บทที่ 256.1 ผู้ถ่ายทอดมรรคาถ่ายทอดคำสั่งสอน โดย ProjectZyphon
คืนนี้เดิมทีซุนเจียซู่ควรจะไปเชิญบุคคลยิ่งใหญ่บางคนของทวีปทางตะวันออกเฉียงใต้มาร่วมงานเลี้ยง ทว่าเจ้าประมุขหนุ่มเกิดตัดสินใจกะทันหัน บอกให้ตระกูลซุนที่อยู่เมืองในเลื่อนงานเลี้ยงครั้งนี้ออกไปก่อน แม้ว่าจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ถึงขนาดทำให้พ่อบ้านที่ดูแลจวนทางฝั่งนั้นเสนอความเห็นคัดค้านอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ซุนเจียซู่กลับไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาที่อยู่ในห้องหนังสือตัดขาดการเชื่อมโยงระหว่างบ้านบรรพบุรุษกับจวนตระกูลซุน จากนั้นก็ไปที่ศาลบรรพชนซึ่งอยู่ในเรือนด้านหลัง
พ่อบ้านของทางฝั่งนั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลซุนไม่อยากให้จวนตระกูลซุนต้องเจอกับเรื่องลำบากใจ ผู้เฒ่าที่ไม่เคยปรากฏตัวในจวนตระกูลซุนเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีมาแล้วเดินทางไปสั่งงานพ่อบ้านของทางฝั่งนั้นด้วยตัวเอง คนทั้งจวนตระกูลซุนถึงจะพอสงบใจลงได้บ้าง
ซุนเจียซู่ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเรียบร้อยยืนอยู่ในศาลบรรพชนเพียงลำพัง หลังจากจุดธูปกราบไหว้ป้ายบรรพชนเสร็จก็ยืนเงียบๆ คล้ายกำลังหันหน้าเข้าผนังใช้ความคิดใคร่ครวญ
ในศาลบรรพชนนอกจากป้ายวิญญาณแล้ว ยังแขวนภาพเหมือนของอดีตประมุขตระกูลซุนแต่ละรุ่นในประวัติศาสตร์ที่ล่วงลับไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายไม่สะดุดตาเหมือนกับที่ซุนเจียซู่สวมอยู่ในเวลานี้ ตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูลซุนรุ่นนี้ถือเป็นการสืบทอดข้ามรุ่นโดยส่งต่อจากปู่มายังหลาน หลังจากที่ปู่ของซุนเจียซู่ลงจากตำแหน่งเจ้าประมุขก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ปีนั้นซุนเจียซู่สืบทอดกิจการยิ่งใหญ่ของตระกูลทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้จึงเรียกได้ว่าจะหวานหรือขม ซุนเจียซู่ก็ล้วนรับรู้มาด้วยตัวเองทั้งหมด
ซุนเจียซู่มองภาพวาดเหล่านั้น บางคนช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ในขณะที่ตระกูลตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม บางคนบุกเบิกเส้นทางการค้าสายใหม่ บางคนช่วยผูกมิตรสานสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนให้กับตระกูล บางคนว่างงานไม่มีอะไรทำชั่วชีวิต จนลูกหลานที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่มีหน้าไปพบผู้คน บางคนตัดสินใจผิดพลาดเดือดร้อนให้ตระกูลซุนต้องสูญเสียที่ดินในเมืองนอก กิจการของบรรพบุรุษถูกฮุบกลืนอย่างต่อเนื่อง บางคนเลือกเดินทางที่แตกต่าง มุมานะฝึกตนจนอำนาจของตระกูลตกไปอยู่ในมือของญาติวงนอก…
ซุนเจียซู่อยากรู้มากว่าในอนาคตเมื่อภาพของตนถูกแขวนไว้ที่นี่ ลูกหลานรุ่นหลังจะมองตนอย่างไร มองเขาเป็นบรรพบุรุษผู้นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล มองเขาเป็นตัวการที่ฝังต้นตอแห่งความพินาศให้กับตระกูล หรือมองเขาเป็นคนโง่ที่พลาดโอกาสอันดีซึ่งพันปีจะพานพบสักครั้ง?
ม่านราตรีสีมืดดำ บรรพบุรุษก่อกำเนิดคนนั้นเดินเข้ามาในศาลบรรพชนช้าๆ เงียบอยู่นาน สุดท้ายก็พูดปลอบใจขึ้นมาว่า “เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำเกินสามครั้ง เจ้าเลือกที่จะเชื่อเด็กหนุ่มคนนั้น เดิมพันเป็นครั้งที่สี่ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แพ้ในครั้งที่ห้าจึงไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดเสียใจ อันที่จริงการที่ผู้รับใช้ขอบเขตโอสถทองซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นยอมเดิมพันกับเจ้าเป็นครั้งที่สี่ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเลือกอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนต่ออยู่แล้ว หาใช่ถูกตระกูลฝูซื้อตัวไปได้สำเร็จไม่”
ซุนเจียซู่ไม่ได้หันกลับมา ยังคงเงยหน้าจ้องนิ่งไปยังภาพวาดทั้งหลาย แต่พยักหน้ารับ “ข้อนี้ข้าคิดได้แล้ว จึงไม่ได้กลายเป็นปมในใจ ตอนที่ลงเดิมพันกับเรื่องนี้ เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นดีกว่าเดิม แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแย่กว่าเดิม ข้ายอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ถอยไปพูดอีกหนึ่งก้าว ตระกูลซุนของเรายังไม่ถึงขั้นที่ว่าขาดว่าที่ขอบเขตก่อกำเนิดไปคนหนึ่งแล้วจะเป็นจะตายให้ได้”
บรรพบุรุษตระกูลซุนขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของซุนเจียซู่ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถถามได้ส่งเดช นี่ก็เหมือนกับผู้รับใช้ของตระกูลทั้งสามท่านที่ไม่ว่าจะสนิทสนมกับซุนเจียซู่มากแค่ไหน ต่อให้จะอยากรู้ขอบเขตและตบะของเด็กหนุ่มคนนั้นมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนเด็ดขาด ทำเพียงแค่คาดเดาให้เป็นเรื่องสนุกเท่านั้น
ซุนเจียซู่แบฝ่ามือข้างหนึ่ง “ความสัมพันธ์ของข้ากับเฉินผิงอัน ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการทำธุรกิจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นหลิวป้าเฉียวเป็นเพื่อน แต่เฉินผิงอันคนนี้ประหลาดมากเกินไป ข้าอดที่จะวางเดิมพันก้อนใหญ่บนร่างของเขาไม่ไหว ช่วยไม่ได้ ข้าซุนเจียซู่เป็นพ่อค้า เป็นประมุขของตระกูลซุน ที่แท้รู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”
ซุนเจียซู่หันตัวกลับมา ชูมือข้างนั้นขึ้น “จนกระทั่งเฉินผิงอันต่อยให้มังกรทองจากแสงอรุณกลับขึ้นฟ้าไปเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งตระกูลฝูหยุดอยู่เฉยรอจังหวะโจมตี ทำให้แผนการทั้งหมดของข้าว่างเปล่า กลับเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเสียเอง ข้าถึงได้รู้ว่าการเสี่ยงดวงเพื่อหวังลาภลอยนี้เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นเหตุให้ข้าต้องมองตัวเองสูญเสีย…นครมังกรเฒ่าทั้งแห่งไปคาตา”
ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ก่อกำเนิดที่คนในโลกขนานนามว่าเซียนพสุธาก็ยังมองไม่ออกถึงความผิดปกติบนมือข้างนั้นของชายหนุ่ม
แต่ผู้เฒ่าแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่า สิ่งที่ซุนเจียซู่มองเห็นคือความจริงในท้ายที่สุด
สีหน้าของซุนเจียซู่โศกเศร้า “หากขาดแค่เฉินผิงอันที่เดิมทีก็ไม่ใช่สหายไปคนหนึ่ง หรือสูญเสียนครมังกรเฒ่าแห่งหนึ่ง ถูกต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนมันลงคอไปพร้อมกับเลือด (เปรียบเปรยว่าต่อให้เสียเปรียบก็จะไม่ยอมให้คนอื่นมารับรู้ด้วย) อันที่จริงข้าซุนเจียซู่ก็ยังทนได้! เงินหมดไป ยังหามาได้ใหม่ ความสามารถในการหาเงิน ข้าซุนเจียซู่ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน!”
ผู้เฒ่าได้แต่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ
ซุนเจียซู่หุบฝ่ามือ กำเป็นหมัดแน่น พูดเสียงสั่น “แต่เมื่อผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ ข้าถึงได้ค้นพบว่าเดิมทีวิถีแห่งการหาเงินของตัวข้านั้นคือยืนหยัดเชื่อมั่นในความถูกต้องเที่ยงตรง เพราะนี่คือมหามรรคาของสำนักการค้าอย่างไม่ต้องสงสัย สอดคล้องกับคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่บอกว่าต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงจะยั่งยืนยาวนานมากที่สุด แต่ข้ากลับต้องมาถูกเฉินผิงอันที่รู้จักกันไม่ถึงหนึ่งเดือนพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ควรหาทรัพย์ด้วยวิธีลัด คำสั่งสอนที่บรรพบุรุษสำนักการค้าทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลังว่า ลาภจากความเสี่ยงเหมือนสายน้ำ มาเร็วก็ไปเร็ว รุ่งโรจน์ว่องไว แต่ก็ล่มสลายรวดเร็วดุจเดียวกัน คือความจริง!”
ซุนเจียซู่หันกลับไป ไม่ให้บุรพาจารย์เห็นใบหน้าของเขา
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ราวกับว่าไม่อยากให้เหล่าบรรพบุรุษเห็นสีหน้าของเขาเช่นกัน
ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดเดินช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดจะทำอะไรไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
ซุนเจียซู่วางสองมือไว้ที่ริมฝีปากแล้วเป่าลมใส่เบาๆ “อยู่ดีๆ ตระกูลฝูก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ล่วงเกินไปหมดทุกคนก็มีแต่ข้าซุนเจียซู่ ซ้ำร้ายตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจด้วยว่าเฉินผิงอันเห็นข้าเป็นคนอย่างไร แล้วตัวเขาเองล่ะเป็นคนอย่างไร นี่ต่างหากถึงจะเป็นปมของปัญหา”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “เฉินผิงอันคิดอย่างไรกับเจ้า บอกได้ยาก แต่นิสัยของเขา เจ้ายังไม่แน่ใจอีกหรือ?”
ซุนเจียซู่กล่าวอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นต่อให้หลังจบเรื่องเขาจะรู้ความจริง อะไรที่ตระกูลซุนได้รับ เขาเฉินผิงอันก็จะไม่น้อยหน้าสักส่วนเดียว สุดท้ายวันหน้าก็แค่กลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่กลับมาคบค้าสมาคมกันอีกก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พูดยากแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าเฉินผิงอันจะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อตัวเองหรือไม่”
ผู้เฒ่าตบไหล่ซุนเจียซู่ “เจียซู่ เจ้าฉลาดมาก แถมยังมีพรสวรรค์ เป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ต่อให้ตอนนี้จะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ข้าก็ยังคิดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะไม่ใช้สถานะของบรรพบุรุษออกคำสั่งแก่ประมุขตระกูล แต่จะพูดกับเจ้าดั่งที่ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำแก่ผู้น้อย โยนแผนการทั้งหลาย โยนเกียรติยศของวงศ์ตระกูล รวมไปถึงสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปทิ้งไป สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นซุนเจียซู่ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหลิวป้าเฉียว ส่วนเฉินผิงอันก็เป็นเพื่อนที่หลิวป้าเฉียวแนะนำให้เจ้า ไม่สู้เจ้าลองนำวิถีแห่งมิตรที่เรียบง่ายที่สุดไปใช้คบหากับเขาดู ตอนนี้ยังไม่ต้องพิจารณาถึงวงศ์ตระกูลอะไรทั้งนั้น”
ซุนเจียซู่หันมาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ได้ด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ไม่ลองดูก่อนล่ะ ถึงอย่างไรเรื่องราวก็แย่ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดหลบแล้วจะหลบได้พ้น คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เจอกับหลุมหนึ่งไม่น่ากลัว แค่พยายามเดินผ่านมันไปให้ได้ก็พอ จะผ่านไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเจ้าก็เคยลองทำแล้ว ก็อย่างที่เจ้าพูดไว้นั่นแหละ เรื่องแค่นี้ตระกูลซุนแบกรับได้ไหวอยู่แล้ว”
ซุนเจียซู่ยังลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู?”
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองสีท้องฟ้านอกศาลบรรพชน “ไปเถอะ อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่เต่าทะเลภูเขาออกเดินทางแล้ว”
ซุนเจียซู่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายออกไปจากศาลบรรพชน แม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้ว แต่ฝีเท้าของคนหนุ่มก็ยังไม่ผ่อนคลายสักเท่าไหร่
“คราวนี้เจ้าหนูซุนเจียซู่แพ้อย่างอเนจอนาถจริงๆ แพ้จนเขากลัวไปเลย แพ้ติดต่อกันสามครั้งรวด แพ้ด้วยเงินร้อนน้อย สูญเสียการรับใช้จากผู้ที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดไปหนึ่งร้อยปี แพ้ให้กับตระกูลฝูที่หนักแน่นดุจขุนเขา สุดท้ายแพ้ให้กับจิตแห่งมรรคา จิตใจดั้งเดิมเริ่มสั่นคลอน คือเรื่องที่อันตรายมากที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่ยืนอยู่ในตำแหน่งของเขา เกรงว่ามีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเขา ป่านนี้สภาพจิตใจคงแหลกสลายไปนานแล้ว แม้แต่โอกาสจะแก้ไขก็คงไม่มี”
ผู้เฒ่าไม่จ้องมองแผ่นหลังของซุนเจียซู่อีกต่อไป เขาหันกลับมามองทางภาพวาดมากมายแล้วคลี่ยิ้ม “มีอุปสรรคครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้เขาไปก่อหายนะครั้งใหญ่ในวันหน้า วัวหายแล้วคิดจะล้อมคอกใหม่ก็ยากแล้ว ราบรื่นสมปรารถนาเกินไป เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่วิถีที่ยืนยาว ทุกท่านคิดเหมือนกันไหม?”
ภาพเหมือนที่แขวนไว้บนกำแพงสั่งเสียงลั่นพึ่บพั่บคล้ายกำลังคล้อยตาม
……
ในนครฝู ข้างกายซ่งจี๋ซินมีรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ผู้นั้นคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา
การค้าขายระหว่างนครมังกรเฒ่ากับต้าหลีเป็นเรื่องแน่นอนตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฝูหนันหัวเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู การเดินทางมาในครั้งนี้ของซ่งจี๋ซินก็เป็นแค่การใช้สถานะองค์ชายซ่งมู่ของต้าหลีมาเผยโฉมหน้าในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นทั้งแผนการอันแยบยลของชุยฉานราชครูต้าหลี และยิ่งเป็นจุดประสงค์ของฮ่องเต้เอง ซ่งจี๋ซินนั่งเรือข้ามฟากจากหลงเฉวียนลงใต้มาเยือนนครมังกรเฒ่าในครั้งนี้ ฮ่องเต้ที่พักฟื้นบำรุงร่างกายอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรต่อเขา เป็นเหตุให้ตอนที่นั่งเรือมา ซ่งจี๋ซินเกิดความรู้สึกลวงตาราวกับว่าจื้อกุยต่างหากถึงจะเป็นคนสำคัญที่แท้จริงในการเดินทางไกลครั้งนี้
เขตการปกครองหลงเฉวียน นครมังกรเฒ่า (ทั้งสองคำมีคำว่าหลงที่แปลว่ามังกร)
จื้อกุย อักษรหวังและอักษรจูรวมเป็นคำว่าไข่มุก
ซ่งจี๋ซินรู้ว่าเบาะแสที่เขารู้มาเหล่านี้กับข้อมูลอีกมากมายที่ยังไม่เผยตัวได้ถักทอเข้าด้วยกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ สุดท้ายจะกลายเป็นสถานการณ์ที่หนึ่งคือล่างใต้หนึ่งคือบนเหนือ บวกกับที่สกุลเกาต้าสุยยอมถอยไปก้าวใหญ่ ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับต้าหลี ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปมีเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีปคอยขัดขวางการควบคุมที่สำนักศึกษากวานหูมีต่อพื้นที่ทางเหนือ แม้ว่าการลงมือครั้งแรกของสำนักศึกษาจะรุนแรงดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง ยับยั้งสัญญาณของสงครามที่กำลังจะเริ่มขึ้นในหลายสิบแคว้นทางตอนกลางซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังพอจะมองเห็นภาพเส้นทางที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกตะลุยไป ผ่านที่ไหนก็พังราบเป็นหน้ากลอง ควบม้าตะบึงยาวไกลลงใต้ เสียงแส้ฟาดม้าโบยก้องชายหาดทะเลทักษิณ…
สำหรับเรื่องนี้ซ่งจี๋ซินไม่เคยเอ่ยถ้อยคำใด เพียงแค่มองอยู่ในสายตา เก็บไว้ในหัวใจ
สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปมีประโยชน์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ไม่ได้หมายความจะมีประโยชน์ต่อตัวเขาซ่งจี๋ซิน ไม่พูดถึงเรื่องที่เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับขุนนางสำคัญหรือเหล่าผู้มีคุณูปการในราชสำนัก ที่ตำหนักฉางชุนยังมีน้องชายแท้ๆ ร่วมอุทรอยู่อีกหนึ่งคน รวมไปถึงเหนียงเนียงที่ลำเอียงเข้าข้างบุตรชายคนเล็กอย่างสุดจิตสุดใจ ตอนนั้นเขาไปเยือนตำหนักฉางชุนมารอบหนึ่ง ในนามก็คือหลังจากที่เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ พลัดพรากจากกันไปนานหลายปี บุตรชายกลับเข้าวงศ์ตระกูลก็ควรต้องไปพบปะมารดาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าเหนียงเนียงผู้นั้นที่อยู่ตำหนักฉางชุนจะแสดงออกว่าเสียใจมากแค่ไหน ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินกลับไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วย เหมือนเขากำลังมองคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ร้าวรานปริ่มจะขาดใจ โดยที่ตัวเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ตอนนั้นซ่งจี๋ซินเหมือนหุ่นไม้ที่ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา นอกจากเค้นน้ำตาออกมาได้เล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นคนนั้นอีก นางถามหนึ่งคำ ซ่งจี๋ซินก็จะตอบหนึ่งคำ ไม่เหมือนมารดาและบุตรที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แต่กลับเหมือนการถามตอบระหว่างกษัตริย์และขุนนางที่ห่างเหินเสียมากกว่า
บวกกับที่มีซ่งเหอน้องชายของเขาหลั่งน้ำตาอยู่ด้านข้างอีกคน การพบกันครั้งนั้นของสามแม่ลูกจึงค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย
ซ่งจี๋ซินเดินอยู่ในระเบียงรอบลานบ้านของจวนตระกูลฝูเพียงลำพัง เขาบอกว่าอยากจะเดินเล่น รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่จึงไม่ติดตามมาอีก ตลอดทางซ่งจี๋ซินได้พบเห็นเด็กหนุ่มและสาวใช้หน้าตาดีมากมาย ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขา ทว่าเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆและหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ห้อยอยู่ตรงเอวของซ่งจี๋ซินก็มากพอจะทำให้เขาเดินไปไหนมาไหนในจวนตระกูลฝูได้อย่างราบรื่นแล้ว
วันนี้ไม่รู้ว่าจื้อกุยไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก เซียนกระบี่สวี่รั่วก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ว่ากันว่าคนผู้นี้คือจอมยุทธ์สำนักโม่ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ซ่งจี๋ซินอยากจะผูกมิตรกับเขามาโดยตลอด แต่มักรู้สึกว่าสวี่รั่วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับทุกคนเป็นคนที่คบหาได้ยากมากที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สนิทใจต่อกัน บางทีวันใดรอให้ตนเดินไปสู่ตำแหน่งนั้นได้จริงๆ ความสัมพันธ์คงจะดีขึ้นกระมัง? ซ่งจี๋ซินจึงอดทนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม
ตลอดทางที่เดินไป ซ่งจี๋ซินชื่นชมสวนดอกไม้ ภูเขาจำลอง ศาลา หอเก๋งที่สร้างขึ้นอย่างประณีตในตระกูลฝู มองนานเข้าก็รู้สึกเบื่อ เมื่อก่อนตอนที่เขาเดินเตร็ดเตร่ทั่วเมืองเล็ก ไม่ว่าข้างกายจะมีสาวใช้จื้อกุยหรือไม่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าทัศนียภาพน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ พอคิดถึงจื้อกุย พยับเมฆในใจซ่งจี๋ซินก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
เขากลัวว่าวันใดวันหนึ่ง นางจะไม่ใช่สาวใช้ของตนอีกต่อไป พอหันหน้ากลับไปมอง จะไม่มีเรือนกายเพรียวบางของนางอยู่อีกแล้ว
ก็เหมือนกับตอนนี้ ซ่งจี๋ซินหันหน้ามองไป เห็นแต่ระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่า มีเพียงนกแก้วในกรงที่พูดภาษาคนอย่างไม่รู้กาลเทศะอยู่ตรงนั้น แถมยังพูดภาษาถิ่นของนครมังกรเฒ่าที่ฟังยากด้วย ซ่งจี๋ซินหมุนตัวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรงนก ใช้นิ้วเคาะกรงเล็กที่ทำจากไม้ไผ่แรงๆ “หุบปาก!”
นกแก้วเรียนรู้ได้เร็วมาก มันตอบกลับซ่งจี๋ซินด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปทันที “หุบปาก!”
ซ่งจี๋ซินเลิกคิ้ว พูดอีกว่า “ซ่งมู่คือท่านทวดใหญ่”
นกแก้วห้าสีตัวนั้นหมุนตัวกลับเงียบๆ หันก้นให้ซ่งจี๋ซินแล้วพูดว่า “ทวดเอ็งสิ!”
ซ่งจี๋ซินไม่โกรธกลับยังขำ อารมณ์ดีขึ้นทันตา เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
—–