ตอนที่ 265-2 กลับเมืองหลวงอีกครั้ง

ชายาเคียงหทัย

มู่หยางหันมองเหยาจีที่นั่งมองพวกเขาอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงอ่อนว่า “บ่ายนี้ทำอันใดหรือ หากเบื่อจะออกไปเดินเล่นบ้างก็ได้นะ”

เหยาจีส่ายหน้าเรียบๆ “มิได้มีอันใดน่าดู อยู่เป็นเพื่อนเลี่ยเอ๋อร์ที่เรือนนี่แหละ ออกไปก็มีแต่เรื่องไร้สาระ”

ใบหน้ามู่หยางดูมีแววรู้สึกผิด เขารู้ดีว่าตัวนางมิได้เต็มใจกลับมา หากมิใช่เพราะบุตร เกรงว่านางคงไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก เมื่อคิดถึงภาพเมื่อหลายเดือนก่อนที่เหยาจีอุ้มมู่เลี่ยที่ป่วยหนักมาปรากฏกายตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าซูบซีด มู่หยางก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นที่หัวใจ ดังนั้นต่อให้ยามนี้เหยาจีจะมีท่าทีเฉยเมยกับเขา แต่เขากลับรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงมีพวกนางแม่ลูกอยู่ข้างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบแล้ว

เหยาจีมองท่าทางประหนึ่งกำลังเหม่อลอยของเขาแล้วก็หรุบตาลงเล็กน้อย “หลายวันนี้ดูเหมือนท่านจะยุ่งอยู่ไม่น้อย?”

มู่หยางยิ้ม “หลายวันนี้ยุ่งวุ่นวายอยู่บ้างจริงๆ ข้าไม่ได้มากินข้าวเป็นเพื่อนเจ้ากับเลี่ยเอ๋อร์สองวันแล้ว”

นานๆ ทีเหยาจีถึงจะมีใจเอ่ยถามเรื่องของเขาขึ้นมา มู่หยางถือว่านางเป็นห่วงเป็นใยตน รอยยิ้มบนใบหน้าจึงกว้างขึ้นกว่าเก่า และเอ่ยเล่าเรื่องหลายวันนี้ให้เหยาจีฟังโดยมิได้คิดอันใด “เจ้าก็รู้ว่าหลายวันนี้ที่ราชสำนักยุ่งวุ่นวายมากทีเดียว ตระกูลเราภักดีต่อฝ่าบาท แต่ยามนี้…”

ยามนี้อาการประชวรของฮ่องเต้หนักจนน่าเป็นห่วง และยังมองไม่ออกว่า ทางฝั่งตระกูลหลิ่วกับหลีอ๋อง ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ หากจะเลือกข้างในยามนี้ หากเป็นฝ่ายชนะ แน่นอนว่าย่อมดี หากเป็นฝ่ายแพ้ก็คงไม่มีโอกาสกลับมารุ่งเรื่องได้อีก หลายวันนี้ทั้งคนของหลีอ๋องกับคนของตระกูลหลิ่ว ต่างคิดจะลากมู่หยางโหวไปเข้าพวก ถึงแม้มู่หยางโหวจะยังไม่มีปฏิกิริยาอันใด แต่เกรงว่าก็คงจะยื้อไว้ได้อีกไม่นาน ในเวลาเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเลือกที่จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้ มิใช่ว่าไม่อยาก แต่ไม่อาจทำได้

“หลายวันก่อนหน้านี้ได้ยินว่าแม่ทัพเหลิ่งถูกปิดล้อมอยู่ที่ด่านจื่อจิง ยามนี้เมื่อราชสำนักมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้ จะด้วยเพราะคนเป่ยจิ้งได้ล่าถอยไปแล้วหรือไม่” เหยาจีเอ่ยถามเรื่อยๆ ขึ้น

มู่หยางยิ้มขื่นๆ เอ่ยว่า “คนเป่ยจิ้งเตรียมการมาอย่างดี กำลังทหารก็แข็งแกร่ง จะถอยกลับไปง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ยามนี้แม่ทัพเหลิ่งก็ทำได้เพียงฝืนต้านไปจนสุดกำลังเท่านั้น…”

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น มู่หยางก็หยุดใช้ความคิดเอาเสียดื้อๆ

เหยาจีก็มิได้หันมองเขา เพียงหันกลับไปพิงกรอบหน้าต่างพลางเอ่ยว่า “ข้าศึกจะบุกมาประชิดถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ยังมีอันใดให้แย่งชิงกันอีก จะแย่งกันว่าผู้ใดจะได้เป็นประมุขแห่งแคว้นที่จะล่มสลายหรือ”

มู่หยางฝืนยิ้ม เอ่ยกับเหยาจีว่า “เรื่องนี้อย่าได้พูดเหลวไหลไปเชียว” แต่ก็รู้ดีว่า นิสัยของเหยาจีก็เป็นเช่นนี้ แต่ก็อดต่อว่านางเล็กน้อยไม่ได้ แต่ในใจกลับคิดตามคำพูดเมื่อครู่ของเหยาจี สถานการณ์การศึกที่ด่านจื่อจิงอยู่ในช่วงคับขัน หลีอ๋องกับตระกูลหลิ่วต่างสนใจเพียงการแก่งแย่งชิงอำนาจ มิได้สนใจสิ่งอื่น หากด่านจื่อจิงแตกเมื่อใด เส้นทางจากตอนเหนือมายังเมืองหลวง เป็นพื้นที่ราบ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองวัน ทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งก็สามารถยกมาประชิดเมืองหลวงได้ทันที หากในเวลาเช่นนี้ ตระกูลมู่ไปรักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนเช่นเดียวกับตระกูลเหลิ่ง…ก็ไม่แน่ว่าอาจจะปลีกตัวออกจากการแก่งแย่งชิงดีครานี้ไปได้ ขอเพียงรักษาด่านจื่อจิงไว้ได้ ต่อไปไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ตระกูลมู่ก็จะกลายเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่หยางก็ทนรอไม่ไหวอีกต่อไป หันไปเอ่ยเสียงกับเหยาจีและมู่เลี่ยว่า “ข้ายังมีงานต้องไปจัดการ เย็นนี้คงไม่ได้กินข้าวเย็นเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมพวกเจ้าใหม่นะ”

พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปทันที โดยมีเสียงมู่เลี่ยดังไล่หลังมาด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อค่อยๆ เดิน”

เมื่อส่งมู่หยางไปแล้ว มู่เลี่ยที่ฉลาดเฉลียวก็เงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วมองเหยาจีที่ยังคงเอนตัวพิงเก้าอี้อยู่ตรงหน้าต่าง “ท่านคงมิได้ยังชอบพอชายผู้นี้อยู่อีกกระมัง เทียบเขากับผู้บัญชาการฉินแล้ว ถือว่าห่างชั้นกันอยู่มากทีเดียว”

เหยาจีอึ้งไป ยื่นมือไปตบศีรษะเขาให้ทีหนึ่งอย่างไม่เห็นขันด้วย “เจ้ายังเด็ก จะเข้าใจเรื่องชอบพอไม่ชอบพอ ต่างไม่ต่างกันได้อันใดได้”

มู่เลี่ยเบ้ปาก ขมวดคิ้วเข้ม สีหน้าดูมีแววแดกดัน “ข้าย่อมรู้สิ เขามีภรรยาอยู่แล้วแท้ๆ แต่ยังแสดงออกว่าเสน่หาท่านอย่างลึกซึ้ง แต่ยามที่ภรรยากับมารดาของเขารังแกท่าน กลับช่วยอันใดไม่ได้ เป็นแต่จะมาคอยเอาอกเอาใจลับหลัง แม้แต่ภรรยาของตนเองก็ยังจัดการไม่ได้ แม้แต่คนที่ตนเองชอบพอก็ยังปกป้องช่วยเหลือไม่ได้ หากมิใช่คนไร้ประโยชน์แล้วจะเป็นอันใด”

เมื่อเห็นเจ้าเด็กแสบจ้องหน้านางด้วยสีหน้าจริงจัง เหยาจีก็หัวเราะออกมาน้อยๆ “เจ้าวางใจเถิด ข้าแบ่งแยกออกว่าอันใดควรทำ อันใดไม่ควรทำ ติ้งอ๋องกับพระชายามีบุญคุณต่อข้าอย่างใหญ่หลวง ข้าไม่มีทางทำพวกท่านเสียเรื่องหรอก”

มู่เลี่ยถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ “อย่างนี้ค่อยพอฟังได้หน่อย ท่านวางใจเถิด ข้าจะต้องคุ้มครองให้ท่านได้กลับไปพบหน้าลูกอย่างปลอดภัย”

เหยาจีอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้ามากแล้ว”

มู่เลี่ยส่งเสียงหึเบาๆ เบือนหน้าหนีด้วยความขัดเขินเล็กน้อย

เหยาจีหันมองกลับไปนอกหน้าต่าง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ตั้งแต่ยามที่นางอุ้มลูกหนีออกจากเมืองหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่หยางก็ได้ขาดสะบั้นลงแล้ว จากนี้…ต่างคนต่างรับใช้นายของตนก็เท่านั้น

มู่หยางทำอันใดได้รวดเร็ว ไม่รู้ว่ามู่หยางโหวไปเกลี้ยกล่อมคนของทั้งตระกูลหลิ่วและหลีอ๋องอีท่าไหน สามวันให้หลัง มู่หยางก็นำทหารสองแสนนายพร้อมด้วยเสบียงอาหาร ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ด่านจื่อจิงทันที

ก่อนออกเดินทาง มู่หยางยังได้หันไปมองหน้าประตูจวนมู่หยางโหว ที่มีเหยาจียืนจูงมือมู่เลี่ยมองส่งตนอยู่ เขาส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้เหยาจี และไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ในใจมู่หยางก็เกิดกระตุกวาบ เกิดความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างขึ้น เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ไกลเกินกว่าจะมองสีหน้าของเหยาจีได้ชัดเจนแล้ว เห็นแค่เพียงนางกำลังยืนหันมองมาทางตนเท่านั้น และมู่หยางยังได้ยกมือน้อยๆ ขึ้นโบกมาทางตนอีกด้วย

มู่หยางส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา คงเพราะใกล้จะไปออกรบ ถึงคิดมากเกินไปกระมัง

หลายวันหลังจากนั้น ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งอารักขารถม้าคันหนึ่งเข้ามาในเมืองหลวงเงียบๆ รถม้าคันนั้นหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง ทหารเกือบสามสิบนายยืนอารักขากันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับต้องเหลียวมอง

ผ้าม่านของรถม้าถูกเลิกขึ้น ร่างในชุดขาวร่างหนึ่งก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะทิ้งตัวลงยืนกับพื้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันสูดหายใจเข้าปอดด้วยความตกใจกันโดยไม่รู้ตัว

ยามนี้เป็นช่วงปลายเดือนแรกของปีพอดี และเป็นยามที่ในเมืองหลวงยังไม่ทันเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศที่หนาวเหน็บจึงทำให้ผู้คนต่างพากันตัวสั่นเทิ้มขึ้นพอดีเช่นกัน

บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดสีขาวทั้งตัว ท่วงท่าเรียบเรื่อยสบายๆ ประหนึ่งไม่รับรู้ถึงความหนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ทำให้คนต้องเหลียวมองเขามากที่สุด กลับเป็นเส้นผมสีขาวเป็นประกายของเขา ทั่วทั้งใต้หล้านี้ คนที่มีผมขาวทั้งศีรษะแล้วยังคงเปล่งรัศมีเช่นนี้มีอยู่เพียงคนเดียว

ผู้คนที่ลอบมองอยู่นั้น ในใจต่างพากันเต้นตุบๆ ไม่หยุด เพียงแต่ติ้งอ๋องเสียโฉมตั้งแต่อายุยังน้อย จึงปิดประตูไม่ยอมออกมาพบหน้าผู้คน คนในเมืองหลวงที่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไรจึงมีอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นสิ่งที่นึกสงสัย จึงเป็นได้เพียงความสงสัย

เมื่อบุรุษผู้นั้นลงจากรถม้ามาแล้ว ก็หมุนตัวกลับไปยื่นมือให้คนในรถ หญิงสาวที่ก้าวลงมาตามการจับจูง เป็นสตรีรูปโฉมงดงาม ร่างกายห่มคลุมด้วยเสื้อคลุมสีเหลืองอมน้ำตาล ปักลายจิ้งจอกขาว สตรีนางนั้นอายุเพียงยี่สิบปี แต่ท่วงท่าและรัศมีกลับมิใช่สิ่งที่คุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจะสามารถเทียบเคียงได้ แค่เพียงมองจากไกลๆ ก็สัมผัสได้ถึงความสง่างามทั้งยังน่าเกรงขามอีกด้วย

ผู้คนยังไม่ทันได้ตกอกตกใจกับคู่ชายหญิงตรงหน้า ในรถม้า ก็มีใบหน้าเล็กๆ อีกใบหน้าหนึ่งโผล่ออกมาให้เห็น เด็กชายอายุห้าหกขวบในชุดผ้าไหมสีดำหมุนตัวออกมาจากรถม้า ทั้งคอเสื้อและแขนเสื้อต่างปักลวดลายจิ้งจอกขาวเอาไว้ ตัดกับสีดำสนิทของผ้าไหมได้เป็นอย่างดี จึงยิ่งขับให้ใบหน้าขาวอวบน้อยๆ นั้นดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น

เด็กชายตัวน้อยหันไปส่งยิ้มไร้เดียงสาน่ารักน่าเอ็นดูให้กับสตรีนางนั้น ทำให้ผู้คนที่ถึงแม้จะมองมาจากที่ไกลๆ ต่างนึกคันยุบยิบในใจจนอยากจะนำตัวเด็กน้อยน่ารักผู้นั้นมาเป็นของตน

เมื่อเห็นมือน้อยๆ ของม่อตัวน้อยยื่นออกมาทำท่าอยากให้อุ้ม ม่อซิวเหยาก็กันมือเยี่ยหลีที่คิดจะยื่นออกไปไว้ ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ระวังจะหนาว”

ก่อนจะยื่นมือออกไปอุ้มม่อตัวน้อยมาไว้เสียเอง ท่าทางนั้นเรียกไม่ได้ว่าอ่อนโยน ม่อตัวน้อยบิดตัวไปมาด้วยรู้สึกไม่สบายตัว จึงถูกม่อซิวเหยาตีก้นอย่างไม่เบาไม่แรงเข้าให้ทีหนึ่ง

ม่อตัวน้อยจึงยอมนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยาแต่โดยดี เสด็จพ่อน่ารำคาญที่สุดเลย อุ้มไม่เห็นจะสบายเลยด้วย

เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนาวขนาดนั้นที่ไหนกัน”

ถึงแม้นางจะมิได้มีกำลังภายในแก่กล้าเท่าม่อซิวเหยา ที่ถึงแม้ในหน้าหนาวก็ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าให้มากชิ้นขึ้น แต่เยี่ยหลีก็คิดว่าตนทนหนาวได้ดีกว่าคนทั่วไปมากนัก อีกทั้งยามอยู่ซีเป่ยก็ไม่เคยรู้สึกว่าหนาว ในเมืองหลวงก็ไม่มีทางหนาวกว่าซีเป่ยอย่างแน่นอน

เมื่อด้านหน้าประตูเกิดความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตขึ้นเช่นนี้ หลงจู๊ที่อยู่ด้านใน ออกมาต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว แค่เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่า แขกคณะนี้จะต้องร่ำรวยมากอย่างแน่นอน ถึงแม้จะนึกสงสัยที่ม่อซิวเหยามีผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่ก็ยัเชื้องเชิญพวกเขาเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมอย่างเอาอกเอาใจเต็มที่

หลงจู๊ไม่กล้าที่จะเชิญให้แขกไปลงชื่อเข้าพักที่โต๊ะสูงด้านหน้า หลงจู๊จึงเดินนำทางไปพลางเอ่ยไปพลางว่า “คุณชาย ฮูหยิน เชิญด้านในขอรับ โรงเตี๊ยมของข้าน้อยยังมีเรือนชั้นสูงอยู่อีกสองเรือน ไม่รู้ว่าคุณชายกับฮูหยินจะพักเรือนเล็กหรือ…”

ในโรงเตี๊ยมชั้นดีเช่นนี้ นอกจากห้องพักประเภทเทียน ตี้ เหรินแล้ว ยังมีห้องพักที่ดีกว่าห้องพักที่เป็นตัวอักษรเหล่านี้อีก นั่นก็คือเรือนพักเดี่ยว เรื่องราคานั้น แน่นอนว่าต้องแพงกว่าห้องพักตัวอักษรของโรงเตี๊ยมขึ้นกว่าสิบเท่า ซึ่งด้านในจะมีทั้งสาวใช้และบ่าวไพร่อยู่อย่างพรักพร้อม

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เอาทั้งสองเรือน”

ในใจหลงจู๊นึกยินดียิ่ง รอยยิ้มเอาใจจึงยิ่งกว้างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก รีบเอ่ยว่า “ขอรับๆๆ คุณชาย ฮูหยิน เชิญด้านนี้ขอรับ ไม่รู้ว่าคุณชายแซ่อันใดขอรับ ข้าน้อยจะได้ไปลงชื่อให้”

ม่อซิวเหยาหยุดฝีเท้าลง หันไปปรายตามองเขาเรียบๆ “ม่อ ม่อซิวเหยา…”

“คุณชายม่อ ช่างเป็นแซ่ที่ดีนัก…ม่อ…เอ๋…” รอยยิ้มที่ยกค้าง เตรียมจะพูดเอาใจอีกสองสามประโยค ถึงได้รู้ตัวว่า ชื่อม่อซิวเหยานี้ ดูจะมีความพิเศษอยู่ไม่น้อย ดังนั้น เขาจึงถึงกับลื่นลงไปกองกับพื้นทีเดียว

เขาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผมขาวที่ยืนอย่างสูงสง่าตรงหน้า ก่อนเอ่ยจนแทบไม่ได้ยินเสียงว่า “ท่านติ้งอ๋อง?!”

ม่อซิวเหยาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเอง”