ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 241 ปากไม่เป็นมงคล

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“จอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์…” ภายในกระท่อม เยี่ยนจ้าวเกอหวนนึกย้อนถึงศัตรูที่เมื่อสักครู่สัมผัสได้ว่าจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ รวมถึงรูปแบบการหายใจขับพิษของอีกฝ่าย มุมปากของเขาพลันคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม “คนรู้จักเก่ากระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะเล็กน้อย เก็บความคิดลง แล้วตั้งสมาธิจมอยู่ในภวังค์การหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนอีกครั้ง

ขนบนปีกเซียนกระเรียนทุกๆ เส้นยามนี้กำลังสั่นไหวเล็กน้อย ขนนกทุกเส้นล้วนราวกับสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่มีชีวิตอยู่โดยจริงแท้

ระหว่างขนนกกระเรียนแต่ละเส้น ต่างส่งเสียงนกกระเรียนร้องดังใสกังวานออกมา เสียงยิ่งดังสนั่นก้องขึ้นเรื่อยๆ ตามการหลอมกลายสภาพของเยี่ยนจ้าวเกอ

ในที่สุด เสียงนกกระเรียนร้องก็ทุ้มต่ำลงไป แววตาเยี่ยนจ้าวเกอทอประกายแวบ ปีกเซียนกระเรียนเปลี่ยนเป็นเงียบสงบโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเสื้อคลุมขนกระเรียนตัวหนึ่งที่พาดคลุมอยู่บนร่างของเขา

ครานี้ไม่มีผู้ได้ขัดขวางเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เขาจึงกวาดมือ ของหลากชิ้นบนโต๊ะเตี้ยรวมถึงศิลาเซียนส่องชะตา ต่างก็ตกมาอยู่ในมือกำมือของเขาทั้งสิ้น

ชายหนุ่มยืนอยู่ในกระท่อม ค้อมคำนับทางกระท่อมครั้งหรึ่ง “ท่านผู้อาวุโสชาวกระเรียนล่องลอย เยี่ยนจ้าวเกอขอขอบคุณ ณ ที่นี้”

เขาสวมคลุมอยู่ด้วยเสื้อคลุมขนกระเรียนออกจากกระท่อม ก่อนจะเห็นสนามต่อสู้ที่อยู่ด้านนอกกระท่อมแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

ในยามที่มหาปรมาจารย์ปิดใบหน้าที่กลายเป็นมารผู้นั้นหลีกหนี คู่ต่อสู้ทั้งสามของอาหู่ ต่างก็รู้สึกเยียบเย็นลึกๆ ในใจเช่นกัน

การหลีกหนีของมหาปรมาจารย์ผู้นั้น อธิบายได้ว่าเขาไม่มีความสามารถจะล้มเยี่ยนจ้าวเกอได้

ส่วนชายร่างสูงใหญ่ที่เสมือนกับเสือหิวโซจริงๆ ก็ไม่ปานตรงหน้า ผู้ต่อสู้ต้านศัตรูสามเพียงลำพังก็ยังคงครองความได้เปรียบ โจมตีจนพวกเขาจนยากรับมือขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าจะใจเต้นกับของวิเศษที่อยู่ในกระท่อม ทว่าเรื่องราวผกผันเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีหวังแล้ว

หากฝืนสู้ต่อไป อาจจะต้องพลีชีพตนเองอยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ

คู่ต่อสู้ทั้งสามของอาหู่ล้วนเกิดความคิดถอยฉับพลัน ต่างเริ่มหาทางหนีทีไล่ เสาะหาแผนการปลีกตัว

ตอนที่มีศัตรูร่วมกัน ทั้งสามคนสามารถประสานงานได้อย่างเป็นที่รู้กัน ดำเนินการร่วมมือ จู่โจมศัตรูพร้อมกัน

ทว่ายามเมื่อพวกเขาเกิดความคิดถอยในใจ เตรียมถอยทัพออกไป แนวโน้มในการร่วมมือก็กลายเป็นแพ้ภัยตนเองเช่นกัน สิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจตอนนี้ล้วนคือการผละหนีปลีกตัวของตนเอง

แต่ไรระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้มีมิตรภาพอะไร อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มตาย ย่อมไม่สนใจแม้แต่น้อย

ถ้าหากการตายของอีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนให้ตนเองรอดพ้นอันตรายได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามล้วนไม่รู้สึกผิดทั้งสิ้น

ด้วยเหตุฉะนี้ จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์ทั้งสาม จึงร่วมกันออกแสดงละครน้ำดีฉากหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วกว่าอาหู่ ขอเพียงวิ่งให้เร็วกว่าอีกสองคน ก็เพียงพอแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมหาปรมาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมีรากฐานเพียบพร้อมที่สุด พลังความสามารถก็แกร่งที่สุดเช่นกัน ทั้งยังเชี่ยวชาญสุดยอดวิชาสุดอย่างสุริยันทะยานบูรพา เดิมทีควรจะมีความหวังตีฝ่าวงล้อมมากที่สุด

กระนั้นเขาก็ต้านอาหู่ที่จ้องเขาอยู่โดยเฉพาะไม่ไหว อีกทั้งชายร่างใหญ่นั้นยังฟาดดาบแสงคลื่นครามลงบัดดล ใช้อานุภาพดาบบินขว้างออกไป เสียดแทงเขาด้วยความเย็นเยียบหนึ่ง

ท้ายที่สุดมีเพียงมหาปรมาจารย์คนหนึ่งเท่านั้นที่เหินฟ้าหนีออกไปได้สำเร็จ และเหลือไว้อีกคนหนึ่ง กลายเป็นวิญญาณใต้กรงเล็บเสือที่หิวโซ ถูกอาหู่โจมตีสังหารสิ้นใจคาสนามรบ

เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงยังเบื้องหน้าอาหู่ ยิ้มเอ่ย “เจ้ารูปร่างลักษณะเช่นนี้ หยุดเด็กน้อยร้องไห้ยามค่ำคืนได้แล้ว”

บนร่างอาหู่ทิ้งรอยเลือดโชกไว้ ไอสังหารพุ่งทะยานทั้งกาย คล้ายเทพสังหารก็ไม่ปาน

เขายกโค้งมุมปากระบายยิ้ม “น่าเสียดายที่ไม่สามารถหยุดไว้ได้ทั้งหมด”

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ก็รำพันกับตัวเอง “ใช่สิ น่าเสียดายไม่อาจหยุดไว้ได้ทั้งหมด…”

อาหู่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณชาย มีอะไรหรือขอรับ?”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ ผุดภาพหน้ากากแตกออกเป็นชิ้นๆ บนดวงหน้าจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตผู้นั้น จนเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งซีก แล่นปราดผ่านขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

แม้ว่าอีกฝ่ายจะยกมือขึ้นปิดบังอย่างรวดเร็ว กระนั้นด้วยสายตาอันเกิดจากลพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ ก็ยังคงแลเห็นภาพที่ผุดวาบนั้นได้กระจ่างชัด

“ถึงแม้จะเห็นเพียงครึ่งใบหน้า แต่ว่า…คนคนนี้ข้าเคยพบเห็นอย่างแน่นอน” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางตนเอง หลุดออกจากภวังค์ มองดูโดยรอบทั้งสี่ด้าน “ปราณวิญญาณเสื่อมถอยมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ระยะห่างสู่การพังทลายสูญสิ้นของมิติต่างแดนแห่งนี้ อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว”

“พวกเราต้องรีบแล้ว จากนี้เร่งกลับไปยังประตูค่ายกลตรงนั้น ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”

เยี่ยนจ้าวเกอผุดยิ้มขึ้นมา ตบๆ เสื้อคลุมขนกระเรียนบนไหล่ตนเอง “แต่โชคดีที่มีของสิ่งนี้แล้ว อันที่จริงสามารถย่นเวลาลงได้ไม่น้อย”

อาหู่รุดหน้าขึ้นมาด้วยความใคร่รู้ “คุณชายขอรับ นี่คืออะไรหรือ?”

“ท่านผู้อาวุโสแต่อดีตท่านหนึ่ง ใช้ขนนกกระเรียนวิเศษ ผนึกรวมเข้ากับเจตจำนงหมัดวิถีวรยุทธ์ของตน ถักทอจนเป็นเสื้อคลุมเช่นนี้ตัวหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

“ถึงไม่เข้าขั้นการแบ่งชั้นเฉกเช่นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธวิญญาณ หรืออาวุธวิเศษนี้ ทว่าก็ถือเป็นของวิเศษที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชิ้นหนึ่ง มีประโยชน์พลิกแพลงใช้งานได้เหลือล้น ข้อเสียก็คือปราณวิญญาณและพลังวิญญาณถูกผลาญจนหมดสิ้นได้ หลังผลาญจนหมดจดแล้ว ต้องให้เจ้าของบำรุงบ่มเพราะระยะเวลาหนึ่ง จึงจะสามารถใช้งานได้อีกครั้ง”

“แต่ว่าเทียบกับประโยชน์พลิกแพลงใช้อันมากมายของของวิเศษนี้แล้ว หลายครั้งหลายคราข้อเสียนี้ล้วนมองข้ามไปได้”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบเสื้อคลุมขนกระเรียนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกล่าว “เข้ามาครานี้ เดิมทีขอเพียงแค่มีศิลาเซียนส่องชะตาก็เพียงพอให้พออกพอใจแล้ว แต่ของสิ่งนี้นับว่าเป็นโชคเหนือความคาดหมาย”

อาหู่กล่าว “ใช่ขอรับ แต่คาดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าเข้ามาหนนี้จะมีคนเยอะถึงเพียงนี้”

“ข้าคิดว่า เป็นเจ้าสวะนั่นที่สอดแนมพวกเราก่อนหน้านี้ เห็นว่าเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ เกรงว่าสู้พวกเราไม่ไหว เลยคิดพยายามกวนน้ำให้ขุ่น ให้มันจับปลาในน้ำขุ่น[1]ได้ง่ายขึ้น จึงปล่อยข่าวออกไป โน้มนำยอดฝีมือมามากมายเช่นนี้”

ชายหนุ่มพาอาหู่เดินออกไปทางด้านหลังกระท่อม ตรงนั้นมีแปลงสมุนไพรแปลงหนึ่ง “ที่เจ้าคาดเดา เกินกว่าครึ่งไม่ผิด”

“อย่าให้เจ้าสวะนั่นตกอยู่ในมือข้าเชียว ไม่เช่นนั้นมันต้องได้เห็นดีเป็นแน่!” อาหู่โกรธแค้นจนกัดฟันกรอด

เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ย “แม้ไม่นานนักมิติต่างแดนแห่งนี้ก็จะพังทลายสูญสิ้นแล้ว คนทั่วไปจะไม่เสี่ยงภัยเข้ามาอีกทั้งสิ้น แต่จำต้องพึงระวังไว้ว่ายังมีศัตรูปรากฏตัว พวกเราต้องเคลื่อนไหวให้เร็วสักหน่อย”

ขณะเอ่ยพูด เยี่ยนจ้าวเกอแยกแยะสมุนไพรวิเศษที่อยู่ในแปลงสมุนไพรอย่างฉับไว “เอ๋ พืชเดี่ยวมากมายที่มีอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่ หาพบได้ยากแล้วในโลกแปดพิภพปัจจุบันล้วนมีอยู่ในที่แห่งนี้ ครานี้ช่างไม่เสียเที่ยวจริงๆ ”

ชายร่างใหญ่ช่วยเยี่ยนจ้าวเกอเก็บสมุนไพรไปพลาง พูดโพล่งไปพลาง “เคราะห์ดีเช่นกันที่มหาปรมาจารย์ทั้งสี่คนที่เข้ามาครานี้ ล้วนมีระดับพลังฝึกปรือไม่เกินขั้นซ่อนจิตระยะแรก หากพลังฝึกปรือสูงกว่านี้อีกหน่อย กระนั้นเกรงว่าคราวนี้พวกเราจบไม่สวยเช่นกัน”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณล่ะก็ เช่นนั้นคงจบไม่สวยแล้วจริงๆ”

ขณะเอ่ยอยู่นั้น นัยน์ตาข้างขวาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันเจ็บแปลบพักหนึ่ง สีหน้าอาหู่ก็เปลี่ยนสีฉับพลันนั้นเช่นกัน

ชั่วขณะถัดมา ท้องฟ้าไกลออกไปมีแสงเพลิงส่องสว่างขึ้นมา สะท้อนฉาบท้องนภากลายเป็นสีแดงก่ำ

แสงเพลิงเข้ามาใกล้ทางกระท่อมนี้อย่างรวดเร็ว แรงอัดบ้าคลั่งพลิกม้วนไปทั้งสี่ทิศ

แสงระเบิดสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ไอ้เด็กนอกคอกแซ่เยี่ยน ดูสิว่าครานี้ผู้ใดมาช่วยสงเคราะห์เจ้า!”

เสียงอันคุ้นเคย น้ำเสียงที่คุ้นชิน กลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอชะงักงันเล็กน้อยชั่วครู่ “…หัวหน้าค่ายชื่อหลิง?”

ผู้มาเยือนเป็นผู้เหลือรอดที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดในสายค่ายห้าวิญญาณที่ดับสูบไปแล้ว หัวค่ายชื่อหลิง!

ค่ายห้าวิญญาณในอดีตสูญสิ้นด้วยน้ำมือของเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ หัวหน้าค่ายชื่อหลิงคับแค้นมาแรมปี ตอนแรกประสงค์จู่โจมสังหารชายหนุ่มที่ถังตะวันออก ผลคือถูกคนขัดขวาง หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาหนีไปที่ใด

ใครเล่าจะคาดคิดว่าวันนี้เขาจะปรากฏตัวอยู่ในมิติต่างแดนแห่งนี้

ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลาคิดหาคำตอบว่าเหตุใดอีกฝ่ายปรากฏตัวที่นี่ บัดนี้เขาให้ความสนใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

หัวหน้าค่ายชื่อหลิงผู้นี้ เป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นสี่ ขั้นกำเนิดญาณระยะต้นท่านหนึ่ง!

อาหู่อ้าปากตาค้าง อยากจะขยับปากแทบตาย “…ต้องปราดเปรียวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

———————————–