ตอนที่ 227 ดูถูก

“…”

เขาคิดว่ามีคนช่วยเหลือ แต่ว่าความจริงแล้วคนนั้นต้องการชีวิตของเขาเช่นกัน!

ฉีเฉิงเฟิงพยายามที่จะดึงเข็มออก แต่ว่าร่างกายของเขาได้กลายเป็นอัมพาต และไม่นานก็เป็นลมหมดสติไป!

ซูหวานหว่านเดินเข้าไปด้านในหลังจากแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง

อันที่จริงแล้ว เข็มเงินสองเล่มนั้นเป็นฝีมือของซูหวานหว่าน แต่ว่าเข็มทั้งสองเล่มนั้นแตกต่างกันเข็มเงินที่ปักไปที่นักฆ่าถูกอาบไปด้วยยาพิษ ในขณะที่เข็มเงินที่อกของฉีเฉิงเฟิงเป็นเพียงแค่ยาสลบเท่านั้น!

ซูหวานหว่านดึงเข็มเงินออกจากตัวของฉีเฉิงเฟิงทันที จากนั้นจึงนำร่างของฉีเฉิงเฟิงเข้าไปในมิติฟาร์ม และพยายามระงับอาการคลื่นไส้ภายในใจ ก่อนเริ่มกอดจูบลูบคลำฉีเฉิงเฟิงเพื่อสะสมคะแนน!

เวลาข้างนอกถือว่าผ่านมาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น แต่เวลาในมิติฟาร์มนั้นผ่านไปแล้วสามวัน ทุกครั้งที่ฉีเฉิงเฟิงตื่นขึ้น ซูหวานหว่านจะปักเข็มเงินยาสลบลงไปอีกครั้ง ช่วงเวลาที่เขาสลบไสลจึงตกอยู่ภายใต้การดูแลของซูหว่าน

หลังจากผ่านมาแล้วหนึ่งคืน ซูหวานหว่านดูคะแนนในมิติฟาร์มที่เพิ่มขึ้นมา แต่ว่ามันกลับเพิ่มเพียงแค่หนึ่งหมื่นคะแนนเท่านั้น! สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา

หรือว่านางจะต้องแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิงใหม่อีกครั้งถึงจะได้มีคะแนนเพิ่มขึ้นมาเท่าก่อนหน้านี้

ซูหวานหว่านรู้สึกเศร้า ในระหว่างนั้นก็พลันสังเก็ตเห็นว่าขนตาของฉีเฉิงเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังจะตื่นขึ้นมา ซูหวานหว่านรีบพาตัวฉีเฉิงเฟิงกลับออกมาวางไว้บนเตียงดังเดิม และผละตัวเดินจากออกไปในทันที

“…”

เมื่อฉีเฉิงเฟิงลืมตา หางตาก็เหลือบเห็นเงาดำหายไปทางประตู ๆ เมื่อลุกขึ้นมาก็เห็นศพนอนอยู่บนพื้นห้อง

เหตุใดแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์นี้ ร่างกายของกลับรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนว่าเขาต้องอยู่ในห้วงความฝันอันแสนยาวนาน ภายในความฝันมีหญิงสาวคนหนึ่งนานอยู่ข้างกายของเขา พวกเขาสองคนแสดงความในใจและใกล้ชิดกันมาก

ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวไปมา “นางจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน? มันจะต้องเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเพียงความฝันอย่างแน่นอน”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา หน้าต่างห้องก็ถูกพังเข้ามา เป็นองครักษ์ประจำกายที่แบกตัวเฉียวหน่วนอวี้เข้ามาในห้อง เมื่อเห็นศพที่อยู่บนพื้นก็เกิดความตกใจจนรีบเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง หากแต่ฉีเฉิงเฟิงกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชาว่า “รีบจัดการศพนี้ให้เรียบร้อย พวกเราจะได้กลับเสียที!”

“แล้วคุณหนูเฉียวล่ะขอรับ?” องครักษ์ถามออกมาด้วยความสงสัย

“ปล่อยนางเอาไว้ทีนี้ รอให้นางตื่นขึ้นมาเอง!” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา หยิบผ้าห่มที่เตียงขึ้นมาแล้วคลุมไปบนร่างกายของเฉียวหน่วนอวี้ก่อนเดินออกไป

เฉียวหน่วนอวี้คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาจะถูกจ้องมองด้วยเด็กภายในที่เข้ามาเก็บทำความสะอาดห้อง บนร่างกายปรากฏรอยจูบที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

และเนื่องจากนางนั้นอยู่ภายในห้องของฉีเฉิงเฟิง จึงข่าวมีข่าวลือเล็ดลอดออกไปทันที เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งวันข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง

ข่าวลือเหล่านั้นกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว เฉียวหน่วนอวี้และองค์ชายสามอดกลั้นทนไม่ไหวจึงพากันมาหลับนอนที่โรงเตี๊ยม

บ้างก็ว่าองค์ชายสามรีบร้อนเกินไป สนใจแต่ทรัพย์สินของตระกูลเฉียว จนกลัวว่าเฉียวหน่วนอวี้จะถอนหมั้นเพราะรักครั้งเก่าของเขา

ซูหวานหว่านออกมาจากโรงเตี๊ยมและนั่งอยู่ในโรงน้ำชา สองหูของนางได้ยินข่าวลือนี้ไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะว่าซูหวานหว่านได้ไปเห็นเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ด้วยตนเอง นางคงจะคิดมากไปแล้วเมื่อได้ยินข่าวลือนี้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงคำพูดของคนพูดคนอื่น ที่กล่าวหาว่าฉีเฉิงเฟิงแต่งงานกับหญิงคนนั้นเพื่อผลประโยชน์ นางก็รู้สึกว่านางก็ใจกว้างมากพอแล้ว

เมื่อนั่งจิบชาเสร็จ ซูหวานหว่านจึงออกมาเดินเล่นพักผ่อน สักพักนางก็หยิบเทียบเชิญของตระกูลเฉียวขึ้นมาและมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลเฉียนทันที เมื่อเดินตามไปยังแผนที่มาจนสุดทางนางก็พบว่าบ้านของตระกูลเฉียวตั้วอยู่ในเขตเจริญรุ่งเรือง บริเวณหน้าบ้านยังมีสวนเล็ก ๆ และข้าง ๆ บ้านของสกุลเฉียวก็มีเป็นจวนของขุนนางระดับสูงอีกด้วย

ซูหวานหว่านส่งเทียบเชิญให้กับคนเฝ้าหน้าประตู เขาเปิดประตูและเดินนำตัวซูหวานหว่านเดินเข้าไปทางประตูหลัง ใช้เวลาในการเดินเข้าไปไม่ถึงครึ่งก้านธูปเดินมาถึงห้องครัว หน้าห้องครัวมีคนยื่นอยู่ประมาณยี่สิบคน ในมือของแต่ละคนต่างถือสิ่งของที่เหมือนกันเอาไว้ หลี่หม่าผู้ดูแลงานครัวรู้สึกพอใจที่คนเหล่านี้มาที่นำของมาด้วย แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านไม่ได้นำสิ่งใดมาด้วย จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ามาจากตระกูลใดรึ? ดูเหมือนว่าเจ้าอายุยังน้อยอยู่ จึงคิดว่าสถานที่แห่งนี้คือที่เด็กเล่นหรืออย่างไร นอกจากนี้เจ้าก็ยังไม่ได้เอาของมาให้ข้าดู ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสามารถทำได้ดีหรือไม่? ดังนั้นเจ้าจงอย่ามาสร้างปัญหา ทำให้ข้าต้องเสียเวลาเสียจะดีกว่า ไป! รีบออกไปซะ! รีบออกไปเล่นที่อื่น!”

“แต่ว่าในเทียบเชิญที่เจ้าแจก ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าต้องนำสิ่งของมาด้วย ดังนั้นถ้าหากเจ้าตัดสิทธิ์ข้าเพียงเพราะว่าเรื่องนี้มันคงจะไม่ดีไปหน่อยหรือไม่?” ซูหวานหว่านพูดออกมา เมื่อมองดูจานอาหารที่ทุกคนนำมาก็รู้สึกว่ามันธรรมดามากไม่สามารถเทียบกับของนางได้เลย

“แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็พูดไปแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาย้อนถามข้าอีกงั้นเหรอ ไม่มีความซื่อสัตย์เอาเสียเลย ไสหัวออกไป!” หลี่หม่าส่ายหัวและขยิบตาให้กับคนรับใช้ให้รีบพาซูหวานหว่านออกไป “รีบพาตัวนางออกไปเร็ว! น่ารำคาญเสียจริง ๆ!”

แต่ว่าคนใช้คนนั้นไม่ได้ขยับแต่อย่างใด และนำเทียบเชิญขึ้นมามองอีกครั้ง เขารู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเพราะว่าแม่ของเฉียวหน่วนอวี้มีอาการแย่ลง สภาพร่างกายก็อ่อนแอ ความอยากอาหารลดน้อยลง แต่ว่าพวกเขามักจะโดนพ่อของเฉียวหน่วนอวี้โกรธเคือง เมื่อวานนี้เขาก็ได้ยินข่าวลือในเมืองหลวงมาว่ามีเด็กหญิงอายุสิบห้าหรือสิบหกปี มีทักษะการทำอาหารที่น่าทึ่ง จนเฟยหยูที่เป็นพ่อครัวมือหนึ่งได้ยื่นข้อเสนอให้ แต่กลับถูกนางปฏิเสธเสียอย่างงั้น!

สาวน้อยผู้นี้ดูท่าทางมีหน่วยก้านที่ดี และฮูหยินของเขาอาจจะชื่นชอบในฝีมือการทำอาหารของนาง คนใช้ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพูดออกมาว่า “หลี่หม่า ที่สาวน้อยคนนี้พูดออกมาก็มีเหตุผล ให้นางลองดูเถอะ มันคงไม่ได้เสียหายอะไรจริงไหม?”

“ฮึ่ม! เจ้าบอกให้นางลองดูก็สามารถลองดูได้อย่างงั้นเหรอ เจ้าไว้หน้าข้าบ้างหรือเปล่า?” หลี่หม่ามองไปยังซูหวานหว่านด้วยใบหน้าและแววตาไม่พอใจ

ซูหวานหว่านคิดว่านางมีเรื่องที่สำคัญมากที่จะต้องทำ จะมามัวเสียเวลาไม่ได้ ดังนั้นนางจึงหยิบเหรียญเงินออกมาอย่างเงียบ ๆ ทำให้ในที่สุดหลี่หม่าก็สงบใจลง และพูดออกมาเสียงดังว่า “เอาล่ะในเมื่อสาวน้อยคนนี้ตั้งใจเดินทางมาไกลมาเพื่อเข้าแข่งขัน พวกเราคนของตระกูลเฉียวจะไม่ให้นางลองดูก็คงจะไม่ได้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็มาลงมือกันเลยเถอะ! ถ้าฮูหยินสนใจอาหารของใคร จะถือว่าคนนั้นต้องเป็นคนรับผิดชอบในการทำอาหารให้ฮูหยินในทุกวัน! แต่ว่า ข้าขอพูดอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อน ข้าเป็นหัวหน้าดูแลห้องครัวที่นี่ เมื่อพวกเจ้าได้รับผลประโยชน์แล้ว เจ้าจะต้องแบ่งให้ข้าบ้าง”

ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “หลี่หม่าทั้งรูปงามและจิตใจดี หากพวกเรามีโอกาสทำอาหารให้กับให้ฮูหยินกินจริง ๆ พวกเราก็จะทำอาหารให้กับหลี่หม่ากินเอง!”

“เฮ้อ? เช่นนั้นยังไม่พอหรอก! เงินที่เราได้รับพวกเราก็จะแบ่งให้กับหลี่หม่าด้วยเช่นกัน!”

“…”

หลี่หม่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจแล้วพูดออกมาว่า “ข้ารับรู้ถึงความจริงใจของพวกเจ้าแล้ว เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มกันเลยโดยการเลือกวัตถุดิบสำหรับทำอาหารค่ำให้กับฮูหยินเป็นอันดับแรก แล้วมาดูกันว่าจะสามารถทำให้ฮูหยินอยากกินอาหารของพวกเจ้าได้หรือไม่ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเจ้าแล้ว!”

ทุกคนพยักหน้าและเดินเข้าไปหาวัตถุดิบ

ซูหวานหว่านเลือกวัตถุได้แล้ว ในตอนที่หญิงสาวกำลังจะไปหยิบก็เครื่องปรุงนางก็พบว่า…เกลือและน้ำตาลของตนเองได้ปนเข้าด้วยกัน!

“แม่นางน้อย เจ้ายังเป็นเด็กไร้ซึ่งประสบการณ์ เจ้าควรจะไปเรียนทำอาหารก่อนน่าจะดีกว่า ไม่น่ามาลองอะไรแบบนี้เลย” หลี่หม่ากล่าวออกมา พร้อมชำเลืองมองวัตถุดิบของซูหวานหว่าน และยิ้มอย่างออกมาอย่างเหยียดหยาม พลางพูดประชดประชันออกมา “ไข่ บะหมี่ และผัก ของเหล่านั้นเจ้าจะเอามาทำอะไร? มองก็รู้แล้วว่าเจ้าทำอาหารไม่เป็น!”

“เฮอะ” ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ ทำเป็นพูดว่าให้โอกาส แต่ว่าเจ้ากลับแอบมากลั่นแกล้งข้าและเจ้าก็จงใจทำให้เครื่องปรุงของข้าปนกันอีก!”

“แล้วอย่างไรเล่า?” หลี่หม่าหัวเราะออกมาเสียงดัง หยิบเครื่องปรุงของซูหวานหว่านขึ้นมาแล้วเททิ้งลงพื้น “หากไม่มีเครื่องปรุง ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะมีปัญญาทำอาหารได้อย่างไร!”

คิดว่าจะขัดขวางนางได้อย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าลืมเบิกตากว้าง ๆ เอาไว้แล้วกัน! ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจเอง!”