ตอนที่ 386 ที่จริงแล้วมันคือกับดัก
เธอมาที่นี่เพื่อมาขอพบพี่เซิน ถ้าเธอผลักประตูเข้าไปข้างในคงไม่เป็นเรื่องผิดอะไรหรอกมั้ง…
ถึงแม้ว่าภายในใจของหลิวเสี่ยวหนิงนั้นจะรู้สึกท้อแท้ แต่เธอก็ยังพยายามข่มความรู้สึกทั้งหมดไว้ เธอมองตะกร้าผลไม้ที่ถือไว้ในมือ ร่างบางยืนครุ่นคิดอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยเพียงครู่นึง และจึงตัดสินใจผลักประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไป
วินาทีที่ประตูบานกว้างถูกเปิดออกนั้นเฉินจุนเหยียนและซูฉิงต่างพากันหันมามองเธอทันที ตามด้วยมือของซูฉิงที่วางอยู่ใต้ผ้าห่มรีบชักออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าคนที่มาเยี่ยมเยือนคือหลิวเสี่ยวหนิง ซูฉิงก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาเพื่อทักทาย “เสี่ยวหนิง เธอมาแล้วเหรอ”
เมื่อเฉินจุนเหยียนเห็นหลิวเสี่ยวหนิงก็มีอาการตกใจเล็กน้อย เฉินจุนเหยียนหันไปมองร่างของซูฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของคนข้างๆ แววตาคมของเฉินจุนเหยียนจึงฉายแววความผิดหวังออกมาเพียงวูบหนึ่ง แต่ก็ยังพยายามฝืนส่งยิ้มหวานไปให้หลิวเสี่ยวหนิง
หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกอึดอัดใจและทำตัวไม่ถูก เธอพยายามปรับอารมณ์และส่งยิ้มกลับไปทักทายคนทั้งสอง “พี่ซูฉิง ฉันมาเยี่ยมพี่เซิน ตอนนี้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เดิมทีซูฉิงอยากจะปลีกตัวออกไปจากตรงนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อหลิวเสี่ยวหนิงปรากฏตัวขึ้นมา เธอจึงคิดว่าควรฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกไป
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับผู้มาเยือนคนใหม่ “ตอนนี้เขากำลังพักฟื้นตัวอยู่ จะว่าไปเธอมาก็ดีเหมือนกัน ยังไงช่วยอยู่เป็นเพื่อนจุนเหยียนหน่อยนะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่บริษัทมีเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการสักหน่อย”
เมื่อพูดจบซูฉิงก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างกายและเตรียมจะบอกลาเฉินจุนเหยียน
เฉินจุนเหยียนอยากจะเอ่ยรั้งไม่ให้ซูฉิงจากไป “เธอ…”
คำที่เขาอยากพูดกับซูฉิงนั้นมันเยอะแยะมากมายจนไม่สามารถพูดจบในวันเดียว แต่ในที่สุดเขาก็ต้องเก็บงำคำพูดเหล่านั้นไว้
ช่างมันเถอะ เขายังมีเวลาที่จะพูดมันกับเธออีกเยอะ
บ้านของยวี๋น่า
“พี่ยวี๋น่า พี่รีบมาดูอะไรนี่สิ!” หลินหนานเลื่อนอ่านข่าวสารในโทรศัพท์อยู่สักพัก คิ้วคมเข้มขมวดเมื่อเห็นข่าวที่น่าสนใจข่าวหนึ่ง เธอจึงเรียกยวี๋น่ามาดู
ยวี๋น่านั้นยังรู้สึกแคลงใจต่อหลินหนานอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกที่มีต่อหลินหนานนั้นค่อยๆลดทอนลงไปกว่าแต่ก่อน เธอค่อยๆก้าวเดินไปหยุดอยู่ข้างๆหลินหนานและเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
หลินหนานยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเธอ หน้าจอโชว์ข่าวฮอตประเด็นดังของวันนี้ “ฮ่อหยุนเฉิงประกาศแต่งงานกับถังรั่วอิง” และในพาดหัวข่าวยังมีรูปภาพของถังรั่วอิงที่กำลังลองชุดเจ้าสาวแนบอยู่อีกด้วย
ยวี๋น่าอ่านข่าวดังด้วยความตกอกตกใจ “นี่มันอะไรกัน ฮ่อหยุนเฉิงจะแต่งงานกับถังรั่วอิง? ”
มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฮ่อหยุนเฉิงไม่ได้กำลังคบหาอยู่กับซูฉิงหรอกเหรอ ทำไมตอนนี้เขาถึงมีข่าวว่าเขาจะแต่งงานกับคนอื่น?
ยวี๋น่าหันไปสบตากับหลินหนานด้วยความงุนงงและสงสัย ที่จริงเขาและเธอคิดจะทำตามคำร้องขอของพ่อกับแม่ที่ท่านทั้งสองอยากให้พวกเขาพักอยู่ที่เมืองHสักสองสามวัน
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เห็นทีว่าจะต้องกลับไปถามถึงเรื่องทุกอย่างจากซูฉิงให้แน่ชัดเสียแล้ว
พวกเขาทั้งสองคนไม่น่าจะเลิกรากันไปง่ายๆแบบนี้แน่นอน
เมื่อลงมติกันแล้วนั้นทั้งสองคนจึงรีบจัดการกลับห้องพักของตนและทำการเก็บกระเป๋าเดินทาง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงทั้งสองก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ยวี๋น่าเป็นฝ่ายบากหน้าไปหาพ่อกับแม่และกล่าวลาท่านทั้งสองด้วยความเร่งรีบ “พ่อคะแม่คะ ตอนนี้ซูฉิงมีเรื่องร้อนใจ หนูกับหลินหนานจำเป็นต้องกลับไปดูเธอหน่อย ถ้าเรามีเวลาว่างเมื่อไหร่พวกเราจะกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่อีกครั้งนะคะ”
……
ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบินภายในใจของยวี๋น่านั้นมีแต่ความกังวล และเมื่อหลินหนานสังเกตุเห็นอาการของคนข้างๆเธอจึงพยายามปลอบประโลมอีกฝ่ายให้คลายความเครียดลง “พี่ยวี๋น่า พี่อย่าเพิ่งกังวลไปเลย บางทีพวกพี่ซูฉิงเขาอาจจะมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่ก็ได้?”
“แต่ฮ่อหยุนเฉิงกำลังจะไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วนะ”ในตอนนี้ยวี๋น่ามีแต่ความวิตกกังวล เธอเอาแต่คิดว่าเธอจะปลอบโยนซูฉิงยังไงดี
“เฮ้อ ช่างเถอะ รอให้เจอซูฉิงก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะปลอบยังไงแล้วกัน”
ยวี๋น่าและหลินหนานใช้เวลาไปทั้งหมดสามชั่วโมงในที่สุดทั้งสองก็ถึงสนามบิน ระหว่างที่อยู่บนรถโดยสาร ยวี๋น่ารีบต่อสายโทรศัพท์หาซูฉิงทันที “ฮัลโหล ซูฉิง ฉันกับหลินหนานกลับมาแล้วนะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอหน่อย”
เมื่อซูฉิงส่งโลเคชั่นที่เธออยู่มาแล้วนั้น ทั้งสองก็รีบมุ่งตรงไปยังสถานที่นั้นทันที
“ปังปังปัง” เสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้นถึงสามครั้ง
“มาแล้ว มาแล้ว” ซูฉิงรีบเปิดประตูต้อนรับหญิงสาวทั้งสอง ภาพที่เธอเห็นคือยวี๋น่าและหลินหนานต่างพากันหอบหายใจด้วยความเหนื่อยร้าอยู่หน้าประตูห้อง
เมื่อซูฉิงเห็นท่าทางของทั้งสองคน เธอก็อดจะลอบยิ้มออกมาไม่ได้ เธอหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพลางเอ่ยถามทั้งสองคน “พวกเธอสองคนมีเรื่องด่วนอะไรขนาดนี้เนี่ย มาเข้ามาดื่มน้ำก่อน”
ยวี๋น่าพยายามจับสังเกตร่างบางตรงหน้าว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ระหว่างนั่งพักได้สักครู่ซูฉิงก็ถือแก้วน้ำผลไม้สองแก้วเข้ามาและยื่นให้เธอทั้งสอง ในขณะที่ซูฉิงกำลังจะวางแก้วลงบนโต๊ะ ยวี๋น่าก็คว้ามือของซูฉิงมากุมไว้
“เธออย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนี้เลย ฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากถามเธอ”
ซูฉิงเผยรอยยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ปกติของเพื่อนรัก “มีอะไรเหรอ? ทำไมเธอต้องดูจริงจังขนาดนั้นด้วย เธอมีเรื่องอะไรเธอพูดออกมาเถอะ”
ยวี๋น่าหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดพาดหัวข่าวที่เธอได้อ่านเมื่อตอนเช้า เธอยื่นมันไปให้ซูฉิงดู “ระหว่างเธอกับฮ่อหยุนเฉิงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความสัมพันธ์ของเธอและเขามันกำลังไปได้ดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้เขาถึงประกาศจะแต่งงานกับถังรั่วอิงแล้วล่ะ?”
“ฉันก็คิดว่าเรื่องด่วนอะไรซะอีก” ซูฉิงถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นพาดหัวข่าว เธอคิดว่าเรื่องที่ทำให้ยวี๋น่าถ่อมาหาเธอที่นี่จะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่ในเมื่อยวี๋น่าไม่ได้รับรู้แผนการของเธออีกฝ่ายก็คงจะตกอกตกใจเป็นธรรมดา
เธอมองสบไปยังใบหน้าของยวี๋น่า ในดวงตาสวยเปล่งประกาย “เธอวางใจได้ นี่เป็นเรื่องที่ฉันและหยุนเฉิงปรึกษากันแล้ว พวกเธอไม่ต้องคิดมาก อีกไม่นานพวกเธอก็จะได้เห็นละครชิ้นใหญ่”
“ปรึกษากันแล้ว?”คำตอบของซูฉิงยิ่งทำให้ยวี๋น่างุนงงมากขึ้นกว่าเดิม ซูฉิงและฮ่อหยุนเฉิงปรึกษาเรื่องอะไรกัน ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรไปหมดแบบนี้
“ฉันจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเธอฟังเอง”
ซูฉิงเล่าเรื่องราวและแผนการทั้งหมดที่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบให้ทั้งสองฟัง เมื่อยวี๋น่าได้ฟังเธอก็คลายความกังวลใจลงเป็นอย่างมาก “เธอดูสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้เธอยังไม่คิดจะบอกให้ฉันรู้ ฉันก็แอบคิดไปว่าฮ่อหยุนเฉิงจะนอกใจเธอซะอีก”
ซูฉิงส่ายหัวพลางเผยรอยยิ้มสวย “ตอนแรกที่ไม่คิดจะบอกพวกเธอเพราะคิดว่ายิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคงจะดูน่าเชื่อถือมากกว่า แต่ในเมื่อพวกเธอก็รับรู้แล้วและละครฉากนี้มันก็ได้ดำเนินขึ้นมาแล้ว เปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
ซูฉิงเอ่ยปากพูดพลางคิดย้อนไปถึงเรื่องบางเรื่องที่เธอเองก็อยากรู้จากทั้งสองคนเช่นกัน เธอสบสายตากลมไปมองสองร่างตรงหน้าพลางเอ่ยปากขึ้น “ตอนนี้พวกเธอสองคนเป็นยังไงกันบ้าง?”
เมื่อได้ยินประโยคคำถามนี้ หญิงสาวทั้งสองคนก็เกิดความรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเพียงเล็กน้อย หลินหนานไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่ส่งยิ้มเล็กๆมาให้ซูฉิง
เขารู้ดีว่าในขณะนี้ยวี๋น่ายังยอมรับในตัวเขาไม่ได้ แต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ควรไปเร่งรัดอะไร เขาควรให้เวลากับเธอ
ยวี๋น่าส่งสายตาตำหนิไปยังซูฉิงและจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูด “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันกับหลินหนานเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้าเธอจะถามถึงเรื่องที่เธอวาดหวังไว้ล่ะก็ เรื่องนั้นฉันยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น และไหนจะยังเรื่อง…”
ยวี๋น่าเอ่ยปากพูดยาวเหยียด และเพียงไม่นานก็หยุดพูดเอาซะดื้อๆ
ซูฉิงเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ฟัง เธอว่าเธอพอจะเดาออกว่ายวี๋น่ากำลังจะพูดอะไรออกมา หลินหนานที่นั่งนิ่งอยู่นานเห็นสถานการณ์ตรงหน้ากำลังดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด เขาจึงเอ่ยปากขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาที่น่าอึดอัด “เราสองคนลงจากเครื่องบินก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ ฉันรู้สึกหิว พี่ซูฉิงพอจะมีอะไรให้ฉันกินบ้างไหม?”
“นายลองไปหาในตู้เย็นดูนะ น่าจะยังพอมีเค้กที่ฉันทำไว้เหลืออยู่”
เมื่อหลินหนานเดินออกไป ยวี๋น่าก็รีบเข้าไปจับมือของซูฉิงและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ช่วงเวลาที่ฉันไม่อยู่ อู๋เทียนเหอเป็นอย่างไรบ้าง? ขาของเขาดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” ซูฉิงพยักหน้าตอบรับ “ช่วงที่พักรักษาตัวเขาค่อนข้างจะให้ความร่วมมือกับคุณหมอในการรักษา ทำให้การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อเป็นไปในทิศทางที่ดี ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสังเกตอาการ แต่คิดว่าคงไม่มีเรื่องน่ากังวลอะไรแล้วล่ะ”