ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 9 เปลี่ยนแปลง (9)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลิงหลงกลับมาแล้ว ที่มากับนางยังมีตู้หมิ่นหังที่หายใจรวยริน กับตวนผิงและตวนเจิ้ง ศิษย์สำนักเส้าหยางสองคน

 

ทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่โถงกลาง สีหน้าทุกคนล้วนหนักใจมาก ตวนเจิ้งยืนอยู่กลางโถง กำลังบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทางมานี้

 

“อาจารย์หญิงเห็นอาจารย์ไปเกาะฝูอวี้นานไม่กลับมาสักที ได้ยินว่าเกาะฝูอวี้เกิดเรื่อง ดังนั้นจึงส่งศิษย์ทั้งสองคนออกมาช่วย ที่เขาเกาซื่อซานได้พบศิษย์น้องหมิ่นหังกับหลิงหลง หมิ่นหังไม่รู้ถูกผู้ใดทำร้ายบาดเจ็บ สาหัส ศิษย์น้องหลิงหลงเอง…ก็ดูไม่ปกติ ข้าทั้งสองคนค้นหารอบเขาเกาซื่อซาน ไม่พบว่ามีคน ไม่กล้าเสียเวลาเดินทาง ดังนั้นจึงได้รีบเร่งมายังที่นี่”

 

ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วแน่น ย่อตัวลงข้างๆ ดรุณีน้อยชุดแดงเบื้องหน้า สีหน้านางไร้ความรู้สึก ไม่ขยับกายแม้แต่น้อย ราวกับหุ่นไม้ เป็นหลิงหลงที่หายตัวไปนาน! เสวียนจีคว้ามือนางไว้ เอาแต่เรียกนางไม่หยุด นางกลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง นอกจากกะพริบตาปริบๆ เป็นบางครั้ง นางแทบเหมือนกับก้อนหิน

 

“ท่านพ่อ…หลิงหลงนาง?” เสวียนจีเห็นฉู่เหล่ยตรวจชีพจรนางเสร็จ อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้

 

ฉู่เหล่ยเงียบงัน ยกมือขึ้นโบกเบื้องหน้าหลิงหลง กล่าวเบๆ ว่า “หลิงหลง ได้ยินเสียงพ่อไหม”

 

นางยังคงนิ่ง หน้าตานิ่งตึง

 

เสวียนจีแทบอยากจะร้องไห้ คว้ามือนางไว้แน่น ไม่รู้ทำเช่นไรดี ฉู่เหล่ยถอนหายใจส่ายหน้า เจ้าหุบเขาหรงข้างๆ เข้ามาดูอาการหลิงหลง ลูบศีรษะนางสองที ตกใจเล็กน้อย “วิธีการร้ายกาจมาก!”

 

ฉู่เหล่ยร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรงรู้ว่าเกิดอันใด?”

 

เจ้าหุบเขาหรงพยักหน้า กำลังจะอธิบาย พลันนอกประตูมีคนเร่งร้อนวิ่งเข้ามาสามคน เป็นพวกอวี่ซือเฟิ่ง จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้เพิ่งเปลี่ยนชุดศิษย์เกาะฝูอวี้ออก ล้างคราบเลือดบนใบหน้าออกลวกๆ ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกอันใดก็รีบมา

 

จงหมิ่นเหยียนพอได้เห็นหลิงหลงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดแดง ในใจอดสะดุ้งไหวไม่ได้ รีบวิ่งเข้าไปทันที “หลิงหลง! หลายวันนี้เจ้าไปไหนมา” เขาถามติดๆ กันหลายคำ นางกลับไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ แม้แต่ขนตาก็ไม่ขยับ

 

เขาตกใจอย่างยิ่ง มองไปยังเสวียนจี นางอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องร้องไห้ออกมา พึมพำกล่าวว่า “หลิงหลงนาง…นางไม่รู้เป็นอะไร…ไม่ขยับ ไม่พูด…”

 

จงหมิ่นเหยียนตกใจยิ่ง ได้แต่ยกมือโบกไหวๆ เบื้องหน้าหลิงหลงไม่หยุด ร้องเรียกอย่างร้อนใจว่า “หลิงหลง! เจ้าอย่าทำคนตกใจ! เป็นอะไรไป?!”

 

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หมิ่นเหยียนอย่าเสียงดัง! ฟังเจ้าหุบเขาหรงพูด!”

 

เขาหุบปากทันที มองไปยังชายชรามากประสบการณ์อย่างหมดแรง พลันนึกถึงสภาพน่าอนาถของพี่โอวหยางในคุก ในใจเขาอดหวาดกลัวและแอบหลบเลี่ยงไม่ได้

 

เจ้าหุบเขาหรงย่อมไม่ใส่ใจท่าทางประหลาดของศิษย์รุ่นเล็ก กล่าวต่อว่า “นี่เรียกว่าคาถาเรียกจิตญาณ เป็นคาถาระดับสูงอย่างมากคาถาหนึ่ง ปกติมักจะเป็นพวกขมังเวทร่ายคาถาลอบสังหาร พวกเจ้าก็รู้ว่าคนเรามีสามจิตและเจ็ดญาณ ดังนั้นจึงทำให้พูดได้ โลดเต้นได้ มีความรู้สึกทั้งเจ็ดและความรับรู้ปรารถนาทั้งหก แต่หากสองจิตหกญาณในนั้นถูกดึงออกไป เหลือเพียงหนึ่งจิตหนึ่งญาณ คนย่อมไม่ตาย แต่ไม่อาจพูดได้ ไร้ความรู้สึก ไม่ต่างอันใดกับคนตายไปแล้ว”

 

ทุกคนได้ยินพากันตกใจ จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เช่นนั้น…มีทางแก้ไขไหม?!”

 

เจ้าหุบเขาหรงนิ่งเงียบกล่าวว่า “วิธีแก้ไขก็พอมี แต่หาคนที่มีวิชามนตร์ดำสูงส่งเช่นนี้ไม่ได้ ขอเพียงนำสองจิตหกญาณเด็กคนนี้กลับมาได้ ใช้วิชาเดียวกันนำกลับคืนร่าง ก็ย่อมฟื้นคืนได้…แม้ว่าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดทำเช่นนี้ และต้องการทำเพื่ออะไร แต่คนมีวิชามนตร์ดำเช่นนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย คนปล่อยวิชานี้ย่อมไม่คิดช่วยนาง ดังนั้น…”

 

ยามนี้แม้แต่ฉู่เหล่ยเองก็ทนต่อไปไม่ไหว ร่างเริ่มโงนเงน อวี่ซือเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามาประคองเขาไว้ จงหมิ่นเหยียนอึ้งมองหลิงหลง นางไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ดวงตาดำขลับ ริมฝีปากแดง แต่ไม่มีไอชีวิตแม้แต่น้อย ดวงตานั่นไม่อาจถลึงตาจ้องใส่เขาอย่างโมโห ปากงามนั่นก็ไม่อาจเปล่งวาจาทำให้ใจเขาโลดเต้น

 

เขาไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนี้ได้ เริ่มจากพี่โอวหยาง ตามมาด้วยหลิงหลง ตอนนี้เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆ เท่านั้น อยากจะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปให้ไกล จากนั้นก็ฝังตนเองลงใต้พื้นดินลึกที่สุด ไม่ต้องออกมาอีกเลย เช่นนี้ก็จะไม่เจ็บปวดทรมานตลอดไป

 

“ข้าไปหา!” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเขา ทุกคนพลันหันกลับไป เห็นเสวียนจียืนนิ่งอยู่ที่นั่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไปหาสองจิตหกญาณของหลิงหลงกลับมาเอง! ข้าไปหาคนมาช่วย! ข้าต้องช่วยนางให้กลับคืนมาให้ได้!”

 

ทุกคนคิดไม่ถึงเว่าปกติดรุณีน้อยที่แสนเกียจคร้านและดูแล้วเหม่อลอยอยู่สักหน่อยถึงกับกล้าหาญเช่นนี้ ฉู่เหล่ยรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้า “เสวียนจี นี่ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ใต้หล้ากว้างใหญ่ เจ้าไปหาจากไหน?”

 

เสวียนจีกัดริมฝีปาก กล่าวจริงจังว่า “ขอเพียงค่อยๆ หาไป ต้องหาเจอแน่! ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไร ข้าต้องพาหลิงหลงกลับมา!”

 

อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า “ข้าไปด้วย”

 

เสวียนจีมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ เขายิ้มตอบกลับนางเล็กน้อย เพียงรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกว่าไม่ว่ายากลำบากเพียงใด มีซือเฟิ่งอยู่ข้างกาย ก็ย่อมต้องผ่านไปได้แน่ เขาเป็นเทพที่พึ่งพิงของนางโดยแท้

 

จงหมิ่นเหยียนขยับปาก ลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปด้วย ไม่ว่ายากลำบากเพียงใด แม้ต้องตาย ก็ต้องหาให้พบ”

 

ฉู่เหล่ยกำลังจะกล่าว กลับถูกเสียงครางข้างๆ ดังแว่วมาหยุดไว้ คนหนึ่งพึมพำกล่าวว่า “ศิษย์พี่…ที่นี่คือ…?”

 

กล่าวถึงตู้หมิ่นหังที่แต่ต้นมาเอาแต่สลบไสลนั้น ตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉู่เหล่ยรีบเข้าไปประคองตัวเข้าไว้ กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นหัง ข้าเอง อย่าขยับ บาดแผลเจ้าเพิ่งจะพันแผลเสร็จ”

 

ตอนตู้หมิ่นหังถูกตวนผิงและตวนเจิ้งพากลับมา ก็เหมือนว่าร่างจะท่วมไปด้วยเลือด ทั้งตัวมีรอยบาดแผลนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นบาดแผลเล็กและบาง ราวกับเป็นอาวุธที่คบกริบอันใดสักอย่างทำร้าย

 

เขากะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ได้สติคืนมาบ้าง พลันคว้ามือฉู่เหล่ยไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “อาจารย์! เขาเกาซื่อซาน…มารปีศาจพวกนั้น…จับหมิ่นเจวี๋ยไป…ศิษย์น้องหลิงหลงนางสูญเสียจิตญาณไปแล้ว!”

 

ฉู่เหล่ยตกใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด!”

 

ตู้หมิ่นหังหอบหายใจหนักหน่วง ตามมาด้วยอาการไอไม่หยุด เสวียนจีรีบส่งน้ำชาไปที่ริมฝีปากเขา เขาดื่มไปสองอึก ก็รู้สึกว่าแววตาเขาจ้องมองตนเองเขม็ง ในแววตานั้นมีความรู้สึกอันใดบางอย่างที่วนเวียนผูกพัน แม้ว่านางไม่เข้าใจกระจ่างสักเท่าไร แต่ก็อดมือกระตุกไม่ได้ น้ำชาหกรดหน้าอกเขาเกือบครึ่ง

 

กว่าอาการจะสงบลงได้ก็นานไม่น้อย เขากล่าวเบาๆ ว่า “อาจารย์ส่งข้ากับหมิ่นเจวี๋ยกลับสำนักเส้าหยาง ตอนพวกเราผ่านเขาเกาซื่อซาน เดิมคิดจะลองค้นหาศิษย์น้องหลิงหลงว่าอยู่ไหม ผู้ใดจะรู้ว่า…ไปปะทะเข้ากับมารปีศาจกลุ่มนั้น ร้ายกาจมาก ศิษย์ต่อสู้กับพวกเขาไม่ไหว อันตรายเกือบเอาตัวไม่รอด จากนั้นศิษย์น้องหลิงหลง…ไม่รู้วิ่งออกมาจากที่ไหน นางราวกับรู้จักกับหัวหน้าปีศาจนั่น ตะโกนด่าทอเขาเสียงดังให้เขาปล่อยข้ากับหมิ่นเจวี๋ย ผู้ใดจะรู้ว่า…คนผู้นั้นเพียงแค่ยิ้มเยียบเย็น กล่าวประโยคเดียวว่า ถึงเวลาแล้ว จากนั้นไม่รู้ทำอันใดกับศิษย์น้องหลิงหลง ศิษย์น้อง นางเปลี่ยนไปทันที…ราวกับกลายเป็นหุ่นไม้ คนผู้นั้นจับตัวหมิ่นเจวี๋ยไป ยังทำร้ายศิษย์บาดเจ็บ ให้ศิษย์นำวาจามาถึงอาจารย์ บอกว่า…บุญคุณความแค้นวันวานถือว่าสิ้นสุดกัน ไม่ช้าไม่เร็วเขาจะทำลายสำนักเส้าหยางให้ราบ…ทำลายโซ่หมุดทะเล…”

 

ทุกคนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกแปลกใจ คนผู้นั้นกล่าวว่าบุญคุณความแค้นวันวาน หรือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นฉู่เหล่ย? แต่ฉู่เหล่ยเป็นเจ้าสำนักเส้าหยาง นิสัยเข้มงวด แต่ไรมาทำอะไรก็ยุติธรรมเปิดเผย ไม่ค่อยได้มีความแค้นกับผู้ใดนัก แท้จริงผู้ใดกันที่กล่าววาจาโหดเ**้ยมคิดจัดการสำนักเส้าหยาง ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกับมารปีศาจที่คิดวางแผนทำลายโซ่หมุดทะเล รู้แล้วว่าศัตรูคือผู้ใด ต้องการช่วยหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยก็ง่ายขึ้นมากแล้ว

 

เสวียนจีพลันมองไปยังเจ้าหุบเขาหรง กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าหุบเขาหรง ครั้งก่อนท่านบอกกับปีศาจตนนั้นว่า รังเดิมพวกเขาอยู่เขาปู้โจวซาน ใช่หรือไม่?”

 

เจ้าหุบเขาหรงพลันสะดุ้ง วาจาเขาที่กล่าววันนั้นเป็นวาจาแนบชิดใบหู นอกจากปีศาจนั่นไม่ควรมีผู้ใดได้ยิน รองเจ้าตำหนักผู้นั้นบางทีอาจมีวิธีไม่เหมือนใครแอบฟังได้ก็แล้วไปเถอะ ตอนนี้เด็กหญิงเบื้องหน้าถึงกับได้ยินได้ด้วย ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตกใจเท่าไร

 

นางกล่าวออกไปเช่นนี้ ฉู่เหล่ยเองก็อดมองเขาไม่ได้ เห็นชัดว่าเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่ารังปีศาจนี่อยู่ที่เขาปู้โจวซาน

 

“เจ้า…” เขาถึงกับไร้วาจาจะกล่าว

 

เสวียนจีถามว่า “จริงหรือไม่”

 

เจ้าหุบเขาหรงจ้องมองนางเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “ไม่ผิด…ข้าเองก็ได้ยินมา แต่ความจริงเป็นเช่นไร ไปแล้วจึงรู้”

 

เสวียนจีกล่าวว่า “ข้าจะไปเขาปู้โจวซาน พาศิษย์พี่รองกับจิตญาณหลิงหลงกลับมา!”

 

พวกจงหมิ่นเหยียนพากันรับคำ แต่ละคนกำหมัดแน่น แทบอยากจะรีบเหินไปยังเขาปู้โจวซานทลายรังมารปีศาจพวกนั้นให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง

 

ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลวไหล! อาศัยความสามารถพวกเจ้า จะต่อสู้กับมารปีศาจพวกนั้นได้อย่างไร อย่าลืมเจ้าเกาะตงฟางยังบาดเจ็บสาหัสภายใต้กระบี่มารปีศาจ! เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าไปก็มีแต่ไปตายเปล่า!”

 

เขากล่าวได้มีเหตุผลมาก พอคิดถึงเจ้าเกาะตงฟางที่ยังบาดเจ็บสาหัสลุกจากเตียงไม่ได้ ก่อนหน้าที่ฮึกเหิมก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไปก็มีแต่ไปตายเปล่า แต่ไม่ไป หลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยจะทำเช่นไร

 

ฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “เรื่องนี้ต้องวางแผนให้ดีก่อน ไม่อาจวู่วาม! ยามนี้รักษาสำนักเส้าหยางไว้ อย่าให้มารปีศาจบุกทำลายจึงเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง เขาปู้โจวซานนั่น ผู้ใดก็ห้ามไปทั้งนั้น!”

 

เสวียนจีจ้องมองเขานิ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ในใจท่านพ่อ ชีวิตบุตรสาวกับศิษย์ถึงกับเทียบหน้าตาสำนักเส้าหยางไม่ได้หรือ”

 

ฉู่เหล่ยในเวลานั้นโมโหสุดขีด ยกมือคิดจะตบหน้านาง แต่พอเห็นแววตานางไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงลุกโชน ฝ่ามือนั้นไม่ว่าอย่าไรก็ฟาดไม่ลง เขาค่อยๆ วางมือลง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ใช่หน้าตา! แต่เป็นเรื่องความเป็นความตาย! เจ้าคิดอยากให้สำนักเส้าหยางเป็นเหมือนสำนักเซวียนหยวนที่ถูกกวาดล้างสำนักหรือ ชีวิตคนหลายร้อยคนเทียบกับสองคนแล้ว อะไรหนักอะไรเบา? เจ้าคิดไม่เข้าใจหรือ”

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เข้าใจ เรื่องโซ่หมุดทะเล พวกท่านรู้ดี หากแต่ไรมากลับไม่ยอมเอ่ยถึง ยังปิดบังมาระบายใส่ผู้อื่น…ข้าไม่รู้ว่ามารปีศาจอันใดที่ถูกขังอยู่ ร้ายกาจเพียงใด ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเราต้องรักษาโซ่หมุดทะเลไว้ให้ได้ แต่ข้ารู้ว่าเป้าหมายพวกเขาก็เพียงแค่ทำลายโซ่หมุด ไม่ใช่ทำลายล้างสำนัก”

 

ฉู่เหล่ยอดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หน้าตาบึ้งตึงดำคล้ำ ฝ่ามือหนึ่งฟาดเชิงเทียนไม้แดงข้างๆ เชิงเทียนนั่นแหลกเป็นชิ้นร่วงกระจายเต็มพื้นทันที

 

“เรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจยังมีอีกมาก!” เขาน้ำเสียงเฉียบขาด “เจ้าไม่เข้าใจว่าหากมารปีศาจนั่นถูกปลดปล่อยออกมา สรรพชีวิตจะต้องตายอีกมากมายเท่าไร! ยิ่งไม่เข้าใจว่าห้าสำนักใหญ่รวมเป็นหนึ่งรากฐานเดียวกัน และที่ปกป้องนั้นคืออันใด! เจ้าไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง กลับมาโต้เถียงกับข้าอยู่ตรงนี้ เสวียนจี! เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”

 

กล่าวจบทั่วบริเวณพลันเงียบกริบ ทุกคนล้วนมองเสวียนจี หวังว่านางจะยอมแพ้ กล่าววาจาอ่อนลงสักสองสามคำ ผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางเพียงแค่ยิ้มบาง กล่าวเบาๆ ว่า “หากมารปีศาจสังหารคนแล้ว ค่อยสังหารมันต่อก็ได้ มันไม่ได้ทำผิดอะไร เหตุใดต้องสังหาร ข้าไม่ยอมเอาชีวิตหลิงหลงกับศิษย์พี่รองไปแลกกับสิ่งที่ไม่แน่นนอนเหล่านั้น สรุปข้าจะต้องช่วยพวกเขาให้ได้”

 

“เจ้า…” ฉู่เหล่ยแทบจะเตะนางออกไป อย่าได้เจอหน้าอีกเลยตลอดไป

 

เจ้าหุบเขาหรงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ “พอแล้ว น้องฉู่อย่าได้โมโห เด็กน้อย เจ้าก็พูดน้อยหน่อย! เรื่องนี้ใหญ่หลวง ไม่ใช่เวลาที่เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าจะมาเหลวไหล เจ้าเองก็เคยลิ้มรสฝีมือมารปีศาจพวกนั้นแล้ว ก็อย่าได้คิดเอาชนะละทิ้งสำนักเส้าหยาง นับประสาอันใดกับภารกิจศิษย์รุ่นเยาว์เช่นพวกเจ้าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้ หากเป็นงานชุมนุมปักบุปผา ก่อนหน้างานนี้ ผู้ใดก็อย่าได้คิดก่อกวน ดึกมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อน ให้ศิษย์พี่ใหญ่พวกเจ้าได้พักรักษาตัว”

 

เสวียนจีเองก็รู้ว่าตนกล่าวเกินไปแล้ว เดินไปถึงหน้าประตู พลันหันกลับไปกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่คิดละทิ้งสำนักเส้าหยาง ข้าแค่คิด…ทุกคนล้วนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนได้ อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ดังนั้น…เรื่องหลิงหลงข้าไม่ละทิ้งแน่ สำนักเส้าหยางข้าเองก็ไม่ละทิ้งแน่นอน”

 

ฉู่เหล่ยสีหน้าบึ้งตึง พลันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด โบกมือไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง