บทที่ 275 ฆ่าหมาป่าทมิฬ
ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หมาป่าทมิฬที่กระโจนมาหาหลัวซิวทุกตัว ร่วงลงบนพื้น เลือดไหลนองเหมือนน้ำ หน้าผากละเอียดเป็นผุยผง
จากตัวสำนึกราชายุทธ์ขั้น2 ของหลัวซิวในตอนนี้ ใช้วิชาลับจู่โจมวิญญาณในพลังก่อรวมวิญญาณ สามารถฆ่าตัวหยังรู้ของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิได้อย่างง่ายดาย
ส่วนฝึกจิตขั้นกลางขึ้นไป โดนการโจมตีจู่โจมวิญญาณ ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส
ยิ่งไปกว่านั้น ผลการฝึกตนของหลัวซิว อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น7 เจอกับหมาป่าทมิฬที่พละกำลังแข็งแกร่งสุดแค่ฝึกจิตระดับ5 แน่นอนว่ามีพละกำลังในการบดขยี้
ตู้ม!
หลัวซิวเข้าไปใกล้หมาป่าทมิฬฝึกจิตระดับ5 ตัวหนึ่ง ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า กระบี่ยุทธ์ด้านหลังยังไม่ออกจากฝัก เขาเหวี่ยงหมัดออกไป แสงกระบี่เปลวไฟดำก่อตัวพุ่งออกไป ฟาดฟันลงบนตัวของหมาป่าทมิฬอย่างรุนแรง
ตัวของหมาป่าทมิฬโดนฟันจนแยกเป็นสองส่วน เลือดทะลักออกมา เลอะเต็มพื้นที่รกร้าง
นี่เป็นการบดขยี้ของพละกำลัง ภายในเวลาอันรวดเร็ว ถูกบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีโอกาสให้ตั้งตัว โดนฆ่าตายในพริบตา
ระบบนักยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรกาย ล้วนเคร่งครัดกับระดับขั้น ผู้ที่มีแดนฝึกตนสูง ก็สามารถบดขยี้ผู้ที่ต่ำกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หลัวซิวไม่เพียงแต่มีแดนฝึกตนสูง แถมยังเป็นคนประหลาด ที่สามารถท้าประลองฆ่าคู่แข่งข้ามขั้นได้อีกด้วย
หลัวซิวปรากฏตัวในระยะเวลาสั้นๆ การต่อสู้ได้จบลงแล้ว
หมัดเดียวระเบิดหมาป่าทมิฬสิบกว่าตัว
ฆ่าหมาป่าทมิฬสิบตัวภายในระยะเวลาสั้นๆ
ฆ่าหัวหน้าหมาป่าทมิฬระดับฝึกจิตขั้น5 3 ตัว ได้ภายในสามหมัด!
เจอหลัวซิวที่มีพละกำลังบดขยี้ฝึกจิต แดนใหญ่เช่นนี้ ฝูงหมาป่าทมิฬ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนี
ขณะนั้นหลัวซิวหันหน้ามาช้าๆ สายตาหยุดลงที่หลินเจียเอ๋อร์ ที่โดนนักยุทธ์สิบกว่าคน คุ้มกันอยู่ตรงกลาง
นักยุทธ์หอหย่งชางจำนวนมาก ล้วนมีสีหน้าตระหนก เพราะชื่อเสียงดุดันในภายนอกของหลัวซิว ฆ่าคนนับไม่ถ้วน ขืนมีเจตนาไม่ดีขึ้นมา พวกเขาคงต้านทานไม่ได้
หลัวซิวสังเกตเห็นสีหน้าของคนพวกนี้ แต่เขาไม่สนใจ เพราะบนโลกนี้ บางครั้งก็จำเป็นต้องทำให้คนกลัวคุณ จะได้ไม่ถูกใครก็ได้มาหาเรื่องคุณ ลดความวุ่นวายไปได้มาก
บางครั้งก็จำเป็นต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ และบางครั้งการไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ ก็ทำให้คนเข้าใจว่ารังแกได้ง่าย
คนอื่นจะมองเขายังไง หลัวซิวไม่สนใจสักนิด เขาฆ่าคนเยอะมากก็จริง แต่ก็เป็นคนที่สมควรโดนฆ่า ไม่ได้ทำผิดต่อเจตนาของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ในตำนาน มีคนไหนที่ไม่ได้เหยียบย่ำศพนับไม่ถ้วน เพื่อขึ้นไปยังจุดที่แข็งแกร่ง มีใครไม่หวังเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดบ้าง
“ขอบใจ……” หลินเจียเอ๋อร์เดินเข้ามา เอ่ยขอบคุณ
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” หลัวซิวถามอย่างสงสัย
เขตการปกครองโตว้ไห่ห่างจากสถานที่รกร้างทางเหนือมาก ถึงนั่งค่ายวาร์ป ก็ต้องใช้เวลาเดือนกว่า กว่าจะมาถึง
ถ้าบอกว่ามาฝึกประสบการณ์ที่สถานที่รกร้างทางเหนือ บริเวณเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็มีสถานที่เหมาะสมมากมาย ให้ปรมาจารย์ฝึกจิตฝึกประสบการณ์
นี่จึงเป็นจุดที่หลัวซิวสงสัย
“ฉันมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ถึงที่เขตการปกครองโตว้ไห่ ก็มีที่ให้ฝึกประสบการณ์ แต่ถ้าเทียบกับสถานที่รกร้าง ยังห่างชั้นกันสักหน่อย” หลินเจียเอ๋อร์พูด
สถานที่รกร้างทางเหนือ เป็นสวรรค์ของอสูรกาย เพราะพื้นที่แห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากร ไม่มีอำนาจไหนเลือกมาสร้างฐานที่นี่ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ที่นี่จึงกลายเป็นถิ่นของฝูงอสูรกายนับไม่ถ้วน
เพราะบนโลกใบนี้ นักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ก็ยังครอบครองตำแหน่ง ภายใต้การไล่ล่ากดขี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้พื้นที่การใช้ชีวิตของอสูรกายลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำได้เพียงใช้ชีวิตในพื้นที่ขาดแคลนเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานที่รกร้างที่เคยขาดแคลน เพราะมีอสูรกายอาศัยอยู่ กลับกลายเป็นพื้นที่ล้ำค่า ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบของอสูรกาย!
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกล กลั่นยา หรือหลอมอาวุธ หลอมสมบัติ ในนั้นมีหลายวัตถุดิบ ที่ต้องเอาจากตัวอสูรกาย วัตถุดิบพวกนี้มีอยู่ประจำตัวอสูรกายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีนักยุทธ์จำนวนมาก มาออกล่าที่สถานที่รกร้างทางเหนือ
อำนาจใหญ่ต่างๆ ในประเทศเทียนหวู ก็ส่งนักยุทธ์มาสร้างทีมล่าที่นี่เหมือนกัน ล่าอสูรกาย เพื่อเก็บวัตถุดิบต่างๆ โดยเฉพาะ
เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงและโอกาสมั่งคั่งเป็นของคู่กัน อสูรกายที่นี่เยอะ วัตถุดิบก็เยอะ ความเสี่ยงและอันตรายก็มากเช่นกัน
ในสถานที่รกร้าง มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เรียกว่าเมืองร้าง
บนแผนที่ที่หลัวซิวได้มา ทำเครื่องหมายที่ตั้งของกำแพงเมืองนี้เอาไว้ ระยะห่างจากที่นี่ประมาณร้อยลี้ หมิงต๋ากะจะหนีออกไปขอความช่วยเหลือที่เมืองร้าง
หลัวซิวจะไปตำแหน่งที่มีภูตอัคคี ก็ผ่านเมืองร้าง จึงร่วมทางไปกับหลินเจียเอ๋อร์
ระหว่างทางไปเมืองร้างข้างหน้า นักยุทธ์หอหย่งชางสิบกว่าคน ไม่กล้าเข้าไปคุยกับหลัวซิว จอมยุทธ์ใหญ่พรสวรรค์ที่ชื่อว่าหมิงต๋า ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นหลัวซิว เมื่อรู้แล้ว ก็มีสีหน้าระแวดระวัง แววตามีความเคารพและหวาดกลัว
มีเพียงหลินเจียเอ๋อร์ ที่คุยกับหลัวซิวเป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องในแดนปริศนา เธออยากรู้เป็นอย่างมาก
เมืองร้าง อยู่กลางป่า กำแพงเมืองสูงและหนาแข็งแรง มีลายเส้นสัญลักษณ์ค่ายกล สลักอยู่ข้างบนนับไม่ถ้วน
อีกทั้งบนกำแพงเมืองยังมีรอยกรงเล็บและเขี้ยวบางส่วน เห็นได้ชัดว่ากำแพงเมืองนี้ ผ่านทั้งลมฝนและการต่อสู้เข่นฆ่ามาเป็นเวลานาน
เพราะที่นี่เป็นเมืองร้าง นักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ สร้างกำแพงเมืองที่นี่ มักจะโดนอสูรกายจู่โจม
ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ หอหย่งชางเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามอำนาจใหญ่ แต่ถ้าอยู่ในประเทศเทียนหวู ไม่ถือว่ามีอำนาจเท่าไร
ในเมืองร้างมีอำนาจเยอะมาก ราวกับแต่ละอำนาจล้วนมีธุรกิจที่นี่ แบ่งปันผลประโยชน์ ในสถานที่รกร้างที่เต็มไปด้วยอสูรกาย
ในเมืองร้าง หอหย่งชางมีร้านค้าหนึ่งร้าน ทำธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุดิบอสูรกาย มีปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งหมดสี่ท่าน มีจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น8 และขั้น9 ยี่สิบกว่าคน มักจะไปล่าอสูรกายลึกลงไปในที่รกร้าง เพื่อล่าวัตถุดิบ
“ในเมืองร้างไม่มีนักหลอมอาวุธเหรอ” เมื่อหลัวซิวเข้ามาในเมือง จึงถามหลินเจียเอ๋อร์
เธอมาฝึกประสบการณ์ในสถานที่รกร้าง ประมาณหนึ่งปีแล้ว ค่อนข้างเข้าใจสภาพการณ์ของที่นี่
การที่ถามเรื่องนักหลอมอาวุธ เพราะหลัวซิวอยากหลอมกระบี่ยุทธ์ ที่เหมาะสมกับตัวเอาสักเล่ม ถึงกระบี่ยุทธ์ที่เขาใช้ตอนนี้ เป็นขั้นดินกลาง ระดับสูงมาก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง
สำหรับนักยุทธ์แล้ว นักยุทธ์ที่เก่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่ระดับยิ่งสูงยิ่งดี แต่ยิ่งเหมาะสมกับตัวเอง ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ในปัจจุบันวิชาหลอมอาวุธได้สูญหายไปแล้ว หลัวซิวจึงทำได้เพียงใช้สิ่งที่มีไปก่อน ตามหาความช่วยเหลือจากนักหลอมอาวุธ
เขาเป็นทั้งนักกลั่นยากับนักค่ายกล ควบคู่กันสองประเภท แต่มีเพียงการหลอมอาวุธ ที่เขาไม่เชี่ยวชาญ
“นายอยากหลอมนักยุทธ์เหรอ” หลินเจียเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าในเมืองมีปรมาจารย์หลอมอาวุธอยู่ท่านหนึ่ง แต่นิสัยของเขาค่อนข้างประหลาด……”