บทที่ 82.2 อานอ๋องเฟิงอี้ (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ม้าศึกที่อยู่ใต้อานม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน บนหลังม้านั้นทั้งสองคนกอดกันแน่น บางทีก็ได้ยินเสียงหวานใสเบาๆ ไม่ค่อยชัดนัก

เดิมทีเหยียนหลิงจวินเหมือนแค่จะแกล้งจูบเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอารมณ์พาไปจนต่อเนื่องยาวนาน

จนท้ายที่สุดตอนที่ทั้งสองคนแยกกันนั้นต่างก็หน้าแดงกันทั้งคู่

ฉู่สวินหยางโอบคอของเขาไว้ พลางซุกหน้าตรงอกของเขาและหัวเราะออกมาเงียบๆ

ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้านาง เขาจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ยาก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่รู้จักระวังเนื้อระวังตัว ต่อให้ทีแรกเขาแค่อยากจะลองแกล้งเล่นเฉยๆ ถึงตอนท้ายก็ต้องถูกนางยั่วยวนทุกที

นิสัยของผู้หญิงคนนี้…

พูดถึงก็ทำให้คนทั้งชอบทั้งรู้สึกจนใจอยู่ลึกๆ

เหยียนหลิงจวินแกล้งงอนิ้วดีดด้านหลังศีรษะของนางไปหนึ่งที

ฉู่สวินหยางรู้สึกเจ็บจนร้องออกมา ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเขาจากในอ้อมกอดของเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง

พอสบนัยน์ตาทั้งโกรธทั้งดีใจของนาง เหยียนหลิงจวินถึงจะรู้สึกว่าตนเองตั้งสติกลับมาได้แล้ว เขายกยิ้มมุมปากและขี่ม้าต่อไปอย่างเยือกเย็น

ฉู่สวินหยางก็ไม่ใช่คนใจแคบ แน่นอนว่าชั่วพริบตาเดียวก็ลืมแล้ว นางจัดท่าทางพิงอ้อมกอดเขาให้สบาย นิ้วมือพันสายคาดเอวของเสื้อคลุมขึ้นมาดูไปพลาง แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจไปพลางว่า “เจ้าไม่ค่อยดีใจที่ได้เจอท่านน้าหรือ?”

นางถามอย่างกะทันหัน ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้

เหยียนหลิงจวินไม่ได้รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เขาแค่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ข้าก็ไม่ได้คิดจะหลบเขาไปทั้งชาติแต่แรกอยู่แล้ว”

ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองสีหน้าธรรมดาของเขา นางเม้มมุมปากและยังคงเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าการตายขององค์หญิงหยางเซี่ยนมีเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือว่า…”

ตอนที่องค์หญิงหยางเซี่ยนตาย เฟิงอี้ก็เป็นแค่เด็กอายุสี่ขวบเท่านั้น

หากจะบอกว่าการตายของนางมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับเฟิงอี้จริงก็รู้สึกว่าฟังไม่ขึ้น แต่เห็นน้าหลานเฟิงอี้กับเหยียนหลิงจวินเวลาอยู่ด้วยกันแล้วก็ทำให้ต้องขบคิดอย่างหนักเช่นกัน ดูอย่างไรก็แปลกไปหมด

เหยียนหลิงจวินดึงสายตากลับมาจากที่ไกล พลางก้มมองนางและยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าคิดมากเลย ข้ากับท่านน้าไม่มีอะไรผิดใจกัน เพียงแค่ตลอดหลายปีมานี้ท่านพ่อไม่ต้องการให้ข้าสนิทกับราชนิกุล ข้าก็ต้องรู้สึกห่างเหินกับเขาเป็นธรรมดา!”

คำพูดของเขาเหมือนกับพูดพอให้พ้นไปอย่างชัดเจน

ในเมื่อเขาไม่อยากจะบอก ฉู่สวินหยางก็จะไม่สืบอีกเช่นกัน แล้วก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

ทั้งสองคนคุยเล่นกันไปตลอดทาง เหยียนหลิงจวินไปหยิบบันทึกการตรวจชีพจรมาสองเล่มที่สำนักหมอหลวง แต่เพราะว่าของพวกนี้เอาออกไปตามใจชอบไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงนั่งเปิดอ่านคร่าวๆ อยู่ข้างโต๊ะเลย หลังจากอ่านจบแล้วทั้งสองคนก็กลับทางเดิม

ระหว่างทางกลับฉู่สวินหยางถึงถามว่า “เมื่อครู่เจ้าตรวจดูบันทึกการตรวจชีพจรของใครหรือ?”

“ช่วงนี้ท่านอาจารย์รับผิดชอบไปตรวจชีพจรปกติให้ฝ่าบาทตลอด แต่ทางสำนักหมอหลวงก็ทำบันทึกการตรวจชีพจรอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ด้วยเหมือนกัน คนพวกนั้นทำงาน ข้าไม่ค่อยวางใจจึงถือโอกาสดูสักหน่อย” เหยียนหลิงจวินเอ่ย

สภาพร่างกายของฮ่องเต้ถูกปิดบังจากคนภายนอกมาตลอด บันทึกการตรวจชีพจรของเขาในสำนักหมอหลวงทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม แต่ถึงจะเป็นของปลอมก็เขียนมั่วซั่วไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเหยียนหลิงจวินจึงต้องตรวจสอบอีกรอบถึงจะวางใจได้ จะได้ไม่มีข่าวลืออะไรที่ไม่ดีหลุดออกไป

“ใช่แล้ว ตอนนี้พระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?” พอเอ่ยถึงฮ่องเต้ ฉู่สวินหยางก็อดที่จะถามไม่ได้

“แม้แต่ฝ่าบาทเองยังไม่รู้เลยว่าทรงถูกพิษ พยายามใช้พวกยาและเข็มหินที่ใช้รักษาโรคด้วยการฝังเข็มยื้อเอาไว้อย่างสุดชีวิตมาตลอด ที่จริงแล้วนี่เป็นวิธีฆ่าไก่เอาไข่[1] คงยื้อต่อไปได้ไม่นานนัก แต่จะยื้อไว้ได้ถึงเมื่อไรนั้นทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเองแล้ว” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พอพูดถึงเรื่องฮ่องเต้ถูกพิษ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมาขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และถามออกไปว่า “เจ้าว่า…คนที่วางยาฝ่าบาทจะเป็นฉู่อี้เจี่ยนได้หรือไม่?”

“อาจจะเป็นไปได้!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางเหม่อมองไปทางอื่นไกล ก็ไม่รู้ว่าจิตใจไม่อยู่ทางนี้หรือตั้งใจไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่าทางเขาใจลอยมากทีเดียว

ฉู่สวินหยางเห็นเขาเซื่องซึม ก็คิดแค่ว่าเพราะเขากำลังใช้สมองคิดเรื่องเฟิงอี้อย่างหนัก ดังนั้นจึงไม่รบกวนเขาอีกเช่นกัน

ตอนที่ทั้งสองคนเดินอ้อมกลับมาถึงประตูวังทางทิศใต้อีกครั้งนั้นก็สายไปหน่อยแล้ว

แขกส่วนใหญ่ต่างเข้าไปข้างในกันแล้ว รถม้าของแต่ละตระกูลจอดอยู่นอกประตูวังแลดูเงียบเหงาเหมือนกัน

ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นนั่งเกี้ยวเข้าวังแทน

เวลานี้ในตำหนักนั้นฮ่องเต้และคนอื่นๆ มาถึงกันครบแล้ว

ทั้งสองคนทยอยเดินตามกันเข้าไปในตำหนัก โดยไม่คิดจะปิดบัง แต่กลับเห็นชัดยิ่งกว่าเดิม

ฮ่องเต้ที่กำลังพูดคุยอยู่กับเฟิงอี้และเฟิงเหลียนเซิ่งก็อดที่จะชำเลืองมองมาไม่ได้เช่นกัน สายตาลุ่มลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าสีหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งกลับเคร่งขรึมมากขึ้นในชั่วพริบตา

ถึงแม้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักส่วนใหญ่ต่างคาดการณ์ว่าสองแคว้นอาจจะต้องแต่งงานกันเพื่อแสดงความปรองดอง แต่คนที่รู้จริงๆ ว่าเฟิงเหลียนเซิ่งได้ขอให้ฮ่องเต้มีพระราชโองการว่าเขาต้องการแต่งงานกับฉู่สวินหยางนั้นกลับมีไม่มากนัก และจำกัดอยู่แค่ขุนนางไม่กี่คนเท่านั้น

สถานการณ์ตรงหน้านี้เหมือนจะเกินความคาดหมาย ชายแก่หลายคนต่างก็อดที่จะกวาดตามองไปรอบๆ และคอยสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบๆ ไม่ได้เช่นกัน

“แค่ก…” ฮ่องเต้ไออย่างไม่พอใจ ดึงสติของทุกคนกลับมาและตรัสเสียงสูงว่า “หาโอกาสได้ยากมากที่อานอ๋องกับองค์รัชทายาทแห่งหนานฮวาจะมารวมตัวกันที่นี่อย่างวันนี้ ดังนั้นวันนี้พวกเราจะไม่คุยเรื่องของแคว้น ข้าจัดงานเลี้ยงในฐานะเจ้าบ้าน เพื่อต้อนรับพวกเจ้าสองคน ขุนนางดื่มได้เต็มที่ ทำตัวตามสบาย!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนยกจอกขึ้นพร้อมกัน แล้วตะโกนทรงพระเจริญหมื่นๆ ปีและขอบพระคุณสามครั้ง เช่นนี้ก็ถือว่าเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการแล้ว

ระหว่างงานเลี้ยงนั้นฉู่สวินหยางสงบเยือกเย็นเช่นนี้ตลอด นางพูดคุยและหัวเราะกับฉู่เยว่หนิงที่จงใจนั่งข้างนาง และไม่ถูกบรรยากาศในตำหนักนี้รบกวนแม้แต่นิดเดียว

เฟิงเหลียนเซิ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งทางด้านขวาล่างของฮ่องเต้ แต่กลับเล่นบทที่เขาเรียกว่า ‘เหมือนเป็นคู่หมั้น’ นั้นได้ดีจริงๆ สายตาก็เหลือบมองมาบ่อยๆ

ตอนแรกไม่มีใครสนใจ แล้วก็ค่อยๆ มีคนไม่น้อยเริ่มคาดเดา…

หรือว่าองค์รัชทายาทหนานฮวาคนนี้จะชอบท่านหญิงสวินหยาง?

อีกอย่างก่อนหน้านี้ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ได้เห็นฉากตรงประตูวังแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแขกผู้หญิงที่นัยน์ตาของแต่ละคนต่างสว่างไสวดุจหิมะ สายตานั้นเริ่มค้นหาคำตอบจากทั้งสามคน ฉู่สวินหยาง เหยียนหลิงจวิน และเฟิงเหลียนเซิ่ง ไม่หยุด

เหยียนหลิงจวินยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขายกยิ้มมุมปากอย่างเป็นธรรมชาติ และปล่อยให้พวกเขามองด้วยความเคารพโดยไม่สนใจสักนิด

ฉู่สวินหยางก็เหมือนกับไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียวเช่นกัน นางสนใจแต่จะจัดการเรื่องของตนเองเท่านั้น

ส่วนเฟิงเหลียนเซิ่งที่นั่งอยู่ก็ยิ่งไม่แยแส

ท่าทีของทั้งสามคนยิ่งทำให้คนคาดเดาได้ยาก

เฟิงอี้ยิ้มกว้างมากและมองคดีแสนคลุมเครือระหว่างคนที่เด็กกว่าสามคนนี้อย่างนึกสนุก

หลายปีนี้ ในแคว้นหนานฮวาเหล่าองค์ชายของฉงหมิงตี้ก็ค่อยๆ โตกันหมดแล้วเช่นกัน พวกเขาเริ่มแข่งขันกันด้วยกำลังทหารเพื่ออำนาจการปกครอง แต่เขาที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งอายุพอๆ กันกับองค์ชายเหล่านั้น ก็เป็นแค่อ๋องว่างงานที่ไม่เคยสนใจเรื่องใกล้ตัวเท่านั้น หลายปีมานี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการออกเดินทางไกลอยู่ข้างนอก หากไม่เพราะว่าครั้งนี้ได้ยินข่าวของเหยียนหลิงจวิน เขาก็คงไม่รีบมาที่นี่และยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย

ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็แค่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น

เพราะความสัมพันธ์อันซับซ้อนของคนสามคนที่อธิบายได้ยากเช่นนี้ งานเลี้ยงครั้งนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ ทำให้ทุกคนต่างสนุกสนานคึกคักและไม่รู้สึกเบื่อกันไปเสียก่อน

หลังจากดื่มเหล้าไปสามจอก กลิ่นเหล้าลอยฟุ้งตบอบอวลไปทั่วตำหนัก คนที่ได้กลิ่นก็เหมือนมึนเล็กน้อย

ฉู่สวินหยางเห็นใบหน้าคล้ายจะอ่อนเพลียของเหยียนหลิงจวินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไกลๆ จึงส่งสายตาให้เขาจากที่ไกล

เหยียนหลิงจวินเข้าใจ จึงนั่งอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นขออภัยต่อฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมดื่มเหล้าไม่เก่งนัก จะขอตัวก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เวลานี้ฮ่องเต้ก็เห็นสภาพร่างกายของเขากับตาแล้ว ทว่าหลังจากมองเขาเพียงครั้งเดียวและกำลังจะพยักหน้านั้น กลับเห็นแม่นมคนหนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาจากนอกตำหนัก และล้มลงกับพื้นอย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท แย่แล้วเพคะ พระสนมหรงเฟยคลอดยาก ตัวเด็กติดค้างอยู่ คลอดออกมาไม่ได้เพคะ!”

ทั่วป๋าหรงเหยายังตั้งครรภ์ได้ไม่ถึงสิบเดือน คิดดูแล้วถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด

คลอดก่อนกำหนดแล้วยังคลอดยากอีก?

เป็นความบังเอิญ? หรือว่า…

วางแผนทำร้ายอีกครั้ง?

หากไม่เอ่ยถึง ฉู่สวินหยางเกือบลืมไปแล้วว่าในวังยังมีคนๆ นี้อยู่

ฮ่องเต้มีลูกชายไม่น้อย แต่ก็ให้ความสำคัญกับลูกหลงคนนี้เป็นพิเศษเช่นกัน พอได้ยินเช่นนั้นก็เกือบจะสติแตกและลุกขึ้นยืนทันที พลางตรัสอย่างร้อนใจว่า “หรงเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”

—————————————————–

[1] ฆ่าไก่เอาไข่ หมายถึง ทำลายของชิ้นใหญ่เพื่อให้ได้ของเล็กน้อยมาเป็นประโยชน์แก่ตนซึ่งไม่คุ้มค่ากัน ตรงกับสำนวนไทยว่า ฆ่าช้างเอางา