ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินมีอายุประมาณ 17-18 ปี ร่างสูงหลังเหยียดตรง ใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดหยกสีขาว
มองดูแล้วราวกับเป็นคนประเภทเหลาะแหละ หว่างคิ้วดูหม่นหมอง
“เฮ้ๆ ! คุณชายท่านนี้มิใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิเราหรอกหรือ คุณชายใหญ่จี้ ?”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินกำลังโบกพัดในมือและมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเย้ยหยัน
“คุณชายจี้ คนอย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ ? ปรมาจารย์เสวี่ยก็ยังไม่อยากพบเจ้าให้เสียเวลา ! เหอะ เหอะ ปรับแต่งกายาขั้นที่สาม แม้แต่ทาสในตระกูลข้าเจ้าก็ยังไม่คู่ควร ฮ่าๆๆ…”
ใบหน้าของจี้เทียนซิงดำทะมึน ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องไปที่อีกฝ่ายจากเย็นชาและตะโกนออกมาว่า “กู่เฮา ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้าพูดจาต่อหน้าข้าเช่นนี้ ?! บทเรียนที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อปีที่แล้วลืมไปแล้วหรือไม่ ?”
กู่เฮาเป็นคุณชายสามของตระกูลกู่ มีพลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ห้าและเป็นคุณชายที่มีชื่อเสียงในเมืองจักรวรรดิไม่น้อย
ถึงแม้ว่าพลังของตระกูลกู่จะไม่เทียบเท่าตระกูลจี้ แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองและเป็นตระกูลชนชั้นสูง
เมื่อปีที่แล้ว กู่เฮาหลงใหลในความงามของฮวนเอ๋อจึงเกี้ยวพาราสีนางกลางถนน จี้เทียนซิงที่รู้เรื่องก็รีบไปหากู่เฮาที่กำลังดื่มอยู่ในหอนางโลมและลงมือกับอีกฝ่ายจนต้องนอนรักษาตัวอยู่บ้านเป็นเวลาสามเดือน
เหตุการณ์นี้เป็นที่โจษจันและกลายเป็นเรื่องขำขันหลังอาหารของผู้คนในเมืองอยู่นาน
แต่กู่เฮาก็ทำได้เพียงก้มหัวรับความอัปยศและไม่กล้าคิดแก้แค้นจี้เทียนซิง เขาทำได้เพียงอดทนจนกระทั่งถึงวันนี้ !
เมื่อตอนนี้ได้ยินจี้เทียนซิงขุดเรื่องในอดีตที่เจ็บช้ำออกมาพูด กู่เฮาก็หน้าบูดบึ้งและดูเกรี้ยวกราด เขาคำรามออกมาว่า “จี้เทียนซิง ! เจ้าลูกหมาพิการ ! เมื่อปีที่แล้วข้าแค่หยอกสาวใช้ของเจ้า เจ้าหักซี่โครง หักขาข้า คุณชายผู้นี้ยังจำได้ไม่ลืม !”
ในขณะที่พูดเขาก็เดินเข้าหาฮวนเอ๋อพร้อมทั้งแสยะยิ้ม
“วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยนางไปแน่ ! ข้าจะย่ำยีนางต่อหน้าเจ้า ข้าจะดูซิว่าขยะไร้ค่าอย่างเจ้าจะทำอันใดได้ !”
ท้ายที่สุดแล้วกู่เฮาก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวบอบบางของฮวนเอ๋อเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ตะปบเข้าที่หน้าอกกลมมนของนาง
เหล่าชนชั้นสูงนอกประตูที่ได้นี้ฉากนี้ต่างก็แสดงสีหน้าพึงพอใจในความโชคร้ายของผู้อื่นออกมา พวกเขาล้อมวงรอชมเรื่องสนุก
ทุกคนในเมืองนี้ต่างรู้ดีว่ากู่เฮาเก็บกดมานานนับปีแล้ว ในที่สุดเขาก็สบโอกาสในการแก้แค้น
การลวนลามสาวใช้ของจี้เทียนซิงเป็นเพียงข้อแก้ตัว จุดประสงค์ที่แท้จริงของกู่เฮาคือการบีบบังคับให้จี้เทียนซิงโมโห จากนั้นก็เอาชนะเขาอย่างหนักหน่วงกลางที่สาธารณะ !
ฮวนเอ๋อที่ถูกกู่เฮาลวนลามก็กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและดิ้นรนขัดขืนอย่างสิ้นหวัง
ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความแข็งแกร่งในขั้นปรับแต่งกายาขั้นที่ 5 ของกู่เฮานั้นยังเหนือกว่านางมาก นางมิอาจต่อต้านขัดขืนได้
เมื่อได้เห็นมือใหญ่สากของกู่เฮาขย้ำหน้าอกของฮวนเอ๋อ ใบหน้าของจี้เทียนซิงก็ระเบิดอารมณ์โกรธอย่างเย็นชาออกมา “กู่เฮา เจ้ากำลังรนหาที่ตาย !”
ด้วยความโกรธ จี้เทียนซิงกระแทกฝ่ามือไปที่หน้าอกของกู่เฮา ถึงแม้ว่าระดับพลังของเขาจะตกลงไปที่ปรับแต่งกายาขั้นที่สามและยังนับว่าห่างไกลจากกู่เฮาอยู่มาก แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์ เขาได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย
ฝ่ามือของเขาเร็วพอๆกับระเบิดและกระแทกใส่อกซ้ายของกู่เฮาในทันที
**“**ปัง !”
กู่เฮาส่งเสียงอู้อี้และร่างกายส่ายไปมาไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ล้มลง ไม่แม้แต่จะถอยสักก้าว !
เขาปล่อยตัวฮวนเอ๋อจากการดิ้นรนและหันไปมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ฮ่าๆๆ… จี้เทียนซิง หนอ จี้เทียนซิง !”
“เจ้าช่างเป็นขยะไร้ค่าอย่างที่ผู้คนพูดกันจริงๆ ปรับแต่งกายาขั้นที่สาม ! ห่วยแตกนัก ทำให้ข้าหายคันยังไม่ได้ ฮ่าๆๆ!”
กู่เฮาแสยะยิ้ม เขามองไปที่จี้เทียนซิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง
ผู้ชมรอบๆต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่าและชี้ไปที่จี้เทียนซิงอย่างดูแคลน
หากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ จี้เทียนซิงคงอัดพวกมันทั้งหมดจนกระอักเลือดหรือไม่ก็สังหารพวกมันทิ้งซะ !
ยามนี้ กู่เฮารับฝ่ามือของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆแต่ก็มิได้รู้สึกอันใด ไม่เจ็บไม่คัน มันราวกับปุยนุ่น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในช่วงเวลาที่จี้เทียนซิงลงมือ ปราณกระบี่สีทองที่มีขนาดเท่าไม้จิ้มฟันสายหนึ่งก็ได้พุ่งออกไปด้วย !
ปราณกระบี่สีทองส่องประกายและพุ่งเข้าสู่ร่างกายกู่เฮาในทันที
ในขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะของกู่เฮาก็ชะงักลงอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อและใบหน้าของเขาซีดขาวดั่งกระดาษ
เขารู้สึกเจ็บซ่านที่หน้าอกและมุมปากของเขาก็เริ่มมีโลหิตไหลซึมออกมาช้าๆ
เขาก้มศีรษะลงอย่างไม่อยากเชื่อและจ้องมองไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา
เขาพบว่าเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่หน้าอกซ้ายมีรูโหว่ขนาดเท่าเม็ดข้าวและมีโลหิตหลั่งไหลออกมาย้อมชุดสีน้ำเงินจนกลายเป็นสีแดงทีละน้อย
กู่เฮาจ้องไปที่จี้เทียนซิงด้วยความหวาดกลัวและพูดไม่เป็นจังหวะว่า
“จี้เทียนซิง ! เจ้า… เจ้ากล้า… สังหารข้า… ?”
หลังจากพูดจบกู่เฮาก็ลงตัวลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล
ความเงียบเข้าปกคลุม เสียงหัวเราะอันสนุกสนานของผู้ชมเงียบหาย…
ฝูงชนต่างตกใจกับฉากนี้และจ้องมองไปที่กู่เฮาอย่างไม่อยากเชื่อและไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แม้กระทั่งจี้เทียนซิงก็ยังตกตะลึง เขามองไปที่กู่เฮาด้วยใบหน้าที่มืดมนและมองที่ฝ่ามือขวาของตน ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความสงสัย
ในตอนแรกเขาต้องการสั่งสอนกู่เฮาเท่านั้น เขาไม่เคยคิดจะสังหารอีกฝ่ายเลยแม้จะต้องการก็ตาม เขาไม่สามารถสังหารคนๆนี้ได้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นบุตรชายคนที่สามของท่านผู้ว่าในเมืองนี้
จี้เทียนซิงสังหารเขากลางที่สาธารณะ ตระกูลกู่จะต้องไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ และต้องตอบโต้สกุลจี้อย่างหนัก !
ตอนนี้ร่างไร้วิญญาณของกู่เฮานอนอยู่บนพื้นดินโดยปราศจากลมหายใจ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตายแน่นอนแล้ว !
จี้เทียนซิงไม่เข้าใจ เขาเพียงแค่ซัดฝ่ามือออกไปและไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ ทำไมหน้าอกของกู่เฮาถึงได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนเสียชีวิตแทบจะในทันที ?
หลังจากฝูงชนอึ้งกันอยู่พักใหญ่ๆ สุดท้ายก็มีบางคนดึงสติกลับมาได้และตะโกนออกมาว่า
“อา ! ฆ่าคนตาย ! จี้เทียนซิงฆ่าคนตายกลางถนนแล้ว !”
“ด่วน ! ไปที่ตระกูลกู่เดี๋ยวนี้และแจ้งว่าจี้เทียนซิงแห่งสกุลจี้ได้สังหารคุณชายสาม กู่เฮาไปแล้ว !”
“เป็นไปได้อย่างไร ? จี้เทียนซิงเป็นขยะไร้ค่าไปแล้ว เขาจะสังหารกู่เฮาที่มีพลังเหนือกว่าได้อย่างไร ?!”
ในพริบตาเดียวชนชั้นสูงกว่าสี่สิบคนได้ลุกลี้ลุกลนกันแตกฮือและส่งเสียงดังหน้าประตูหอวิญญาณโอสถ
ใบหน้าของจี้เทียนซิงดูมืดมนอย่างมาก สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของกู่เฮาและเต็มไปด้วยความคิดในใจที่เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
เขาจินตนาการไว้แล้วว่าหลังจากนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของตระกูลกู่
ฮอวนเอ๋อก็ตกตะลึงเช่นกัน นางเดินไปหาจี้เทียนซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นครือว่า “คุณชายใหญ่ เป็นฮวนเอ๋อ… ฮวนเอ๋อไม่ดีเองที่ทำให้ท่านลำบาก !”
“คุณชายใหญ่ ท่านจับข้าและส่งไปให้สกุลกู่เถิดค่ะ ใช้ความตายของข้าเพื่อขอขมาต่อสกุลกู่ เร็วเข้า !”
“ฮวนเอ๋อ เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด ?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและดึงนางกลับเข้าไปในรถม้า
“ฮวนเอ๋อ เจ้าไม่ต้องตกใจ พวกเรากลับสกุลจี้กันก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
รถม้าวิ่งออกจากหอวิญญาณโอสถอย่างรวดเร็วและหายลับตาไปสุดทาง
ยามชุดดำสองคนที่อยู่หน้าหอวิญญาณโอสถต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ พวกมันรีบเดินกลับเข้าไปในห้องโถงเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อปรมาจารย์เสวี่ยทันที