ตอนที่ 242 ขโมยกางเกงใน (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋กินอาหารเช้าพลางมองดูพวกเขาที่อารมณ์เริ่มจากข้องใจจนถึงสบายใจ ริมฝีปากจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆ “พวกเจ้าคิดได้หรือยังว่าจะไปขโมยกางเกงในเจ้าของบ้านนั้นอย่างไร”

 

 

ทุกคนมองหน้ากัน แล้วพากันยิ้มลามกใส่ชิวเยี่ยไป๋ “แน่นอน”

 

 

เมื่อคืนพวกเขาให้ท่านหมอรักษาแผลพลางรวมหัวกันวางแผน ‘ภารกิจอันยากลำบาก’ กว่าค่อนคืน

 

 

เห็นพวกเขามีแผนในใจชิวเยี่ยไป๋ก็พยักหน้า “นี่เรียกว่าวางแผนก่อนค่อยลงมือทำ แต่ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าคิดใหม่อีกรอบ องครักษ์บ้านนั้นเข้มงวดมาก และไม่เพียงพวกองครักษ์ฝีมือกล้าแข็ง แม้แต่ตัวคุณหนูใหญ่เองวรยุทธ์ก็สูงล้ำ ถ้าโดนจับได้มีหวังคางเหลืองแน่”

 

 

พอชิวเยี่ยไป๋พูดจบบรรดาคนหยิบหย่งก็งงงัน มีคนพึมพำเบาๆ อย่างอดมิได้ “ดุขนาดนี้มันแม่เสือชัดๆ มิน่าถึงขายไม่ออก”

 

 

ต้าสู่คิดมากหน่อย ถึงอย่างไรพวกพี่น้องก็วางแผนกันเกือบทั้งคืน เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ใต้เท้าขอรับ ถ้าพวกเราไม่ไปแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าไปจะมีรางวัลหรือไม่ขอรับ”

 

 

ทุกคนชักเครียด นั่นนะสิ ถ้าไม่ไปล่ะ

 

 

จะกินแส้เหมือนเมื่อคืนไหมหนอ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตอบทันควัน “ไม่หรอก ถ้าเรื่องนี้สำเร็จข้าจะควักกระเป๋าเอง ให้เงินเดือนพวกเจ้าเพิ่มคนละห้าสิบตำลึงและไม่ต้องมัวแต่กินข้าวต้มแกล้มผักดอง ถ้าไม่สำเร็จ พวกเจ้าก็จงกินข้าวต้มผักดองบำเพ็ญตนต่อไปก็แล้วกัน”

 

 

พริบตานั้นสีหน้าทุกคนสับสน…

 

 

แต่พวกเขาลังเลอยู่ครู่เดียว ก็ทนคันหัวใจไม่ไหว ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้รับภารกิจ ‘พิเศษ’ มาก่อน ทั้งยั่วอารมณ์ทั้งลามกน่าจะสนุก ซึ่งตรงกับนิสัยกลัวแผ่นดินไม่วุ่นวายของพวกเขาอยู่แล้ว แถมยังมีโอกาสได้เงินและไม่ต้องกินเจด้วย

 

 

ฟังแล้วดึงดูดใจจริงๆ

 

 

พวกเขาฮือฮาพลุกพล่านทันที พากันถูมือกำหมัดแสดงว่าจะไปให้ได้ นี่เป็นเรื่องชนิดแม้ตายใต้ดอกโบตั๋นก็ยังเป็นผีกรุ้มกริ่ม พวกเขาจะไปกลัวอะไร

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของพวกเขา ดวงตาฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง “พวกเจ้าคิดดีแล้วนะ”

 

 

ต้าสู่ยังคงเยือกเย็นกว่า จึงลองเตือนสติพวกพี่น้อง “เรื่องนี้พวกเราลองคิดอีกทีดีไหม เกิดคุณหนูใหญ่คนนั้นลงมือหนักไปจนมีคนตายจะทำอย่างไร”

 

 

เฝยหลงรำคาญเต็มทนแล้ว “พอแล้ว ต้าสู่ เจ้ามันขี้ขลาดเหมือนหนูจริงๆ กล้าแย่งแม่หม้ายกับคนอื่นแต่ดันกลัวไปขโมยกางเกงในผู้หญิงสักตัว หรือเจ้ารู้สึกว่าตอนเจ้าเป็นชู้กับแม่หม้ายแซ่เหมย เจ้าคุณชายน้อยบ้านติ้งจวินโหวลงมือเบาไปรึอย่างไร ข้าจำได้นาว่าเจ้าถูกตีขาเกือบหักไปข้าง!”

 

 

ต้าสู่หน้าแดงตวาดอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าคิดเผื่อพวกพี่น้องโว้ย”

 

 

เฝยหลงขัดคอเขาจนชินแล้ว ร้องเฮอะกล่าวว่า “เจ้าคิดเผื่อพี่น้องข้าคิดเผื่อตัวเอง เจ้าไม่เจ็บแม้แต่น้อย แต่แผลบนหลังข้าใช่ว่ากินข้าวต้มผักดองจะหายได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พบว่าเฝยหลงพูดจาคารมดีมาก แม้ดูแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวแต่เมื่อวานนี้หลายคนก็โดนเฆี่ยน พอได้ยินเช่นนี้ต่างก็รู้สึก ‘เหมือนโดนตัวเอง’ จึงพากันต่อว่าต้าสู่ ถึงอย่างไรเมื่อวานนี้เขาก็เป็นคนแรกที่ใต้เท้าเชียนจ่งเอ็นดูและไม่ถูกลงโทษแม้แต่น้อยนิด ทำเอาคนที่เดิมเป็นพรรคพวกของต้าสู่ก็ยังหันมาเห็นด้วยกับเฝยหลง

 

 

ต้าสู่โมโหจนตัวสั่น หนวดสองเส้นเหนือริมฝีปากที่ห้อยลงมาสั่นระริก ดูแล้วเหมือนหนูตัวใหญ่ที่ถูกต้อนจนมุม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ข้างๆ กินข้าวต้มช้าๆ ดูพวกเขากัดกันไม่พูดไม่จา หลังดูละครจนพอใจจึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ดูท่าพวกเจ้าตัดสินใจได้แล้ว”

 

 

เฝยหลงตอบเสียงดังทันที “ถูกต้อง พวกเราตัดสินใจเดิมพันสักตั้ง ไม่ได้กินเนื้อมาเดือนกว่าจนปากจืดแล้ว ใครขี้ขลาดก็ช่างมัน พวกเราจะไป!”

 

 

บรรดาคนหยิบหย่งพากันผงกศีรษะ

 

 

ต้าสู่เห็นพี่น้องทุกคนอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น นึกในใจว่าเมื่อวานสังหรณ์ไม่ค่อยดี แต่เขาหมดทางถอยแล้ว จึงได้แต่กัดฟันร้องว่า “ใครว่าข้าจะไม่ไป พี่น้องจะไปกันหมด ต่อให้ต้องโดนทุบตีก็ต้องโดนให้ถ้วนหน้า ไหนๆ เมื่อก่อนโดนลงโทษพร้อมกันหมดก็ใช่ว่าจะไม่เคย”

 

 

เฝยหลงฟังแล้วแสยะยิ้ม กางแขนออกโอบไหล่ของต้าสู่อย่างลำบาก “นี่สิถึงจะเรียกว่าพี่น้อง มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมรับ!”

 

 

ต้าสู่ยิ้มอย่างจนใจ ลูบหนวดสองเส้นเหนือริมฝีปากหัวร่อกล่าวว่า “ได้สิ ในเมื่อคนเฝ้าบ้านของผู้อื่นแข็งแกร่งมาก คุณหนูใหญ่นิสัยเผ็ดร้อน พวกเราคงต้องวางแผนให้ดี ถ้าบรรลุภารกิจได้โดยไม่โดนทุบตีย่อมดีกว่า!”

 

 

เฝยหลงหัวร่อลั่นทันที “แน่นอน ใครละอยากโดนพวกคุณหนูทุบตี!”

 

 

บรรดาคนหยิบหย่งพากันหัวร่อร่วนและตบไหล่ต้าสู่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นพวกเขาท่าทางยินดีและเหมือนมีแผนในใจราวกับได้กางเกงใน ‘คุณหนูใหญ่’ มาแล้ว ลวนลามคนงามและบรรลุภารกิจ ริมฝีปากนางจึงโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจแล้ว ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จนะ ข้าได้เตรียมการรับตัวพวกเจ้ากลับมาไว้พร้อมแล้ว”

 

 

คนพวกนี้เคยชินกับการฉกฉวยโอกาสและปั่นหัวได้ง่ายจริงๆ นางได้แต่ภาวนาขอให้คนหยิบหย่งกลุ่มนี้อย่าโดนฝ่าบาท ‘องค์หญิง’ จัดการจนอนาถเกินไป นางได้เตรียมท่านหมอรักษากระดูกหักและบาดแผลภายนอกไว้หลายคน

 

 

บรรดาคนหยิบหย่งฟังแล้วตาเป็นประกาย พากันถามว่า “จะได้กินโต๊ะเหลาจุ้ยเซียนอีกไหมขอรับ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างน่าลุ่มหลง “แน่นอน มีสิ”

 

 

แต่มิทราบเพราะเหตุใด ทุกคนกลับสยิวกายกับรอยยิ้มนี้

 

 

 

 

ยังคงเป็นวันตลาดนัด หนานอั้นยังคงครึกครื้นเช่นเคย ผู้คนมากมายเหมือนสายน้ำ

 

 

เหลาน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ริมน้ำคนแน่นขนัด คนเล่านิทานพาเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น ดีดสีตีเป่าขับร้องชวนครึกครื้นยิ่งนัก

 

 

คนที่บรรเลงว่าครึกครื้นแล้ว คนที่ชมดูอยู่ข้างล่างครึกครื้นยิ่งกว่า

 

 

มีทั้งพ่อค้าวาณิชแวะผ่าน มีคนที่ว่างจากงานนัดคุยกับเพื่อนหมอดู บัณฑิตตกยากที่เป่าเครื่องเสียงยังมีพวกอันธพาลที่เกกมะเหรก…คนประเภทต่างๆ เยอะแยะไปหมด

 

 

ในห้องชั้นบน เงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่งนั่งบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ขาเรียวยาวที่สวมรองเท้ายาวสีดำยืดตรงข้างหนึ่ง อีกข้างยกพาดบนเก้าอี้ด้านข้าง มือถือถ้วยชากำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ

 

 

หญิงส่งน้ำชาที่เข้ามาส่งของว่างมองดูผู้เยาว์ใบหน้าคล้ำเล็กน้อยคนนี้ พอวางของว่างลงก็กล่าวเบาๆ ว่า “คุณชายเจ้าขา ลองชิมของว่างหน่อยนะเจ้าคะ

 

 

คุณชายเยาว์วัยเงยหน้ามองนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบใจ”

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มที่นุ่มนวลทำเอาหญิงรับใช้ใจเต้น นางหน้าแดงอยากจะพูดอะไร กลับเห็นคุณชายเยาว์วัยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อค้างรอยยิ้มไว้จึงกัดริมฝีปากกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจ” แล้วยกถาดน้ำชาออกไป