระเจ้าหวงต่างนับถือเลื่อมใส คุณูปการและอิทธิพลที่สร้างให้กับชนรุ่นหลังนั้นไม่มีอะไรเปรียบได้ หลี่มู่ในฐานะที่เป็นชนรุ่นหลังจะไม่เกิดความรู้สึกเลื่อมใสพวกเขาได้อย่างไร

ในหนังสือวิชาภาษาจีนตอนมัธยมต้นบอกทุกอย่างเอาไว้ชัดเจนแล้ว

นี่คือแหล่งที่มาของรากฐานต้นกำเนิด

อย่างไรเสียหลี่มู่ก็เป็นเด็กดีที่ยึดหลักห้าสำคัญสี่งดงาม

อีกทั้งก็เหมือนที่รัชทายาทของต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงพูดเอาไว้ ราชวงศ์ต้าเยวี่ยคือจุดเชื่อมต่อบนเส้นทางเซียนแห่งการกอบกู้ที่เหล่าปรัชญาเมธียุคโบราณเบิกทางเอาไว้ เมื่อราชวงศ์ต้าเยวี่ยคงอยู่ เส้นทางเซียนจะมีอยู่ เส้นทางเซียนก็จะสมบูรณ์แบบ ปกป้องเส้นทางเซียน เท่ากับรักษาความหวังของโลก

ก่อนหน้านี้ที่หลี่มู่ไม่รับปากอวี๋ฮว่าหลงเพียงเพราะได้รับอิทธิพลจากซินแสเฒ่ามา ไม่สนใจเรื่องฆ่าฟันชิงอำนาจของราชวงศ์พวกนี้แม้แต่น้อยจริงๆ แต่ในความเป็นจริง คำสัญญาที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนจากก็บ่งบอกแล้วว่าในจิตสำนึกของเขาเลือกเรียบร้อย

ระหว่างที่ขบคิด…

ครืนน

จู่ๆ รอบๆ ก็สั่นไหว

หลี่มู่ตื่นจากห้วงความคิด

ค่ายกลใกล้จะทานไม่ไหวแล้วเต็มที

ร่างของเขากะพริบวูบ กลายเป็นแสงดาบสายหนึ่งพุ่งขึ้นไป

……

ด้านนอก

“ฮ่าๆ เยี่ยมมาก ค่ายกลมีรอยแตก ใกล้พังทลายแล้ว”

บนเรือวาฬทะยานฟ้า เหยียนหรูอวิ๋นผู้บังคับบัญชากองกำลังเหยี่ยวถลาลมในกองทหารรักษาวังที่อาการบาดเจ็บฟื้นฟูกว่าครึ่งแล้วดีใจเป็นล้นพ้น

ด้านล่าง เกราะคุ้มกัน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ บริเวณฝั่งตะวันออกของสำนักขุนคีรีถูกทำลายเป็นรูขนาดห้าหกจั้ง เหมือนกำแพงเมืองถูกทำลาย ร่างของทหารกองกำลังรักษาวังบุกเข้าไปผ่านรูโหว่นี้ราวกับสายน้ำไหลบ่า

เขื่อนพันลี้พังทลายเพราะรังมด

และรูโหว่นี้ก็คือรังมด

รัชทายาทฉินตะวันตกปรบมือพลางแย้มยิ้ม “สำนักขุนคีรีใกล้จะย่อยยับแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้เอาหัวของลูกศิษย์สำนักขุนคีรีมารับรางวัลได้ หัวของศิษย์ธรรมดาได้หนึ่งร้อยตำลึงทอง ศิษย์คนสำคัญให้เพิ่มอีกหนึ่งเท่า ยอดฝีมือกับผู้อาวุโสทบเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง หากมีคนสังหารสวีเยวี่ยเจ้าสำนักขุนคีรีและสวีเซิ่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักได้จะเลื่อนตำแหน่งให้สามขั้น ตบรางวัลหนึ่งหมื่นตำลึงทอง ให้ทรัพยากรฝึกฝนและตำราลับไม่จำกัด”

คนทั้งหลายบนเรือวาฬทะยานฟ้าลิงโลดกันถ้วนหน้า

ก้งเฟิ่งของราชวงศ์บางส่วนและหัวหน้ากองทหารรักษาวังต่างพากันเสนอตัว

นี่คือเวลาที่จะได้สร้างความดีความชอบอย่างง่ายๆ เลยนี่นา

ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงลั่นครืนคราน แผ่นดินด้านล่างสั่นไหวขึ้นมาช้าๆ เสมือนเทพศักดิ์สิทธิ์อะไรที่จำศีลอยู่ข้างใต้กำลังฟื้นตื่นขึ้นทีละนิด

รัชทายาทกับเหยียนหรูอวิ๋นเปลี่ยนสีหน้า รู้สึกว่าประหลาดนัก

‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างมีใจแต่ไร้แรงลืมตาขึ้นในฉับพลัน ประกายเย็นเยียบวาววาบ เขาลุกขึ้นเดินไปยังหัวเรือ ก่อนจะก้มลงมองข้างล่าง

หนึ่งสาย สองสาย สามสาย…

แสงดาวถี่ยิบแต่ละสายพลันพุ่งขึ้นมาจากใต้ผืนดินรอบๆ ยอดเขาหลักสำนักขุนคีรี

แสงดาวเลือนรางระยิบระยับ แผ่กระจายมาในพริบตา หมุนวนออกมาจากรอบยอดเขาหลัก กว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเลควัน

จากนั้นเห็น ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ที่แต่เดิมหมองหม่นโดนโจมตีเป็นรูโหว่ คล้ายจะสลายไปได้ทุกเวลา เมื่อถูกแสงดาวหมุนวนนี้สาดส่องก็พลันปะทุพลังลึกลับอย่างหนึ่ง สีสันสดใสขึ้นทันที รอยโหว่นั้นผสานกันจนไร้ร่องรอยในเสี้ยวพริบตา แสงดาวระยิบระยับพร่างพราว ประหนึ่งครอบเอาดาวทั้งจักรวาลลงมาไว้เหนือยอดเขาหลักสำนักขุนคีรีแห่งนี้

กองทหารรักษาวังและผู้แข็งแกร่งจากฝั่งต่างๆ ด้านนอก พวกที่พุ่งไปเร็วที่สุดต่างกระแทกเข้ากับเกราะแสงค่ายกล และถูกพลังประหลาดสะเทือนจนร่างแหลกกลายเป็นธุลี

ส่วนบนท้องฟ้าสูง จอมเวทและยอดยุทธ์ที่ระเบิดการโจมตี เสาแสง พลังงาน อาวุธ และพลังที่ส่งออกมาก็ถูกเกราะป้องกันแสงดาราสะท้อนกลับไป โจมตีร่างของพวกเขาจนแหลก

หยาดเลือดแต่ละกลุ่มสาดกระเซ็นบนฟ้า ประดุจดอกไม้ไฟที่ทั้งระยิบระยับพร่างพราวแต่ก็เหี้ยมโหด

‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ทำงานแล้ว

บนเรือวาฬทะยานฟ้า ภายใต้สายตาที่อึ้งตะลึงทั้งหมด ในชั่วเวลานี้เหมือนเห็นมังกรยักษ์ตัวหนึ่งตื่นขึ้นช้าๆ กำลังสำแดงเขี้ยวเล็บอันเหี้ยมโหดและคมกริบไปทางผู้บุกรุกที่รบกวนนิทรารมณ์ของมัน

รัชทายาทฉินตะวันตกสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หัวสมองขาวโพลน ถึงกระทั่งลืมออกคำสั่งหยุดโจมตี

เหยียนหรูอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงงันไปเช่นกัน

ดวงตาขาวซีดเหมือนปลาตายของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิง ในที่สุดก็ฉายแววเหลือเชื่อให้เห็น

“นี่…เป็นไปไม่ได้ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ทำงานแล้ว? เป็นไปไม่ได้ มันหยุดทำงานไปหลายปีแล้วชัดๆ ทำไม…ฟื้นคืนได้ถึงระดับนี้ หรือว่า…คนคนนั้นกลับมาแล้ว?” ความหวาดกลัวซึ่งยากจะควบคุมเอ่อล้นขึ้นในใจของเขา

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวพันปีก่อนผุดขึ้นในหัวเขาอย่างควบคุมไม่ได้

เงาร่างที่สังหารเทพล้างผลาญมารเหล่านั้นสลักความหวาดกลัวเอาไว้ในส่วนลึกของวิญญาณเขา

เขาไม่อาจจะเชื่อได้

คนคนนั้นและคนพวกนั้นจากไปแล้ว ไม่มีทางกลับมาได้อีก

ทำไมค่ายกลที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ถึงกลับมาทำงานได้?

‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงกัดฟันกรอด ความหวาดกลัวในใจทำให้เขาแทบจะหันหลังหนีไป

เขาไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนคนนั้นเลย

ใต้ฟ้าผืนนี้ เขาที่สังหารชีวิตไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ก็มีคนที่ตนกริ่งเกรงเช่นกัน

“ถอยทัพ ถอยทัพ รีบส่งสัญญาณถอยทัพเร็ว” รัชทายาทที่ตั้งสติกลับมาได้รีบออกคำสั่งในที่สุด

‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ที่ฟื้นคืนสภาพไม่ใช่แค่ค่ายกลป้องกันอีกต่อไป แต่มีพลังสังหารควบคู่ด้วย ไม่กี่อึดใจกองทหารรักษาวังก็สูญเสียสาหัส ทหารที่พุ่งเข้าไปตามรูโหว่พวกนั้นแน่นอนว่าตายไร้ที่ฝัง และการล่าช้าเพียงเล็กน้อยนี้ก็ทำให้สูญเสียไปอีกสามพันนาย ในนั้นรวมไปถึงจอมเวทและผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศหลายร้อยคน

“อิ้งซานกงกง นี่…” รัชทายาทหันไปขอความช่วยเหลือจาก ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าย่ำแย่

และ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงตอนนี้ ในที่สุดก็ควบคุมความหวาดกลัวในใจของตัวเองได้ ค่อยๆ ใจเย็นลงแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่เห็นอะไรมานักต่อนัก ความรู้กว้างขวาง ไม่นานก็มองออกว่าไม่ใช่คนคนนั้นกลับมาอย่างที่เขากังวล แต่เป็น…ค่ายกลที่แต่เดิมหยุดทำงานไปแล้วกลับมาทำงานอีกครั้งจากการซ่อมแซมแก้ไขใหม่

เป็นใคร?

ในความคิดของอิ้งซานเสวี่ยอิงมีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมา

หลี่มู่

จะต้องเป็นเขาแน่

เพราะก่อนหน้านี้เจ้าแมลงตัวเล็กจ้อยนี่ใช้วิชาตราหยกกระตุ้นพลังแฝงของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ต้านทานการโจมตีของตนเอาไว้ได้ 

นี่เป็นการบอกชัดว่าเด็กหนุ่มรู้จักค่ายกลนี้

ตัวแปรหรือ

อิ้งซานเสวี่ยอิงถอนหายใจอยู่ข้างใน รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่นิดๆ

แต่เดิมเขาคำนวณเอาไว้แล้วว่าค่ายกลนี้จะต้องพังแน่ ดังนั้นจึงไม่ยอมสิ้นเปลืองปราณแท้ของตัวเองไปทำลาย แต่ใช้ชีวิตคนเข้าไปจัดการแทน คิดจะลดกำลังของค่ายกลลง สุดท้ายก็จะพังทลายไปเอง ใครจะรู้ว่าทำแบบนี้กลับเพิ่มเวลาให้สำนักขุนคีรีและหลี่มู่ ทำให้พวกเขากระตุ้นค่ายกลที่หยุดทำงานไปแล้วจนกลับมาทำงานใหม่ได้

เดินหมากพลาดเพียงเม็ดเดียวล้มทั้งกระดาน

หลี่มู่เจ้าเด็กนี่เป็นตัวพลิกสถานการณ์ เกรงว่าจะประเมินต่ำไปไม่ได้แล้ว จะต้องหาวิธีกำจัดเสีย 

“หลี่มู่ ออกมาตอบคำถามเดี๋ยวนี้” อิ้งซานเสวี่ยอิงยืนอยู่บนหัวเรือเรือวาฬทะยานฟ้า เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

……………………………………………………