ตอนที่ 309 ตีเจ้าแล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 309 ตีเจ้าแล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน

ด้วยประโยคที่แสนร้ายกาจของเกาหยาเน่ย ทำให้เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนหลุดหัวเราะออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้รนหาที่ตายยิ่งนัก มีเรื่องกับเกาหยาเน่ย ดูสิว่าเขาจะลงเอยเยี่ยงไร

พวกเขาคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโมโหอย่างมาก จะต้องเดือดดาลเพราะความอดสู แต่ผลลัพธ์นั้นกลับทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะนิ่งเฉย !

สีหน้าของเขาไม่เพียงแต่จะมิมีร่องรอยของโทสะ แต่กลับมีรอยยิ้มบาง ๆ เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิผุดขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า จ้องมองเกาหยาเน่ย และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก “หากข้ามิหลบ แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”

เกาหยาเน่ยชะงัก ในเมืองเมืองกวนหยุน เขาไม่เคยพบเจอปัญหาเยี่ยงนี้มาก่อน โดยปกติหากเขาบอกให้หลบ ฝ่ายตรงข้ามก็จะกุลีกุจอหลบไปทันที ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอย่างคาดไม่ถึง และก็ผุดรอยยิ้มออกมา

เขายื่นมือไปบีบร่างหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย จนหญิงสาวผู้นั้นส่งเสียงหวานหยดออกมา เขาจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง และกล่าวอย่างจริงจัง “หากเจ้ามิหลบ ข้าจะหักขาเจ้า ! ”

“จะกล่าวว่า คุณชายเกาไร้เหตุผลเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ทันใดนั้นก็เสียงรถม้าดังขึ้น บัณฑิตนับร้อยของราชวงศ์หยูและขุนนางกรมพิธีการอีกนับสิบก็ได้มาถึง

เกาหยาเน่ยหันหน้ากลับไปมอง “มิน่าเล่าเจ้าถึงได้มั่นใจ แท้จริงแล้วก็มีคนมาด้วยจำนวนมาก แต่ว่า…คนของข้ามีมากกว่าคนของเจ้าอีกมาก ! ”

กล่าวจบเชาก็ส่งสายตาไปให้องครักษ์ที่อยู่ข้างกาย และองครักษ์ผู้นั้นก็หยิบลูกดอกที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา เขาจุดไฟที่ลูกดอกอันนั้น ลูกดอกลอยขึ้นไปบนฟ้า และแตกตัวออกเป็นดอกไม้ไฟที่สวยงาม

“ตอนนี้เจ้าจงพาพวกเขาหลบไป จะยังถือว่าทันกาล เจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ทันทีที่หน่วยสอดแนมของข้ามาถึง พวกเจ้าจะมิสามารถหนีไปได้แม้แต่คนเดียว”

เกาหยาเน่ยยื่นใบหน้าออกไป และปรี่เข้าหาฟู่เสี่ยวกวน ราวกับต้องการมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนให้เห็นชัด ๆ เขากล่าวขำ ๆ ว่า “ฟู่เสี่ยวกวนเป็นนามที่โด่งดังยิ่ง ดังนั้นตัวข้าต้องจดจำใบหน้านี้เอาไว้ มิเช่นนั้นพอถูกตีเหมือนหัวหมู จนใบหน้านี้ถูกทำลาย คงมิมีผู้ใดรับรู้ถึงใบหน้านี้อีกต่อไป”

ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ เข้าโอบล้อม เข้าใจโดยประมาณแล้วว่าอาจารย์ของตนนั้นมีเรื่องกับคนที่มิควรมีเรื่องด้วยเพื่ออาหารมื้อนี้

ในเมื่ออาจารย์ยังมิถอยไป พวกเขาในฐานะลูกศิษย์ ย่อมมิสามารถถอยได้เช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนกลับหันหน้าไปกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าพาทุกคนเข้าไปนั่งด้านในก่อนเถิด ประเดี๋ยวอาจารย์จัดการเรื่องยุ่งยากนี้เสร็จแล้วจะตามเข้าไป”

ลูกศิษย์ที่อ่อนแอกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเขาไม่ได้ หากบาดเจ็บจนตกอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามคงมิคุ้มค่านัก

แต่ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ กลับมิยินยอม ศิษย์จะทนมองดูอาจารย์ถูกทุบตีได้เยี่ยงไรกันเล่า !

“ท่านอาจารย์ พวกข้ามิถอย ! ”

“แต่พวกเจ้าต่อสู้กันมิเป็นมิใช่รึ ? ”

“…พวกข้าทำได้ ! ”

“เยี่ยงนั้นพวกเจ้าถอยไปก่อน ดูว่าอาจารย์จะต่อสู้เยี่ยงไร เรียนรู้เล็กน้อย การฝึกวรยุทธ์มิเพียงแต่จะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง ภายภาคหน้าเมื่อพวกเจ้ายืนอยู่บนท้องพระโรง หากมิสามารถวิวาทได้ อย่างน้อยก็จะสามารถจะเอาชนะได้ เอาล่ะ ถอยไป ทั้งหมดจงถอยเท้าไปให้ข้า 20 จั้ง”

บัณฑิตกลุ่มนั้นจึงต้องถอยหลังไป 20 จั้งอย่างไม่เต็มใจ เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมองเกาหยาเน่ย “ข้าจะกล่าวกับเจ้าเป็นคราสุดท้าย เข้าไปทานอาหารด้วยกัน แล้วข้าจะถือว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น เยี่ยงนั้น…ข้าจะลงมือกับเจ้าอย่างแท้จริง ! ”

เกาหยาเน่ยรู้สึกดีใจ ทหารยามหน่วยสอดแนมข้างกายเขากลุ่มนั้นก็ดีใจเช่นกัน

จากสายตาพวกเขา เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมากอีกหนึ่งเรื่อง คนที่กล้าพูดเยี่ยงนี้กับเกาหยาเน่ยในเมืองกวนหยุนมีจำนวนแบบนับมือได้ เกาหยาเน่ยรู้เรื่องผู้คนที่มีอิทธิพลในเมืองกวนหยุนเป็นอย่างดี เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคนแบบใดที่สามารถยั่วยุได้หรือยั่วยุมิได้

ในฐานะลูกหลานขุนนาง โดยเฉพาะที่ในมือของบิดามีอำนาจใหญ่โต เขาไม่เคยเหลาะแหละมาก่อน เขาเข้าใจเหตุผลที่ตนเองสามารถวางท่าไปได้ทั่วในเมืองกวนหยุน ดังนั้นเขาจึงไม่มีวันสร้างความเดือดร้อนให้แก่บิดาของตนเอง กลับกันเขายังทำการช่วยบิดาของตนเองไปกลาย ๆ อย่างเช่นในวันนี้เขาได้เชิญองค์ชายหกจากแคว้นอี๋และท่าป๋าชิวแห่งแคว้นฮวงมาร่วมงานเลี้ยง

แต่เดิมเขาได้เชิญฝานเทียนหนิงจากแคว้นฝานมาแล้ว เพียงแต่ฝานเทียนหนิงติดธุระต้องจัดการ จึงไร้หนทางปลีกตัว

ตัวตนของชายหนุ่มทั้งสามคนในแคว้นของพวกเขาถือว่าอยู่บนจุดเกือบจะสูงสุด บางทีพวกเขาอาจจะได้เป็นองค์จักรพรรดิในวันข้างหน้า อย่างน้อยก็ได้เป็นชินอ๋อง ดังนั้นการลงทุนเยี่ยงนี้เขาย่อมเต็มใจทำอย่างยิ่ง

เขามิได้เชิญฟู่เสี่ยวกวน นั่นก็เพราะรากฐานของฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังตื้นเกินไป เขาเป็นเพียงแค่คุณชายเศรษฐีที่ดินในหลินเจียง แม้แต่ในตอนนี้ เขาก็เป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ของราชวงศ์หยูเท่านั้น

เยี่ยงไรเสียคนผู้นี้ก็มีความแค้นกับเยียนหานยวี่ และในวันนี้ก็ยังตบหน้าของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋อีก

เขามิได้สร้างความเดือดร้อนให้กับฟู่เสี่ยวกวนเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้รับเทียบเชิญจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ แต่คาดมิถึงว่าเขาจะมาเจอกับฟู่เสี่ยวกวนที่หอจิ้นสุ่ยแห่งนี้ เยี่ยงนั้นก็พอดี ได้อยู่ต่อหน้าเยียนหานยวี่ เพื่อความอัปยศที่เขาสร้างให้กับเมืองฝานหนิง และเพื่อความสบายใจของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋

สิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย หากมิทำให้ฟู่เสี่ยวกวนถึงตาย เรื่องก็คงจะมิใหญ่โตไปมากกว่านี้

ดังนั้นเขาจึงปรบมือ แสดงความชื่นชมประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวน

“ข้ารู้ว่าข้างกายของเจ้ามีผู้มีฝีมือระดับสูงของสำนักเต๋าอยู่ 3 คน หากกล้าออกมาข้างนอก ผู้ใดกันที่จะมิพาผู้มีฝีมือระดับสูงติดตามมาด้วยกันเล่า ? ”

สิ้นเสียงของเขา ก็มีคนห้าคนลงมาจากรถม้า

ทั้งห้าคนนั้นสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลัง สวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาว อายุอานามราว 40 ปี ท่าทางของแต่ละคนดูอึมครึมและเย็นชา

ซูเจวี๋ยคิ้วขมวด เพราะคาดมิถึงว่าสามคนในกลุ่มนั้นจะเป็นผู้อาวุโสของป่ากระบี่ !

เกาหยาเน่ยยื่นมือไปทางห้าคนนั้น “เหอะ ทางข้าก็มีผู้มีฝีมือระดับสูง 5 คนอยู่พอดี ข้ายังมี…ข้าเองก็มิรู้ว่าประเดี๋ยวจะมีหน่วยสอดแนมมาอีกกี่ร้อยคนกัน เจ้าในตอนนี้ยังมีเวลาหนี ยังเหลืออีกครึ่งถ้วยชา มิเช่นนั้น…ก็คงจะมิทันกาล ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันมองคนทั้งห้านั้น หลังจากนั้นก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และยกฝ่ามือขึ้นมา

ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินเสียง “ผลั่ก…” ดังขึ้นมา หน่วยสอดแนมที่อยู่ข้างกายเกาหยาเน่ยยังมิทันได้ตอบสนอง เท้าของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เตะเข้าที่หน้าท้องของเกาหยาเน่ยอีกครา เขาถูกเตะจนตัวลอย ปากก็ตะโกนอย่างคาดไม่ถึง “ไอหยา มารดาเจ้าเถอะ…”

“ตูม ! ” เขาล้มลงกลิ้งไปกับพื้น

หญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเกาหยาเน่ยกรีดร้อง ทันทีที่เสียงกระทบดังขึ้นหน่วยสอดแนมกลุ่มนั้นก็ชักดาบออกมาทันพลัน และได้พุ่งเข้ามาฟันฟู่เสี่ยวกวนอย่างเร็ว

เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงมือกับเกาหยาเน่ยจริง ๆ ทั้งยังลงมืออย่างกะทันหันเยี่ยงนี้

ฟู่เสี่ยวกวนถอยหลังไปสามก้าว เข็มปักผ้าของซูโหรวก็ได้บินถลามา ด้ายแดงเส้นนั้นได้ขัดขวางดาบทั้งหมดที่พุ่งมาหาฟู่เสี่ยวกวน

เกาหยาเน่ยลุกขึ้นมาจากพื้น เดือดดาลเสียจนสติหลุด เลยตะโกนขึ้นมาว่า “ฟันมันให้ข้า…” มิสามารถเอาให้ถึงตายได้ หากตายไปจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายกับบิดาของเขาเป็นแน่ “ตัดขามันให้พิการเสีย ! ”

ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งห้าข้างกายของเขาดึงกระบี่ยาวออกจากฝักและถลาบินออกไป สองคนในกลุ่มปะทะกับซูเจวี๋ย หนึ่งคนเข้าปะทะกับซูซู อีกหนึ่งคนเข้ารับมือกับซูโหรว และอีกคนหนึ่ง กลับบินไปทางฟู่เสี่ยวกวน

เขาคือผู้อาวุโสลำดับที่สามของป่ากระบี่จั่วซีสุ่ย บิดาของจั่วเฮิ่นฮวา ผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง

เขาย่อมอยากสังหารฟู่เสี่ยวกวน ส่วนเรื่องทำให้พิการ…นั่นมิมีอยู่ในความคิดของเขาเลย

“เจ้าคนชั่ว ตายเสียเถอะ ! ”