ตอนที่ 244 ขโมยกางเกงใน (5)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ต้าจ้วงจึงตื่นจากความฝันรีบก้มลงหยิบเงิน หลังเก็บเสร็จแล้วก็ซุกไว้อย่างรอบคอบและคลายมือจากเฝยหลง จากนั้นก้าวไปขอบคุณอย่างขวยเขิน “ขอบคุณพี่ชายทั้งสองที่ประทานให้ ข้าน้อยเห็นท่านทั้งสองก็รู้แล้วว่าท่านเป็นคนดี ข้าน้อยมีเรื่องจะบอกท่านด้วยนะ…”

 

 

เห็นต้าจ้วงจะชิดใกล้เหมือนหลิวอ่อนต้องลม ดวงตาองครักษ์ทั้งสองฉายแววเย็นเยือก พริบตาที่ต้าจ้วงเข้าใกล้ กระบี่ยาวในมือก็หลุดจากฝักพาดที่คอของต้าจ้วง “หาที่ตาย!”

 

 

ท่าทางเคร่งขรึมของพวกเขาเดิมทีก็น่ากลัวอยู่แล้ว บัดนี้ยังมีกลิ่นอายของการฆ่าฟันด้วย ต้าจ้วงตกใจจนตัวแข็งในพริบตา

 

 

เดิมทีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนนี้ตั้งใจจะขู่ให้ขอทานสองคนนี้ไปเสีย เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ก็คิดว่าบรรลุตามเจตนาแล้ว นึกไม่ถึงว่าแม้จะข่มขู่ได้ผล ทว่า…

 

 

“โอยๆ โอยๆ…ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!” ต้าจ้วงพลันกรีดร้องดังลั่น

 

 

องครักษ์สองคนตกใจสะดุ้งโหยง จะอย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าเสียงร้องของบุรุษจะแหลมสูงขนาดนี้ ราวกับกรีดสู่ฟากฟ้า

 

 

เสียงกรีดร้องนี้ดึงดูดสายตาคนที่เดินไปมาอย่างรวดเร็ว ต่างพากันเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนไหนเลยจะเคยเจอะเจอคนเหลวไหลเช่นนี้ จึงไม่รู้จะทำอย่างไร พากันตวาดว่า “ฆ่าคนที่ไหน หุบปาก!”

 

 

แต่พวกเขายิ่งตวาด กลับแลกมาซึ่งเสียงกรีดร้องแหลมกว่าเดิม “ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!”

 

 

องครักษ์สองคนมองหน้ากันและรู้สึกว่ามิเป็นการเสียแล้ว แต่ต้าจ้วงยังคงกรีดร้องไม่หยุด ราวกับเจอะเจอเรื่องเอน็จอนาถสุดแสน คนที่มองดูก็มากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์

 

 

นี่ช่างไม่สอดคล้องกับคำสั่งของใต้เท้าซวงไป๋ที่ให้ทำตัวเงียบๆ เลย!

 

 

และแล้วยามนี้ประตูใหญ่พลันเปิด แอ้ด เงาสีขาวอีกร่างถลันออกมา เป็นอีไป๋เอง เขาคลุมหน้าด้วยแพรดำปกปิดใบหน้างดงามไว้ เพียงเผยดวงตาคู่หนึ่งที่วาววับ

 

 

“นี่มันอะไรกัน ใครมาเอะอะแถวนี้!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่บนหอสูงมองผ่านกล้องส่องทางไกลเห็นถนัดตา มุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ละครฉากสำคัญจะเริ่มแล้วกระมัง มิรู้ว่าฝ่าบาท ‘องค์หญิง’ จะออกโรงไหมหนอ

 

 

ที่หน้าประตูบ้าน องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนทั้งสองรายงานต่ออีไป๋อย่างย่นย่อ อีไป๋มองต้าจ้วงที่กรีดร้องอย่างเย็นชา “หุบปาก!”

 

 

อีไป๋เป็นหัวหน้าองครักษ์ค่งเฮ่อเจียน ราศีและพลานุภาพไม่ธรรมดา กลิ่นอายบนกายเหมือนคมดาบเย็นเยียบ ข่มเอาต้าจ้วงหยุดร้องฉับพลันเหมือนไก่โต้งถูกบีบคอ กลืนเสียงกรีดร้องลงไปอย่างแข็งขืน

 

 

ต้าจ้วงกับเฝยหลงสยิวกายพร้อมกัน รู้สึกว่าคนคลุมหน้าที่อยู่เบื้องหน้านี้เย็นเยือกจนน่ากลัว โดยหารู้ไม่ว่ากลิ่นอายเย็นเยือกรุนแรงนี้เป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของมือสังหารที่ฆ่าคนมานับพัน ไม่เช่นนั้นต่อให้ยืมหัวใจเสืออีกร้อยดวงก็ไม่กล้ามาตอแยแน่

 

 

อีไป๋เห็นพวกเขาหุบปากก็กวาดตาเย็นชาใส่คนที่มุงดู “ไปเสีย หรือใครคิดจะอยู่เป็นเพื่อนกับไอ้สองคนนี้”

 

 

คำพูดเปี่ยมด้วยการคุกคามหนาวเหน็บ พริบตานั้นคนที่มุงดูก็กระจายหายไปราวฝูงนกฝูงสัตว์แตกฮือ

 

 

บุรุษชุดขาวหลายคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี กลิ่นอายบนตัวถ้ามิใช่พวกมิจฉาชีพก็ต้องเป็นองครักษ์ของเจ้าใหญ่นายโตแน่ พวกเขาก็แค่คนเดินถนน จะไปออกหน้าให้ขอทานสองคนหาอะไรกัน

 

 

ครู่เดียวคนที่มุงดูก็หายไปหมด

 

 

เฝยหลงกับต้าจ้วงตะลึงอยู่กับที่

 

 

ส่วนอีไป๋หรี่ตามองคนทั้งสอง “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไร พูดความจริงหรือไม่ก็ตาย!”

 

 

ต้าจ้วงกับเฝยหลงรู้สึกตนเองเหมือนแพะแกะที่ถูกพยัคฆ์ร้ายจับจ้อง สยิวกายในพริบตา

 

 

บุรุษเบื้องหน้าคนนี้มิได้ขยับดาบหรือกระบี่ แต่พวกเขารู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้พูดเล่นเด็ดขาด

 

 

เฝยหลงมองดูต้าจ้วงที่ไม่กล้าพูดและตกใจจนปัสสาวะเกือบราด ก็นึกด่าต้าจ้วงในใจและสรรเสริญบรรพบุรุษชิวเยี่ยไป๋แปดชั่วโคตรรอบหนึ่ง ใช้สอยพวกเขาเหมือนชาวนาที่ไม่ประสีประสาหรืออย่างไร แม้พวกเขาจะทำตัวเหมือนอันธพาลชั้นต่ำอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่อยู่ดี

 

 

เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่องครักษ์ของบ้านพ่อค้าสักนิด เย็นเยือกน่ากลัว ใต้เท้าเชียนจ่งแกล้งพวกเขาอีกแล้ว กลิ่นอายเช่นนี้นอกจากพวกเจ้าใหญ่นายโตแล้วก็ไม่มีอื่นอีก ใต้เท้าคงมิใช่ต้องตาคุณหนูใหญ่บ้านขุนนางใหญ่กระมัง

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม บัดนี้พวกเขาได้แต่เลยตามเลย ดั่งธนูที่น้าวศรแล้วอย่างไรก็ต้องยิง ต่อให้เป็นองค์หญิงของฮ่องเต้ พวกเขาก็ต้องเอากางเกงในไปให้ได้!

 

 

เฝยหลงเดิมเป็นคนรั้นอยู่แล้ว พอพบว่าไม่ถูกต้องก็มิได้คิดจะหนี ยังคงกระโผลกกระเผลกเข้าอิงตัวต้าจ้วง เท่ากับบีบให้ต้าจ้วงพาตนเข้าใกล้อีไป๋

 

 

“พี่ชายท่านนี้ พวกเราหากินข้างถนน ที่มาตรงนี้ก็เพราะมีคนไหว้วาน จึงย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่ไหว้วาน” เฝยหลงปั้นหน้าประจบประแจง

 

 

อีไป๋ฟังแล้ว ดวงตาเย็นเยียบคมกริบหรี่ลง “ใครไหว้วานและให้ทำอะไร”

 

 

เขารับฟังเรื่องการจัดการกับโจวอวี่และราชครูของเจ้านายจากซวงไป๋ ดังนั้นพอเห็นที่ประตูผิดปกติ ก็สงสัยว่าเป็นคนที่ชิวเยี่ยไป๋ส่งมา จึงสู้ยอมอดทนฟังคำพูดเหลวไหลของสองคนนี้ ไม่เช่นนั้นคนที่บังอาจมาเอะอะหน้าบ้านเจ้านายต้องถูกทุบจนสลบแล้วโยนลงแม่น้ำ

 

 

เฝยหลงเห็นได้ทีจึงชิดเข้าไปอีก ทำทีลึกลับ “เป็นผู้เยาว์ที่หล่อเหลาทีเดียว เขาให้พวกเรามาพาหลวงจีนผมขาวคนหนึ่งไป ยังมีเพื่อนเขาอีกคนเป็นบุรุษเช่นกัน เขาบอกว่าถ้าพวกเราพาคนที่นี่ไป นอกจากจะตกรางวัลเงินคนละร้อยตำลึงแล้ว พวกท่านก็จะให้พวกเราอีกคนละร้อยตำลึงด้วย”

 

 

ภายใต้สายตาของอีไป๋ ต้าจ้วงรู้สึกตะครั่นตะครอ พอเห็นเฝยหลงพูดเช่นนี้ก็นึกด่าในใจ ไอ้อ้วนจอมโลภเอ๋ย ใต้เท้าเคยพูดเสียที่ไหน ไม่รีบทำให้แล้วเรื่อง ยามอันตรายเช่นนี้ยังอุตส่าห์จะโกหกพกลมหาเศษหาเลยอีก!

 

 

อีไป๋งงงันเลิกคิ้ว “เงินหนึ่งร้อยตำลึงหรือ”

 

 

ตามภาวะขณะนี้เงินยี่สิบตำลึงเท่ากับค่าใช้จ่ายของครอบครัวขนาดเล็กหนึ่งปีทีเดียว ชิวเยี่ยไป๋หน้าใหญ่ใจโตเกินไปแล้วกระมัง

 

 

แต่ในเมื่อเจ้านายสั่งไว้แล้ว…

 

 

อีไป๋โบกมือ สั่งองรักษ์ค่งเฮ่อเจียนคนหนึ่ง “ไปบอกข้างในเตรียมหน่อย พาคนออกมาและเตรียมเงินไว้สองร้อยตำลึง”

 

 

องครักษ์ผู้นั้นผงกศีรษะรับคำสั่งแล้วเข้าไปด้านใน

 

 

เฝยหลงเห็นท่าทางยอมรับอย่างง่ายดายของอีไป๋พลันนึกเสียดาย ดูท่าเขาเรียกน้อยไปหน่อย น่าจะเรียกสักสองร้อยตำลึง

 

 

ครู่หนึ่ง องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนผู้นั้นก็ออกมาพร้อมด้วยตั๋วเงินสองใบและคนอีกหนึ่งคน เขามอบตั๋วเงินให้อีไป๋และกล่าวว่า “เจ้านายบอกว่าให้โจวอวี่ออกมาก่อน ส่วนไต้ซือช้าหน่อย”

 

 

อีไป๋มองดูโจวอวี่ที่ท่าทางมึนงง ดวงตาหม่นลงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเหมือนบอกต่อให้เฝยหลงกับต้าจ้วง “พวกเจ้าได้ยินแล้วสินะ”