ตอนที่ 118 โชคดี

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 118

โชคดี

 

“ในที่สุดก็ถึงตาข้าสักที” เด็กหนุ่มศิษย์ของชายสวมเสื้อขนสัตว์ว่าพลางกระโดดตัวลอยออกมาจากเก้าอี้ด้วยท่าทีคึกคักอย่างน่าเอ็นดู ท่าทางเด็กคนนั้นจะอยากลงประลองเต็มที่แล้ว

“ไปสิ ไป๋จูเหวิน”หวงหลงว่าพลางกอดอกแน่น หากว่าด้วยพลังของทั้งสองคน ไป๋จูเหวินไม่มีทางแพ้แน่ๆ ขอแค่มันไม่ประมาทผลการตัดสินในการประลองครั้งนี้ก็ไม่ผิดโผอย่างแน่นอน

“พี่ชาย ท่านใช้เนตรจิตอย่างนั้นหรือ”เด็กหนุ่มถามพลางมองไป๋จูเหวินที่หลับตาอยู่

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มรับอย่างอ่อนโยน

“งั้นเหรอ งั้นพี่ก็ใช้วิชาอาวุธลับสินะ”เด็กหนุ่มถามอีกครั้งด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เปล่า ข้าใช้วิชามือเปล่า”ไป๋จูเหวินบอกออกไปตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างไร

“มือเปล่า? ทำไมพี่ไม่ใช้อาวุธลับล่ะ มันเข้ากับเนตรจิตที่สุดแล้วนี่นา”เด็กหนุ่มว่าพลางแสดงสีหน้างุนงงออกมา ท่าทางเนตรจิตจะเป็นวิชาที่ใช้ควบคู่กับวิชาอาวุธลับได้ดีจริงๆ ตั้งแต่อาจารย์ลี่ของสำนักธารโลหิตจนกระทั่งศิษย์ของเหล่ายอดฝีมือยังคิดเห็นตรงกัน แต่น่าเสียดายที่ไป๋จูเหวินไม่ได้สนใจวิชาอาวุธลับนัก แม้จะเคยอ่านมาบ้างและฝึกฝนมานิดหน่อยแต่ก็ไม่เคยใช้ออกมาเลย

“จะเรียกว่าข้าถนัดแบบนี้ก็ได้”ไป๋จูเหวินหัวเราะพลางเดินออกไปที่กลางลานประลอง

“เหรอ..จริงสิพี่ชาย ท่านเลิกใช้เนตรจิตแล้วลืมตาเอาไว้ดีกว่านะ”เด็กหนุ่มว่าพลางนำอาวุธออกมาจากแหวนของตนเอง อาวุธที่มันนำออกมานั้นเป็นโซ่เส้นยาว 2 เส้นที่มีเคียวติดอยู่ที่ปลายโซ่ ช่างเป็นอาวุธที่แปลกตาทีเดียว

ฟุบๆๆๆ เมื่อเริ่มการประลอง เด็กหนุ่มก็เริ่มควงโซ่จนมันหมุนเป็นวงกลม พร้อมเดินไปด้านข้างช้าๆ

ตูม!!! พริบตาเดียวโซ่ของเด็กหนุ่มก็เหวี่ยงตัวเคียวเข้าโจมตีไป๋จูเหวินในทันที แต่ไป๋จูเหวินกลับเพียงเอี้ยวตัวหลบเท่านั้น

“……”อยู่ดีๆไป๋จูเหวินก็สัมผัสพลังของเด็กหนุ่มไม่ได้ ราวกับว่าเด็กหนุ่มลบพลังวิญญาณของตนออกไปจนหมดเสียอย่างนั้น

กึก…. หากเป็นเนตรจิตตามปกติ จะใช้พลังวิญญาณในการจับสัมผัสของอีกฝ่าย ทำให้ผู้ใช้เนตรจิตสามารถตรวจจับเป้าหมายรอบตัวได้อย่างแม่นยำจนดูราวกับว่าคนๆนั้นสามารถมองเห็นได้รอบตัวก็ไม่ปาน เพียงแต่ไป๋จูเหวินไม่ใช่ผู้ใช้เนตรจิตแต่อย่างไร เพราะพลังเนตรของมันมาจากพลังของมารดา ทำให้มันมองเห็นได้รอบตัวจริงๆและยังสามารถสัมผัสสิ่งรอบตัวได้ไกลมากอีกด้วย ทำให้เด็กหนุ่มที่ลบพลังวิญญาณออกไปแล้วเข้ามาโจมตีด้านหลังก็ยังไม่พ้นสายตาของไป๋จูเหวินแต่อย่างไร

“โอ๊ะ…?” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างพลางถอยห่างออกมาจากไป๋จูเหวิน วิชาของมันเป็นวิชาโจมตีที่รวดเร็วและเร้นลับ พริบตาเดียวก็ทิ้งร่องรอยเข้ามาโจมตีจากด้านหลังได้อย่างง่ายดาย แต่กลับโดนไป๋จูเหวินรับได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ

ฟุบ…ร่างของเด็กหนุ่มพลิกกลับพร้อมตะหวัดโซ่ในมือจนโซ่เหวี่ยงเข้าใส่ร่างของไป๋จูเหวินอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไป๋จูเหวินที่ใช้ดวงตาสีแดงแล้วสามารถหลบได้อย่างง่ายดาย

กึก กึก กึก หลังจากใช้โซ่ดึงความสนใจของไป๋จูเหวินร่างของเด็กหนุ่มก็หมุนตัวเข้าด้านหลังก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นโจมตีใส่ไป๋จูเหวินในทันที แต่ไป๋จูเหวินก็ยกแขนขึ้นมาปัดออกอย่างง่ายดาย

“ไม่เลวเลยนี่นา”หัวหน้าถังเลิกคิ้วพลางมองการรับมือของไป๋จูเหวินด้วยท่าทางสนใจ ตัวมันเคยสู้กับอาจารย์ของเด็กหนุ่มมาแล้ว มันเข้าใจดีว่าการลบตัวตนของเด็กหนุ่มทำได้ดีทีเดียว หากเป็นคนปกติคงสับสนกับการโจมตีสลับเปิดสลับปิดพลังวิญญาณเช่นนี้ไปแล้ว แต่ไป๋จูเหวินกลับยังสามารถรับมือได้ราวกับมีตาหลังจริงๆ

“ทำไมเขาถึงมองออกกันนะ”อาจารย์ของเด็กหนุ่มว่าพลางขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ศิษย์ของมันทำได้ดีมาก เรื่องนี้มันไม่ได้เข้าข้างศิษย์ของมันแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นคนอื่นๆที่เคยประลองมาหากเจอเคล็ดวิชาของมันเข้าไปก็ต้องเกิดอาการสับสนหรือพยายามจับทางเสียก่อน แต่ไป๋จูเหวินกลับสามารถรับมือได้ทันทีราวกับวิชาของมันไม่มีผลเสียอย่างนั้น

“นั่นสิ หวงหลง ทำไมเด็กคนนั้นถึงมองออกได้ในพริบตากัน….”หัวหน้าถังว่าพลางกระพริบตามองไป๋จูเหวินอีกครั้ง ตัวมันกว่าจะจับทางได้ก็ต้องอาศัยวิธีเฉพาะตัวนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถมองออกได้อย่างไป๋จูเหวินเลย

“อาวุโส 7 เจ้านั่นกลืนแก่นอสูรอะไรลงไป”หวงหลงเองก็ยังไม่เข้าใจ มันหันไปหาอาวุโส 7 พลางถามนางที่เป็นคนรับไป๋จูเหวินเข้ามา

“ระ เรื่องนั้น…..ข้าไม่ทราบ”อาวุโส 7 ว่าพลางกระพริบตาถี่ๆ แม้วันแรกที่ได้พบไป๋จูเหวินนางจะกำลังง่วงสุดๆก็ตาม แต่นางก็จำได้ว่าไป๋จูเหวินมีพลังอสูรอยู่ก่อนแล้ว เพราะคนที่ไม่รับยาเพื่อหลอมรวมกับพลังอสูรเพราะมีพลังอสูรก่อนจะเข้าร่วมกลุ่มนักล่าอสูรคงมีเพียงไป๋จูเหวินเท่านั้น

“หรือว่าจะเป็นความสามารถของแก่นอสูรแมงมุม”หัวหน้าถังว่าพลางร่วมวิเคราะห์กับหวงหลง

“น่าจะเป็นเช่นนั้น”หวงหลงตอบพลางมองการประลองอย่างสนใจ ท่าทางมันจะตื่งตาไป๋จูเหวินในการประลองครั้งนี้ได้มากทีเดียว

“พอแล้ว ข้ายอมแพ้”อยู่ๆเด้กหนุ่มที่กำลังประลองกับไป๋จูเหวินอยู่ก็ประกาศยอมแพ้ออกมา

“ทำไมล่ะ ข้ายังไม่ได้โจมตีเลยนะ”ไป๋จูเหวินถาพลางเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ข้าโจมตีท่านไม่ได้ แล้วข้าจะไปชนะพี่ชายได้ยังไงกัน”เด็กหนุ่มว่าพลางค้อนใส่ไป๋จูเหวินไปทีหนึ่ง

“นะ นั่นสินะ”ไป๋จูเหวินหัวเราะพลางเดินกลับเข้ามาในที่พักของเหล่าอาจารย์แทน

“ว่าแต่พี่ชาย ท่านทำยังไงถึงมองข้าทันงั้นเหรอ”เด็กชยถามพลางเดินตามไป๋จูเหวินมานั่งข้างๆมันราวกับร่วมเป็นสหายกันแล้ว

“เรื่องนั้นเป็นความลับ”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางหัวเราะออกมาราวกับกำลังหยอกล้อเด็กหนุ่มอยู่ หลังจากนั้นพวกมันก็พูดคุยกันราวกับสหาย พลางวิจารณ์การต่อสู้ของกันและกันอย่างออกรสเสียอย่างนั้น

แต่พวกมันก็พูดคุยกันได้ไม่นาน เฒ่าประทับสวรรค์ก็ประกาศเรียกให้ผู้ชนะไปรวมตัวกันที่กลางลานประลองเสียก่อน

“พวกเจ้าจับเซียมซีคนละอันซะ”ได้ยินเสียงเฒ่าประทับสวรรค์ว่า เหล่าผู้ลงประลองต่างก็มีท่าทีสับสนทันที หรือว่าจะท่านะจให้จับฉลากแข่งใหม่ทุกครั้งเลยงั้นหรือ

“นี่มัน ไม่มีอะไรนี่นา”ชายคนหนึ่งว่าพลางมองเซียมซีในมือของมัน

“จริงด้วย ไม่มีอะไรเลย”ถังซินที่จับเป็นคนถัดไปว่าพลางมองเซียมซีในมือของตน มันเป็นเพียงเซียมซีเปล่าไม่ได้สลักอะไรลงไปเลยแม้แต่คำเดียว

“นี่มัน…”ไป๋จูเหวินมองเซียมซีในมือของตนเองพลางขมวดคิ้ว ทำไมมีแต่ของมันเท่านั้นที่มีการทาสีแดงลงไปที่ปลายเซียมซีกัน….

“โอ้ เจ้าเป็นผู้โชคดีสินะ”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางตบไหล่ไป๋จูเหวินเบาๆ

“โชคดี?”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วงุนงง โชคดีออะไรกัน

“นั่นเพราะมีผู้ชนะอยู่ 11 คน มันไม่ครบคู่ยังไงล่ะ ข้าก็เลยจะให้คนๆหนึ่งขนะผ่านไปรอบวันมะรืนเลย”พูดจบเฒ่าประทับสวรรค์ก็ยิ้มออกมา

“งั้น หมายความว่าข้าไม่ต้องลงประลองในวันพรุ่งนี้งั้นหรือ”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้ว หากมองในเรื่องการแข่งขัน ตัวมันย่อมโชคดีที่ไม่จต้องประลองก็สามารถเข้าถึงรอบลึกๆได้ แถมยังไม่ต้องเปลืองแรงกับการต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือในการประลองรอบวันพรุ่งนี้ด้วย แต่ไป๋จูเหวินกลับรู้สึกเสียดายขึ้นมาเพราะเหล่าผู้ร่วมประลองฝีมือดีกันทั้งนั้น มันเองก็อยากจะทราบว่าตัวมันอยู่ในระดับใดกันแน่

.

.

“…เจ้านี่เป็นที่รักของอสุรจริงๆนะ”ในเช้าวันต่อมา คนแรกที่มาทักทายไป๋จูเหวินไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นหัวหน้าถังเสียอย่างนั้น

“…เรื่องนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบ”ไป๋จูเหวินตอบพลางหัวเราะแห้งๆออกมา อย่างที่ทราบกันว่าพลังดึงดูดอสูรของไป๋จูเหวินรุนแรงมากๆ ทำให้ยามกลางคืนเหล่าอสุรทั้งของกลุ่มนักล่าอสูรและของกลุ่มผู้ฝึกอสูรต่างพากันเข้ามานอนใกล้ๆไป๋จูเหวินกันหมด โดยเฉพาะอสุรทั้ง 4 ของหวงหลงที่มีพลังสูงที่สุดในกลุ่มอสูรทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ราชสีห์ดำของหัวหน้าถังเองก็ตาม ทำให้บริเวณใกล้ๆไป๋จูเหวินนอกจากหลินหลินและหงเยว่ที่เป็นอสูรเลี้ยงของไป๋จูเหวินเองแทบจะมีแต่อสูรระดับสุงทั้งนั้น

“หัวหน้าถัง ท่านมีอะไรงั้นหรือ”เห็นหัวหน้าถังเข้ามาทักแต่กลับไม่พูดอะไร ไป๋จูเหวินก็อดลองถามออกไปไม่ได้ หัวหน้าถังเหม่อมองเหล่าอสุรที่เข้ามานอนราวกับจะแย่งไออุ่นจากไป๋จูเหวินให้ได้ด้วยท่าทีราวกับกำลังใช้ความคิด

“เปล่า…ข้าแค่คิดว่าเจ้าเหมาะกับกลุ่มผู้ฝึกอสูรมากกว่าเท่านั้นเอง”หัวหน้าถังยิ้มพลางมองไป๋จูเหวินด้วยท่าทีเอ็นดู การเป็นผู้ฝึกอสูรการดึดงดูดใจอสุรเป็นเรื่องสำคัญ เห็นไป๋จูเหวินทำให้อสูรรอบกายเชื่องได้เช่นนี้ทำเอามันนึกถึงบุตรชายขึ้นมาเลย

“พี่ถัง ท่านจะดึงตัวคนของข้าหรืออย่างไร”หวงหลงที่ได้ยินการพูดคุยของหัวหน้าถังกับไป๋จูเหวินก็เอ่ยขัดคอขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฮะๆ”หัวหน้าถังหัวเราะพลางเหลือบมองไป๋จูเหวินอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เหมาะกับการเป็นผู้ฝึกอสูรมากกว่าจริงๆ หลังจากจบการประลองแล้วลองชวนมันไปชมเมืองของมันเสียหน่อยก็คงจะดี