ตอนที่ 45-2 เจ้าจริงที่สุด ข้ารู้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองสีหน้าของจิ่งเหิงปัวตลอดเวลา

 

 

คำตอบของเขา ทุกประโยคผ่านการไตร่ตรองโดยละเอียด ทุกประโยคพยายามที่จะสมานแผลของนาง เขาไม่รู้เลยว่าทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ยามนี้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเบื้องหน้านางอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงของบทสนทนาทุกประโยคอาจก่อให้เกิดความแตกต่างในการเลือก การเลือกที่เปลี่ยนไปจะปั่นป่วนจิตใจของนางด้วยหรือไม่ เขาไม่รู้

 

 

เขาได้แต่พยายามขอให้เป็นไปได้ด้วยดี

 

 

เขาก็ตึงเครียดเล็กน้อย พริบตาต่อมาก็น่าจะเป็นการตัดไมตรีที่จัตุรัส กริชของจิ่งเหิงปัวแทงหน้าอกของกงอิ้น

 

 

ด้วยจิตใจรำลึกถึงอดีตที่ผ่านมานี้ ความรู้สึกของนางน่าจะไม่ได้โศกเศร้าเสียใจขนาดนั้นแล้ว เช่นนั้นการเลือกในครู่สุดท้ายนี้ เกี่ยวข้องว่าสุดท้ายแล้วนางจะทำสำเร็จหรือไม่

 

 

เพียงแค่นางทิ้งมีด ฟื้นคืนสติ นับแต่นี้จิตใจดั่งจันทร์กระจ่าง ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี

 

 

จิ่งเหิงปัวยกมือขึ้น กริชเล่มหนึ่งอยู่ในมือแล้ว

 

 

นางพกกริชสั้นเล่มน้อยติดตัวเสมอ นี่คือนิสัยที่กงอิ้นฝึกฝนให้นางในตอนนั้น

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเดินขึ้นไปหนึ่งก้าว พริบตาหนึ่งนั้น เขาถึงขนาดหวังว่ามีดนี้จะแทงลงตรงหน้าอกของตนเอง

 

 

ยามนี้เขาแทนที่กงอิ้น หากจิ่งเหิงปัวยังแทงมีดนี้ออกมา เช่นนั้นแสดงว่านางไม่ยอมให้อภัย ชั่วชีวิตนี้นางกับกงอิ้นไม่มีความหวังอีกแล้ว

 

 

นางคว้ากริชไว้แน่น นัยน์ตาเปล่งประกายรุ่งโรจน์

 

 

เขารอคอยการเลือกของนางอย่างตึงเครียด

 

 

“กงอิ้น…” นางกล่าวคล้ายละเมอว่า “เจ้าสอนให้ข้าตัดเยื่อใยได้ เช่นนั้น เจ้าเล่า?”

 

 

พริบตาต่อมา กริชในมือนางพลันแทงมาทางหน้าอกตัวเอง!

 

 

 

 

“ฉึก”

 

 

เสียงปลายมีดแทงทะลุกล้ามเนื้อแผ่วเบา แต่ราวกับฟ้าร้องดังก้องข้างหู ของเหลวร้อนผ่าวพุ่งออกมา กระเซ็นทั่วหน้านาง

 

 

นางพลันลืมตาขึ้น

 

 

พริบตาแรกที่ลืมตาขึ้น รู้สึกแค่ว่าฟ้าดินสว่างไสวเป็นพิเศษ

 

 

พริบตาต่อมามองเห็นหลังคอของคนหนึ่งคน มองเห็นผมยาวดำขลับของเขาพลิ้วสยายบนหน้าอกของตัวเองอย่างนุ่มนวล

 

 

จากนั้นนางเพิ่งรู้ตัว ตัวเองกอดคนหนึ่งคนไว้ มือถูกมือของคนคนนั้นคว้าไว้ นางชะงักงัน รู้สึกถึงกริชที่ถือไว้ในมือ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี!” นางร้องอุทาน แต่มือไม่กล้าขยับเขยื้อน

 

 

นางรู้สึกได้ว่ากริชที่อยู่ในมือตัวเองกำลังปักลงตรงหน้าอกของเหยียลี่ว์ฉี

 

 

เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?

 

 

ในใจนางเลือนรางมัวสลัว รู้สึกเหนื่อยล้า ซ้ำยังรู้สึกว่าในใจว่างเปล่า จำได้รำไรว่าคล้ายผ่านเหตุการณ์ตี้เกออีกครั้ง แต่ขั้นตอนกับจุดจบคล้ายจะแตกต่างออกไปแล้ว

 

 

นางจำได้ว่าเมื่อครู่สุดท้าย กริชของนางเปลี่ยนทิศทาง เลือกแทงเข้าหน้าอกของตัวเอง

 

 

เช่นนั้น…

 

 

นางก้มหน้า สำรวจตำแหน่งร่างกายตอนนี้ เหยียลี่ว์ฉีพุ่งเข้ามาทันเวลา ใช้หน้าอกของตนเองขวางกริชของนางไว้ ฉะนั้นตอนนี้จึงเป็นท่วงท่าที่นางกอดเหยียลี่ว์ฉีไว้

 

 

นางรีบปล่อยมือออก ประคองเหยียลี่ว์ฉีนั่งลง

 

 

กริชเล่มนั้นปักลงกลางหน้าอกเหยียลี่ว์ฉีจริงด้วย โชคดีที่ยังห่างจากหัวใจเล็กน้อย ตอนที่เหยียลี่ว์ฉีเข้ามาขวางมีดนี้ไว้ย่อมคำนวณตำแหน่งไว้แล้ว แต่ขณะนี้จิ่งเหิงปัวก็ไม่กล้าชักมีด จ้องมีดนั้นอย่างงงงวย

 

 

ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่สุดท้ายทำไมถึงเลือกแทงตัวเองได้ ตอนนี้เห็นหน้าอกที่มีคราบเลือดลายพร้อยกับใบหน้าที่ซีดเผือดของเหยียลี่ว์ฉี คิดว่าถ้าครู่หนึ่งนั้นข้างกายไม่มีใคร…อดจะหนาวสั่นทั่วตัวไม่ได้

 

 

“ไอ้แก่หนังเหนียว! ไอ้แก่หนังเหนียว!” นางตะโกนใส่ข้างบน เตรียมขอยาเม็ดอะไรสักอย่างจากท่านอาจารย์จื่อเวย เพิ่มพลังชีวิตให้เหยียลี่ว์ฉีแล้วค่อยชักมีด

 

 

เหยียลี่ว์ฉีลืมตาขึ้นเล็กน้อย มุมปากวาดโค้ง ตีมือของนางอย่างแผ่วเบา กระซิบว่า “ไม่เป็นไร ดึงเถิด”

 

 

ข้างบนแว่วเสียงเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลของท่านอาจารย์จื่อเวยว่า “จิ่งเหิงปัวเจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้า? เจ้าฝ่าฟันอุปสรรคจนกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? หักคะแนน! หักให้หมด!”

 

 

“จะหักหมดก็หักไป!” จิ่งเหิงปัวตะโกนว่า “ให้เจ้าหักอีกยี่สิบแต้ม โยนยาลงมาหน่อย!”

 

 

“ยามาแล้ว!” อะไรสักอย่างร่วงหล่นบนทุ่งหญ้าดังพลั่ก ร้องโอ๊ยๆ ลุกขึ้นมา จิ่งเหิงปัวเห็นแล้วยิ่งปวดศีรษะมากขึ้น เหยียลี่ว์สวินหรูถูกโยนลงมาแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากด่าท่านอาจารย์จื่อเวยสามวันสามคืน แต่ตอนนี้อยากไปซ่อนตัวในอุโมงค์ใต้ดินมากกว่า…นางทำให้น้องชายคนอื่นบาดเจ็บสาหัส จะชดใช้อย่างไร?

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ทันได้สนใจนาง ตะโกนลั่นใส่ท้องฟ้าก่อนว่า “จื่อเวย กล้ามอกเจ้าคล้ายบางไปหน่อย ผอมลง? หมู่นี้มีเรื่องในใจ? ข้ากับเจ้ามาคุยเรื่องในใจกันดีหรือไม่?”

 

 

ไกลออกไปแว่วเสียงพลั่ก คล้ายมีอะไรสักอย่างกระแทกบนกำแพงภูเขา

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวไม่มีอารมณ์หัวเราะ ไหล่ตกหน้านิ่วคิ้วขมวด เตรียมรับพายุฝนกระหน่ำของพี่สาวอย่างกล้าหาญ

 

 

เฮ้อ ถ้านางเตรียมตบหน้า ตัวเองต้องยื่นหน้ารับไว้หรือไม่?

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูตะโกนจบก็ไม่ได้หวังให้ท่านอาจารย์จื่อเวยตอบกลับ หันหน้าตามอารมณ์ พลันสูดจมูกเล็กน้อย เอ่ยอย่างสงสัยว่า “กลิ่นคาวโลหิต?”

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้าด้วยความเสียใจ

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูเดินเข้ามาแล้ว เป็นสาวตาบอดมาสิบปี นางฝึกฝนการทรงตัวที่ดี เดินช้าทว่ามั่นคง นางคล้ายรับรู้ได้ด้วยจิตใจ มุ่งหน้ามาถึงข้างกายเหยียลี่ว์ฉี นั่งยองลง ลูบคลำ แบะปากเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะปรึกษานางให้ดีก่อนว่าชักมีดอย่างไรถึงปลอดภัยที่สุด เหยียลี่ว์สวินหรูคว้าด้ามมีดไว้แล้ว ยกมือขึ้นเพียงครั้ง ฉวยมือดึงมีดออกมา

 

 

เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีกระตุกขึ้นมา โลหิตแดงฉานพุ่งพรวดกระเซ็นทั่วหน้าจิ่งเหิงปัว

 

 

ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวที่งงเป็นไก่ตาแตกเริ่มรู้สึกตัว เหยียลี่ว์สวินหรูกดแผลตรงหน้าอกของเหยียลี่ว์ฉีอย่างเชี่ยวชาญยิ่งนักแล้ว หันหน้าสั่งจิ่งเหิงปัวว่า “ช่วยหน่อย ถอดอาภรณ์เขา”

 

 

“หา?” จิ่งเหิงปัวชะงัก

 

 

“ไม่ถอดอาภรณ์จะพันแผลอย่างไร?” น้ำเสียงของเหยียลี่ว์สวินหรูคล้ายบอกกล่าวผู้โง่เขลา

 

 

“อ้อๆ” จิ่งเหิงปัวรีบถอดเสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีหมดสติไปแล้ว สีหน้าซีดเผือด แต่ไม่ได้ร้องโอดโอยเลยสักครั้ง

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ตอนนี้ก็ไม่ทันได้ห่วงมากมาย ถอดเสื้อของเหยียลี่ว์ฉีอย่างรวดเร็ว

 

 

“น้ำสะอาด ผ้าเช็ดมือ” เหยียลี่ว์สวินหรูสั่งพลางล้วงยาจินชวงจากในอ้อมแขน ดูท่าทางเตรียมไว้เป็นประจำ

 

 

จิ่งเหิงปัวฉีกสาบเสื้อชั้นที่สองเป็นแถบผ้ายาว นางรู้ว่าไม่ต้องขอผ้าสะอาดจากท่านอาจารย์จื่อเวย เจ้าคนนั้นคงไม่มีให้ ไม่แน่ว่าอาจโยนกางเกงในของตนเองลงมาด้วย

 

 

ตักน้ำสะอาดมา ล้างแผลให้สะอาด ทายาพันแผล เหยียลี่ว์สวินหรูที่ตาบอดเป็นคนลงมือตั้งแต่ต้นจนจบ รวดเร็วยิ่งนัก เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง นางพันแผลเสร็จแล้ว บาดแผลเรียบร้อย ฝีมือสวยกว่าผู้ที่รักษามานานบางคน

 

 

จิ่งเหิงปัวเห็นแล้วกลับรู้สึกปวดใจเล็กน้อย…ด้วยความกล้าหาญเด็ดขาดในการชักมีดของเหยียลี่ว์สวินหรู ตลอดจนความชำนาญคล่องแคล่วในการจัดการบาดแผลของนาง จินตนาการได้ว่าสำหรับพี่น้องคู่นี้ การได้รับบาดเจ็บน่าจะเป็นเรื่องปกติ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่ฟื้นขึ้นมาเลย สีหน้าเงียบสงบยิ่งนัก ไม่มีสีหน้าเจ็บปวดที่มักเกิดขึ้นระหว่างผู้ได้รับบาดเจ็บสลบไสล แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกเสมอว่าเขาจงใจผ่อนคลายหัวคิ้ว อดกลั้นไว้แม้อยู่ระหว่างสลบไสล

 

 

อดกลั้นไว้ ไม่ให้คนที่เป็นห่วงรู้สึกกังวล

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูยุ่งเสร็จ ฉวยมือผลักจิ่งเหิงปัวครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ยืนนิ่งทำอะไรอยู่ ไปล้างหน้า”

 

 

ไม่นึกว่านางจะรู้ว่าจิ่งเหิงปัวเปื้อนเลือดทั่วหน้า ส่วนใบหน้าของนางเองสะอาดสะอ้าน ไม่มีเลือดสักหยด ยามที่ชักมีด นางหันหน้าไปได้ทันเวลา

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงนางเป็นปกติ ไม่ตำหนิเลยแม้แต่น้อย ตัวเองกลับรู้สึกว่าในใจอึดอัด ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าที่ริมฝั่งแม่น้ำ

 

 

เผชิญกับเงาคนที่มีเลือดเต็มหน้าในแม่น้ำ นางนิ่งงันระลอกหนึ่ง ใคร่ครวญเรื่องก่อนหน้านี้อยู่ชั่วครู่ ยิ่งนึกถึงตอนท้าย ทั่วร่างยิ่งเหน็บหนาว

 

 

นางนั่งอยู่สักพักถึงเดินกลับไป ฉวยมือเด็ดผลไม้ป่ามาด้วย ตอนที่กลับมาเห็นเหยียลี่ว์สวินหรูกำลังสนเข็มปักผ้า เย็บเป็นถุงทรายหนึ่งใบอย่างรวดเร็ว แม้รอยเข็มหยาบมาก บิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ยังคงไว้ซึ่งรูปร่างพื้นฐาน จิ่งเหิงปัวมองนางใช้ใบสนที่ค่อนข้างแข็งแรงเป็นเข็ม ดึงด้ายบนเสื้อผ้าของตนเองออกมา ซ้ำยังตัดผ้าบนเสื้อเย็บเป็นถุงผ้า กรอกเม็ดทรายเข้าไปจนเต็ม ทับไว้บนบาดแผลของเหยียลี่ว์ฉี แล้วค่อยใช้สายผ้ามัดไว้ ออกแรงกดเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแย้มเบิกบานเอ่ยว่า “เช่นนี้หายเร็ว บาดแผลก็สมานกันได้ง่าย ข้าจัดการบาดแผลของเขาเช่นนี้เสมอ ไม่เคยมีแผลเป็นอะไร ไอ้หยาเสี่ยวฉีของข้างดงามขนาดนี้ จะมีแผลเป็นลายพร้อยทั่วร่างได้อย่างไรเล่า”

 

 

จิ่งเหิงปัวนั่งยองข้างกายนาง จ้องหน้านาง รู้สึกว่ากล่าวในระดับหนึ่ง พี่สาวท่านนี้ถึงเป็นนางฟ้า

 

 

ลักษณะท่าทางของนางมักทำให้คุณรู้สึกว่าตกใจจนตัวสั่น แต่ก็นับถืออย่างจริงใจ

 

 

“ครานี้เสี่ยวฉีเป็นอะไรไปอีกแล้ว?” เหยียลี่ว์สวินหรูลูบหน้าของเขา พึมพำว่า “เจอศัตรูหรือ?”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน…พี่สาวฉลาดขนาดนี้ เดาไม่ออกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับนาง?

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่อยากโกหกปฏิเสธความรับผิดชอบ หลุบตาต่ำทันที กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ ข้าแทงเขาเอง ข้าเห็นภาพหลอนของราชากระต่ายมายา แทบจะปลิดชีพตนเอง เขาช่วยข้าขวางไว้”

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ได้มองนางเลย ยามนี้หันหน้ามา “มอง” นางปราดเดียว จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสีหน้านางคล้ายเจือด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ใช่หรือ?” นางเอ่ยอย่างสบายใจว่า “เช่นนั้นไม่เป็นไร บุรุษน่ะ ควรปกป้องสตรีอยู่แล้ว”

 

 

นางคล้ายอารมณ์ดีไม่หยอก ถึงขนาดเริ่มผิวปาก เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “พาเขากลับไปพักผ่อนรักษาบาดแผลเถิด ไม่สิ้นชีพหรอก เพียงแต่ข้าแบกเขาไม่ไหว เจ้าแบกเขาดีหรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามอง ลำบากใจเล็กน้อย เมื่อครู่เสื้อผ้าของเหยียลี่ว์ฉีถูกเหยียลี่ว์สวินหรูฉีกไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าเสื้อผ้าหลุดลุ่ยแบบนั้น กล้ามเนื้อของเขางดงามเหลือเกิน ราวกับหินอ่อนขาวราวหิมะ แต่มีเนื้อสัมผัสกับความยืดหยุ่นมากกว่า ผิวกายเปล่งประกายเล็กน้อยใต้แสงอาทิตย์ ทรวดทรงหัวไหล่จรดกระดูกไหปลาร้าราบรื่น เผยให้เห็นความแข็งแรงกับความงดงามของโครงกระดูกผู้ชาย นี่คือร่างกายผู้ชายที่หนุ่มแน่นและยั่วยวน ถ้านางแบกกลับไปแบบนี้ ต่อให้ตัวเองไม่ว่าอะไร กลัวว่าพวกนั้นก็จะก่อความวุ่นวายได้

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูยิ้มพราว คล้ายหวังเห็นความสำเร็จของความวุ่นวายเช่นนี้