บทที่ 262 – มุ่งหน้า (2)
“…ฉันมีคำถาม”
หลังจากเงียบอยู่นานซอลจีฮูก็ถามออกมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“เธอตัดสินใจเรื่องนี้ตอนไหน?”
“ในตอนที่นายยอมรับภารกิจของราชวงศ์ด้วยตัวเอง และสั่งให้ทุกๆคนเก็บของ”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเบาๆ คำว่า ‘สั่ง’ ได้กระตุ้นมโนธรรมของซอลจีฮูจนเขาต้องกัดริมฝีปาก
“หากว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ และขอความเห็นจากทุกคน…”
คิมฮันนาห์ได้เม้มปาก
“ก็อยากที่ฉันพูดไป นายไม่ใช่สมาชิกธรรมดา แต่เป็นหัวหน้า นายมีสิทธิ์ขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ภายในองค์กร นั่นมันหมายถึงตัวแทนขององค์กร”
หรือก็คือการข้ามเรื่องเล็กๆน้อยไปยอมรับภารกิจของราชวงศ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่
“มันก็แค่ว่า…”
ปัญหาก็คือวิธีการใช้อำนาจของเขา
“ฉันหวังว่าอย่างน้อยนายจะรักษาขั้นตอนการจัดประชุมเอาไว้”
แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้ทำมัน เขาได้สั่งให้พรรคพวกทำการเก็บของฝ่ายเดียวหลังจากที่รับภารกิจจากราชวงศ์
ตามปกติแล้วนี่มันไม่ควรจะมีปัญหาเลย แต่เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของคาเพเดี่ยม เขาก็ควรที่จะปรึกษากันก่อน
“การประชุมเป็นการรวมคนเข้ามาเพื่อถกเรื่องต่างๆกัน ต่อให้นายจะรับภารกิจจากราชวงศ์และตัดสินใจจะไปแล้ว แต่ว่าฉันก็ยังมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นของตัวเองต่อหน้าทุกๆคน”
แม้ว่าเธอจะอธิบายอ่อมๆ แต่เธอก็กำลังบอกว่าหากเขาจัดการประชุม เธอก็จะอธิบายแผนให้กับซอลจีฮูฟัง
ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา เขารู้แล้วว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้จะทำแบบนี้แค่เพราะสิ่งที่เขาทำในคืนแรกที่มาถึง มันเพราะว่าเธอได้ยอมถอยที่โรงอาหาร ความไม่พอใจของเธอคงจะระเบิดออกมาในท้ายที่สุด
จริงๆแล้วซอลจีฮูก็ยังไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในวันแรกเลย
กู่ลาได้อนุมัติเขา ไข่ก็ยังสนับสนุน และตัวเขาเองก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ความคิดของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
และนั่นแหละคือปัญหา
มันไม่ใช่ว่าชาวโลกทุกๆคนจะเป็นแบบซอลจีฮู ทุกๆคนต่างก็มีความปรารถนาและความต้องการของตัวเอง เขาไม่ควรที่จะไปบังคับความเชื่อของคนอื่นแค่เพราะการกระทำอันชอบธรรมของเขา
ซอลจีฮูคิดว่า ‘อย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกเรื่องแผนกับฉัน’ แต่สำหรับตัวซอลจีฮูเองก็เป็นเหมือนกัน
[…มันคงจะดีไม่น้อยหากว่านายติดต่อบอกให้ฉันรู้ก่อนผ่านคริสตัลสื่อสาร แบบนั้นฉันจะได้เตรียมตัวรับมือกับวันต่อมา หรืออาจจะช่วยนายได้ด้วยซ้ำไป ทั้งในฐานะของเพื่อนและพันธมิตร]
เขาน่าจะไตร่ตรองคำพูดของฮ่าวอวิ่นให้มากกว่านี้ จริงๆแล้วเขาควรที่จะคิดถึงพรรคพวกที่เชื่อใจเขามากขนาดนั้นก่อน
เขาไม่จำเป็นต้องโน้มน้ามคนอื่นๆเลย อย่างน้อยเขาก็แค่ต้องอธิบายสิ่งที่เขาวางแวนจะทำก็พอแล้ว
มันเป็นอย่างที่คิมฮันนาห์พูดเลย
ในตอนที่ทุกๆคนตามเขามาในคืนนั้น ทุกๆคนคิดอะไรกันอยู่นะ? หากสลับบทบาทกัน เขาจะรู้สึกยังไงนะหากเจอแบบเดียวกัน?
ความคิดมากมายได้เข้ามาภายในหัวของเขา
และไม่นานนัก…
“…ใช่แล้ว”
ท่ามกลางความเงียบอันเย็นยะเยือก…
“ฉันคิดว่าฉันทำพลาดไป”
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา
***
หลังจากการกลับมาของสมาชิกคาเพเดี่ยมที่ได้ไปทำภารกิจของราชวงศ์ก็ได้มีการประชุมถูกจัดขึ้น
มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ หรือมีเรื่องด่วนอะไรที่จำเป็นต้องปรึกษากัน ยังไงก็ตามสิ่งต่างๆก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขไปจนหมด เพราะงั้นมันยังเร็วเกินไปที่จะฉลอง
เพราะคิมฮันนาห์ได้ชี้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของซอลจีฮูมันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ผิด
นอกไปจากนี้ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์มีจุดยืนที่ต่างกัน
แม้ว่าพวกเขาจะทำแบบเดียวกัน แต่อย่างน้อยซอลจีฮูก็มีสิทธิ์ในฐานะของหัวหน้า พูดให้ชัดคือสมาชิกธรรมดาอย่างคิมฮันนาห์ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวแทนองค์กร
ต่อให้พวกเขาจะผิดทั้งคู่ แต่ความเป็นจริงของพาราไดซ์ก็คือเธอจะถูกลงโทษหนักกว่าซอลจีฮู
ผลก็คือบรรยากาศภายในห้องประชุมได้เย็นชาและหนักหน่วง
สมาชิกทีมทั่วไปต่างก็มีสีหน้าซีด โดยเฉพาะโชฮงที่จ้องคิมฮันนาห์ตรงๆ ส่วนทางกล้ามเนื้อบนใบหน้าของฮิวโก้ก็กระตุกอยู่เช่นเดียวกัน
จางมัลดงก็แสดงทีท่าไม่สบายใจ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับแผนของคิมฮันนาห์ แต่นั่นก็เพราะคิมฮันนาห์บอกว่าเธอได้รับอำนาจในการทำหน้าที่ตัวแทนหัวหน้าต่างหาก มันไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นด้วยกับการกระทำของเธอ จริงๆแล้วเขายังแสดงความไม่พอใจด้วยการออกจากการประชุมลับกลางคันอีกด้วย
แต่ถึงแบบนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
มีเหตุผลอยู่สามประกาย คาเพเดี่ยมได้รับประโยชน์อย่างมากเพราะแผนของคิมฮันนาห์ ทุกๆคนรู้ว่าเธอไม่ได้ทำไปด้วยเจตนาร้าย และพวกเขายังจำสิ่งที่เธอได้ประกาศเอาไว้ในระหว่างปาร์ตี้ตอนรับถึงการทำหน้าที่เป็นตัวแทนหัวหน้าในยามฉุกเฉิน
ความจริงแล้วเพียงแค่เรื่องนี้ก็สามารถจะปกป้องในสิ่งที่คิมฮันนาห์ทำลงไปได้แล้ว
ขณะที่ทุกๆคนกำลังคิดอยู่กับตัวเอง ซอลจีฮูก็ค่อยๆพูดขึ้น
“หลังจากมาถึงอีวา…”
เมื่อเขาเริ่มพูด สายตานับสิบคู่ก็หันมามองเขา
“พวกเราผ่านเรื่องต่างๆมากมายมาในเวลาสั้นๆสินะ”
บางคนได้หัวเราะออกมา ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสิ่งต่างๆจะกลายมาเป็นแบบนี้ในทันทีที่มาถึงอีวา
“หากว่ามองในแง่ผลลัพธ์มันยอดเยี่ยมมาก พันธมิตรอีวาได้ถูกทำลาย และความเสียหายของคาเพเดี่ยมก็แทบเป็นศูนย์”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ
“ฉันก็อยากจะพูดว่าทำได้ดีมาก แต่ว่ามันก็ยังไม่จบ นอกไปจากนี้…”
เขาลงเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนที่เราจะก้าวไปต่อ มีเรื่องหนึ่งที่เราต้องคุยกัน”
โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา เมื่อมองซอลจีฮูแล้ว เธอก็รีบสายหัวออกมาเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ต้องพูดอีกแล้ว
มันไม่ใช่ว่าซอลจีฮูมองไม่เห็นสัญญาณนี้ แต่ว่าในโลกใบนี้มันไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสมบูรณ์แบบ จะมีก็แต่คนที่พยายามทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น
แต่เพื่อจะทำแบบนั้นคนเราจะต้องยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเองก่อน หลังจากนั้นเขาถึงจะสามารถก้าวไปต่อได้
แม้ว่าจะเผชิญกับข้อบกพร่องตรงๆก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะแก้ไขได้ และดังนั้นการปกปิดหรือลบเลี่ยงจึงไม่มีทางแก้ได้อย่างแน่นอน
ซอลจีฮูที่รู้แบบนี้จึงพูดออกมาโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
“สำหรับทุกๆคนที่นี่แล้ว การทำสงครามกับกลุ่มพันธมิตรอีวามันค่อนข้าง ไม่สิ มันกระทันหันเกินไป”
มาเรียกับฟีโซราได้พยักหน้าออกมา
“ฉันอยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆที่ยอมตามฉันมาแม้กระทั่งในตอนฉันหัวรั้น และฉันก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน”
ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมา
“นับจากนี้ไปฉันจะติดให้มากขึ้น และฟังความเห็นของทุกๆคน”
เขาพูดเหมือนกับว่าภาระใหญ่ได้ถูกยกออกไปแล้ว หลังจากได้จัดการกับความผิดพลาดของตัวเอง เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอกทุกๆคน”
ซอลจีฮูได้พูดจบเพียงเท่านี้
เมื่อต้องขอโทษในความผิดพลาด คนเราก็ไม่ควรที่จะถือตัวมากเกินไป แต่ก็ไม่ควรจะลดตัวเองให้ต่ำลงเกินจำเป็นเช่นเดียวกัน
ซอลจีฮูได้ขอบคุณทุกๆคนที่ให้การสนับสนุนเขาในเหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ และบอกว่าเขาข้ามขั้นตอนตามที่ควรจะเป็นไป เขาได้ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองออกมา
จางมัลดงได้ค่อยๆหยับตาลง
ในเวลาเดียวกันโชฮงได้กัดฟันจ้องคิมฮันนาห์ สำหรับเธอแล้วมันดูเหมือนซอลจีฮูจะต้องอับอายก็เพราะคิมฮันนาห์ เมื่อเธอที่กลั้นอารมณ์โมโหไม่ไหวและกำลังจะพูดอะไรออกมา-
“ยังไม่หมดนะ”
น้ำเสียงนิ่งสงบได้ดังออกมาในห้องประชุม น่าแปลกที่มาแชล จิโอเนียเป็นคนพูดออกมา เขาได้ยกมือขึ้นเชิงขออนุญาติ ก่อนที่ซอลจีฮูจะพยักหน้า
“คืนแรกมันน่าตกใจอย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับ ผมรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นโรงประมูลผมก็เข้าใจ”
มาแชล จิโอเนียไดด้ลดมือลงและพูดต่อ
“เมื่อผมได้เข้าร่วมทีมนี้ ผมได้คุยเรื่องต่างๆมากมายกับหัวหน้า ท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ก็มีเรื่องทิศทางที่เขาอยากจะให้คาเพเดี่ยมเป็นไป”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา สิ่งที่มาแชล จิโอเนียพูดก็ไม่ได้ผิด แต่ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเอาเรื่องนี้มาพูด
“สุดท้ายทั้งหัวหน้าและผมต่างก็มีเป้าหมายที่ต่างกัน แต่ว่าก็น่าบังเอิญที่เราต้องผ่านกระบวนการเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเข้าทีมนี้ นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขด้วยเช่นกัน”
มาแชล จิโอเนียได้กระแอ่มออกมา
“เพราะงั้นผมจึงเข้าใจในการกระทำของหัวหน้า และสนับสนุนพวกเขา”
ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่ามาแชล จิโอเนียไม่ได้กำลังพูดกับเขาอยู่
“หัวหน้า คุรบอกว่าคุณมีเรื่องที่ต้องคุยกันก่อนจะไปก้าวต่อไปสินะครับ”
นั่นก็เพราะเขากำลังหันไปมองคิมฮันนาห์อย่างเย็นชา
“ผมต้องขออภัยด้วย แต่ผมเชื่อว่ามีอีกสองอย่างที่เราต้องคุยกัน แน่นอนว่าอาจจะมีหนึ่งในสองเรื่องที่ตรงกับเรื่องที่คุณอยากจะพูด แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมจำเป็นต้องพูดก่อน”
ดวงตาสีเทาของเขาที่ดูคล้ายกับหมาป่าได้จ้องไปที่คิมฮันนาห์เหมือนเธอเป็นเหยื่อ
“ก่อนหน้านั้นผมมีหนึ่งสิ่งที่อยากจะถาม คุณคิมฮันนาห์มีอำนาจในการเป็นตัวแทนหัวหน้า แต่ว่านั่นไม่ใช่แค่เฉพาะตอนฉุกเฉินเท่านั้นหรอครับ?”
ในที่สุดก็มาแล้ว
สายตาที่รวมอยู่ตรงซอลจีฮูได้เปลี่ยนไปที่คิมฮันนาห์ คนส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตาวิจารณ์เธอ แต่คิมฮันนาห์ก็ไม่ได้หลบสายตา
กลับกันเธอได้ยอมรับมันอย่างเต็มใจ
“ใช่ นั่นถูกแล้ว”
ในทันทีที่คิมฮันนาห์ยอมรับออกมา มาแชล จิโอเนียก็ได้ใช้โอกาสนี้บุกต่อ
“ผมคิดว่าสถานการณ์ที่มีทั้งการคาดเอาไว้และเตรียมพร้อมมันไม่น่าจะใช่สถานการณ์ฉุกเฉินนะครับ”
น้ำเสียงของเขากระทั่งมีความเป็นปรปักษ์อยู่เล็กน้อย
“ยกตัวอย่างเช่นคุณวิญญาณ จากที่ผมได้ยินมา คุณคิมฮันนาห์ได้คาดเดาถึงการโจมตี และยืมจี้เอาไว้ ต่อให้จะไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ พวกเราก็ยังมั่นใจว่าเธอรู้เรื่องนี้จากข้อตกลงที่เธอทำกับซันเหอเอาไว้อีกด้วย
ปากของคิมฮันนาห์ได้กระตุกเล็กน้อย การโจมตีนี้มันรุนแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้
แต่ว่าเธอก็ได้เตรียมรับมือในกรณีที่แย่ที่สุดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือทีมมันต่างก็มีลำกับชั้นอยู่
แม้ว่าโครงสร้างลำดับชั้นของคาเพเดี่ยมจะดูอิสระและหละหลวม แต่มันจะเป็นคนละเรื่องเมื่อมีซอลจีฮูเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไหนๆ ผู้นำที่ไร้ความสามารถจะถูกวิจารณ์ และผู้นำที่น่าเชื่อถือก็จะได้รับความเชื่อใจ ยิ่งสำหรับคาเพเดี่ยมที่เป็นทีมที่มีความใกล้ชิดกันก็ยิ่งแล้วใหย่
สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากที่ไม่มีใครส่งเสียงบ่นอะไกับการที่ซอลจีฮูข้ามขั้นตอนที่ควรจะเป็นหลังจากมาที่อีวา
“คุณคิมฮันนาห์ได้คาดเดาและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน แบบนี้ยังจะมีใครเรียกว่าเป็นเหตุฉุกเฉินได้อีกหรอครับ?”
มาแชล จิโอเนียก็ยังเป็นตัวอย่างดีด้วยเช่นกัน เหตุผลที่เขาเมินเฉยต่อข้อเสนอจำนวนนับไม่ถ้วนจากหลายๆทีมและหลายๆองค์กร กลับมาเข้าร่วมคาเพเดี่ยมเพื่อชดใช้หนี้ชีวิตของเขา และเหตุผลที่เขาเลือกติดตามซอลจีฮูต่อเพราะเขาเชื่อว่าสักวันซอลจีฮูจะเป็นคนที่ช่วยทำความปรารถนาของเขาให้สำเร็จ
ยิ่งหลังจากสงครามความเชื่อของเขาก็มีแต่เพิ่มมากขึ้น
“อย่างน้อยที่สุดผมก็คิดแบบนั้นไม่ได้”
สำหรับมาแชล จิโอเนียที่เป็นหนี้บุญคุณและคาดหวังกับซอลจีฮูเอาไว้สูงแล้ว สิ่งที่คิมฮันนาห์ชี้ให้เห็นเป็นแค่ข้อผิดพลาด ‘เล็กน้อย’ เท่านั้นเอง
ที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องของมุมมอง
คนประเภทเดียวกันก็จะดึงดูดกัน
แม้ว่าจะมีบางคนเข้าใจในเจตนาของคิมฮันนาห์ แต่ก็มีคนที่ไม่พอใจ และมองว่าการกระทำของเธอเป็นการก้าวก่ายหน้นาที่เช่นกัน
มาแชล จิโอเนียเป็นอย่างหลังกอย่างชัดเจน
ในฐานะคนที่ภักดีและยึดมั่นแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คนอื่นข้ามหัวคนที่เขานับถือไป ต่อให้คนที่เขานับถือจะผิดแบบสุดๆก็ตาม
หากไม่คำนึงถึงเจตนาแล้ว สิ่งที่คิมฮันนาห์ได้ทำลงไปนั้นผิด และมองได้ชัดเจนว่าเธอกำลังปั่นหัวซอลจีฮู
“สรุปอีกครั้งก็คือคาเพเดี่ยมได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างเต็มกำลัง มันไม่อาจจะตีความว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินได้”
นอกไปจากนี้นักธนูเหล็กกล้าก็ได้มุ่งเป้าไปที่คิมฮันนาห์
“และผมมีความคิดส่วนตัวว่าเธอได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆออกมา เธอคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้นับตั้งแต่ที่เปิดเผยแผนให้จางมัลดงกับฮ่าวอวิ่นรู้
ซอลจีฮูคือหัวหน้าที่มีความสามารถ ในเมื่อคิมฮันนาห์บ่อนทำลายบุคคลที่เป็นศูนย์รวมใจของทีม ในตอนนี้เธอก็ต้องชดใช้
“…ใช่แล้ว”
เธอสามารถจะคัดค้านได้หากว่าเธอต้องการ คำพูดที่ว่า ‘ในกรณีฉุกเฉิน’ สามารถจะตีความได้กว้างมาก และเธอก็สามารถจะพูดได้ว่าเธอยืมจี้มาแค่ ‘เผื่อ’ เอาไว้สำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็ได้
“ฉันเห็นด้วย”
ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้เลือกยอมรับตรงๆ แม้ว่าเธอจะขยับตัวหลบปัญหาได้หากต้องการ แต่เธอรู้ดีว่าการทำแบบนั้นจะทำให้คนกว่าครึ่งภายในห้องนี้กลายเป็นศัตรูกับเธอ
นี่มันชัดเจนมาก ในฐานะสมาชิกใหม่ของทีม สายสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆจึงยังไม่ได้แน่นแฟ้นนัก เว้นแต่ว่าเธอจะมีแรงดึงดูดที่เหนือกว่าจางมัลดง หากไม่แล้วเธอก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงการปั่นหัวของซอลจีฮูได้ ต่อให้มันจะเป็นปรารถนาดีก็ตาม
หากว่าเธอคัดค้านตรงนี้ คงอื่นๆก็จะเริ่มมองเธอเป็นศัตรู และคนส่วนใหญ่ภายในห้องนี้ก็คือสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์กร การเป็นศัตรูกับพวกเขามีแต่จะทำให้เธอต้องลำบากมากขึ้นเท่านั้น
ในฐานะที่เธอมีความทะเยอทะยานต้องการทำให้คาเพเดี่ยมเป็นองค์กรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพาราไดซ์ การลงโทษจึงจับเป็นต้องรักาาเอาไว้ซึ่งตำแหน่ง และการสนับสนุนในอนาคตของเธอ
นี่เป็นเหตุผลที่เธอขอรับการลงโทษด้วยตัวเอง
“ฉันต้องขอโทษจริงๆที่เรื่องนี้สร้างปัญหาให้กับทุกคน”
คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับอย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น และพูดต่อ
“ในเรื่องนี้ฉันได้คุยกับหัวหน้าก่อนมาประชุมแล้ว และเขาก็ไดด้ตัดสินที่จะเอาอำนาจส่วนหนึ่งของฉันกลับคืนไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก”
“ส่วนหนึ่งสินะ…”
ทุกๆคนได้หันกลับไปมองที่หัวโต๊ะอีกครั้ง
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา พูดตามตรงเขาไม่ได้อยากจะลงโทษคิมฮันนาห์เลยจริงๆ เพราะรู้ว่าเธอเปล่งประกายสีทอง เขาจึงไม่ได้สงสัยในความตั้งใจของเธอเลย
ซอลจีฮูไม่ใช่ยอดมนุษย์ ถึงแม้ว่าเขาจะกลายมาเป็นตัวแทนองค์กรแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เขาไม่รู้
การประคบประหงมเหมือนที่ซอยูฮุยทำบ่อยๆนั่นมันไม่ถูก หากไม่มีคำพูดรุนแรง และแก้ไขในข้อผิดพลาด เด็กก็จะไม่มีวันโตมาโดยรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร
มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่ปรึกษาคอยหยุดเอาไว้ในตอนที่จำเป็น
ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างหนัก
เธอได้ข้ามเส้นมาแล้ว หากว่าซอลจีฮูบอกว่า ‘ฉันทำผิด และคุณคิมฮันนาห์ก็ทำแบบนี้ด้วยความปรารถนาดี เพราะงั้นให้อภัยเธอเถอะนะ’ นี่มันจะเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายสำหรับองค์กรในอนาคต
เขาไม่อาจจะสร้างความไม่เท่าเทียมโดยการอภัยให้คนหนึ่ง และไม่อภัยให้อีกคนได้ ตัวแทนองค์กรจะต้องมีความเที่ยงธรรม
“ใช่แล้ว”
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา
“ฉันจะเอาอำนาจในฐานะตัวแทนหัวหน้าในสถานการณ์ฉุกเฉินคืนมาจากคิมฮันนาห์ จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบครั้งใหม่ หน้าที่ของเธอก็จะเป็นการบริหารเป็นหลัก”
เขาได้เผยเนื้อหาของการลงโทษออกมาตรงๆ
ดวงตาของมาแชล จิโอเนียได้เป็นประกายขึ้น ตัดสินจากคำพูดนี้เธอได้ถูกดึงลงมาจากตำแหน่งราชินีให้เป็นฝ่ายบริหารแล้ว แม้ว่าเธอยังสามารถให้คำแนะนำหัวหน้าได้โดยตรง แต่เธอก็ไม่อาจจะทำอะไรที่ขัดกับความต้องการกับหัวหน้าได้อีก
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ด้วยการตัดสินใจนี้เหตุการณ์แบบคร่าวก่อนก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก และมาแชล จิโอเนียก็พอใจแล้วเช่นกัน
แน่นอนก็ยังมีสมาชิกหัวร้อนที่ยังคงไม่พอใจจนกว่าเธอจะถูกให้ออกจากทีม หรือถูกบังคับให้ต้องคุกเข่าขอโทษ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ดูจะพอใจกับการตัดสินใจนี้
ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็รู้ว่าแผนของเธอได้กำจัดพันธมิตรอีวาออกไปได้จนหมด และคิมฮันนาห์ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์เกินกว่าที่จะไล่ออกไปได้
“นี่เป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว”
จางมัลดงที่นั่งอยู่เงียบๆมาตลอดได้พูดขึ้น เขาได้หยุดพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ฉันเห็นด้วยกับการลงโทษนี้นะในเมื่อมันจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีก อ่า พวกเราก็ควรจะติดต่อไปหาซันเหอด้วยเช่นกัน”
เขาได้พูดออกมาราวกับเขาเพิ่งจะคิดได้ แต่ทั้งซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ต่างก็รู้ว่าจางมัลดงตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง ในตอนนี้สิ่งสำคัญคือการยุติสถานการณ์เพราะมันมีแต่จะทำให้ทุกๆคนต้องเหนื่อยล้า
“แน่นอน”
ซอลจีฮูได้รับความช่วยเหลือจากจางมัลดงในทันที
“ผมคิดว่าจะติดต่อไปหาพวกเขาในทันทีที่การประชุมจบลง”
ในเหตุการณ์ล่าสุดซันเหอได้ช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าแผนดังกล่างจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีการสูญเสียเลย ในเมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นโล่ให้คาเพเดี่ยม คาเพเดี่ยมก็ควรที่จะขอบคุณพวกเขา
“อืมม”
เมื่อบรรยากาศอันหนักหน่วงได้คลายลงเล็กน้อย จางมัลดงก็พยักหน้าและมองกลับไป
“เอาล่ะ ถ้างั้นตอนนี้… หืม?”
ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆตาเขาก็เบิกกว้างขึ้นมา เขาได้กระพริบตาถี่ๆ ขมวดคิ้ว และเริ่มมองไปด้านข้าง
“นะ นั่นมันอะไรกัน?”
เมื่อจางมัลดงพึมพำอย่างตกตะลึง ทุกๆคนก็หันไปมองตามทันที ต่อมาในสายตาของแต่ละคนต่าก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“…ไข่? มันใช่เจ้าไข่เมื่อตอนนั้นหรือเปล่า?”
ฟีโซราได้พูดออกมาอย่างตกตะลึง ซอลจีฮูก็ยังเบิกตากว้างขึ้นมา
‘เจ้าตัวเล็กมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?’
เขาได้เห็นไข่สีแดงอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามันจะเป็นแค่ไข่ แต่ตัวมันก็นั่งหรือนอนอยู่บนโต๊ะตรงหน้าของทุกคน
ที่ยิ่งน่าตกใจไปอีกก็คือมันได้ขยับไปมาเหมือนกับกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และพยักหน้าเห็นด้วย
แต่เมื่อรู้สึกถึงสายตาของทุกๆคนจู่ๆมันก็หยุดลง และหันมองซ้ายขวา
ฟีโซราได้อ้าปากค้างออกมา
“มันขยับหรอ? มันขยับเองใช่ไหม?”
ความวุ่นวายเล็กๆได้เกิดขึ้น แต่ว่าไข่ก็นอนลงไปบนโต๊ะราวกับไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันเลย มันได้กลิ้งผ่านตรงกลางโต๊ะไปหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮู
จากนั้นมันก็ปรับท่าทางยืดตัวขึ้นมา
“อ่า ฉันก็อยากจะถามมานานแล้ว”
ซอยูฮุยได้ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย
“มันคืออะไรหรอ?”
“อ่า มันคือ…”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าลำบากใจเมื่อเขามองไปที่ไข่ที่จ้องกลับมาที่เขา เขาได้ตอบออกมา
“ไข่ไง”
ผั๊วะ!
ไข่ได้กระโดดโหม่งท้องซอลจีฮูทันที แม้ว่ามันจะไม่ได้เจ็บอะไร แต่ซอลจีฮูก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“อะไรล่ะ? ก็นายเป็นไข่นี่”
ผั๊วะ! หัวโหม่งอีกครั้ง
“..นายเป็นไข่…”
ซอลจีฮูได้ลูบท้องและพึมพำออกมา ซอยูฮุยก็ได้เอียงหัวของเธอ
“ฉันคิดว่ามันกำลังประท้วงว่ามันไม่ใช่ไข่นะ นายไม่รู้ชื่อของมันหรอ?”
ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง เขาจำขึ้นได้ว่าเขาเคยอ่านเรื่องตำนานภูติมา แต่เขาก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรที่มันสำคัญ
เมื่อเห็นไข่เด้งตัวไปมาด้วยความโกรธ เขาก็ค่อยๆพูดขึ้น
“ลูกเด้ง?”
ไข่ได้ผงะไป ซอยูฮุยได้ปิดปากของเธอ
“โอ้? เป็นชื่อที่น่ารักจัง”
“ผมเพิ่งคิดขึ้นมาเอง อาจจะไม่ใช่ชื่อจริงๆ…”
ซอลจีฮูได้ชะงักไปเมื่อเขาเห็นสีของไข่กลายเป็นสีแดงเข้ม มันถึงขนาดเริ่มกระตุกจนเห็นได้ชัด
ซอยูฮุยได้กระพริบตาออกมา
“…ฉันคิดว่ามันไม่ชอบชื่อนั้นนะ”
[ใช่แล้ว มันตัวสั่นเหมือนกับเด็กหนุ่มชนชั้นสูงถูกทำให้ต้องอายเลย]
โฟลนก็ยังเสริมขึ้นมา
จากนั้น แกร๊ก จู่ๆไข่ก็เริ่มร้าว
แกร๊กกกกกก! หลังจากรอยร้าวแรกก็ได้กระจายออกไปเหมือนกับใยแมงมุม ก่อนที่รอยร้าวจะกระจายไปทั่วผิวของไข่ก่อนที่จะมีใครได้ทันสังเกต
ทุกๆคนรวมถึงซอลจีฮูต่างก็อ้าปากค้าง บางคนก็ถึงขนาดลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มันไม่ใครรู้เลยว่าจะต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้
เทพธิดาลูซูเรียได้บอกเอาไว้ว่าไข่จะทำการทดสอบคู่หูสามด่าน
ด่านแรกจะเป็นการอนุมัติห้ใช้หอก สองคือตัดสินใจว่ามนุษย์ควรค่าให้เป็นคู่หูตลอดช่วงชีวิต และสามคือคู่หูมีคุณสมบัติที่จะใช้พลังลับของหอกพิสูจน์หรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่แล้วหัวหน้าตระกูลรอชเชอร์ แทบจะผ่านไม่ได้แม้แต่ด่านแรก
‘ทำไมล่ะ?’
ยังไงก็ตามจู่ๆซอลจีฮูก็ได้ผ่านด่านที่สอง การฝักของไข่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคิดกับตัวเองส่วนที่แตกของไข่ก็ไดด้ตกลงมา และไม่นานนักก็บางอย่างโผล่ออกมาจากรูนั้น