ตอนที่ 1046 ตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย!

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

เดิมทีต้นสังกัดของหม่าเวยเวยอยากจะแสดงความเมตตาครั้งสุดท้ายโดยการหาช่องทางทำเงินให้เธอเท่าที่จะเป็นไปได้บ้าง ทว่าผู้จัดการของหม่าเวยเวยยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ให้เสียแรงไปกับเธอมากกว่านี้…

 

 

“เจ้านายคะ เวยเวยอาจจะเป็นศิลปินของฉัน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการที่ฉันเป็นผู้จัดการในสังกัด ถ้าเธอยังมีความหวังเหลืออยู่บ้าง ฉันคงจะช่วยเธอสู้เพื่อมันอย่างแน่นอนค่ะ แต่ตอนนี้ที่เรามาถึงจุดนี้แล้ว ฉันคิดว่าคุณให้โอกาสกับเสี่ยวซีแทนจะดีกว่านะคะ

 

 

“ตอนนี้เสี่ยวซีกำลังรุ่ง ถ้าเธอได้โอกาสจะต้องตั้งใจทำงานกว่านี้แน่นอนค่ะ”

 

 

ผู้จัดการรู้ว่าทันทีที่ถังหนิงเปิดเผยข้อมูลในมือ หม่าเวยเวยคงจะร่วงตกต่ำลงมาจากที่เป็นอยู่ในทันใด

 

 

แทนที่จะรอให้มันเกิดขึ้น เธอควรที่จะหาทางหนีที่ไล่ของตัวเองเอาไว้!

 

 

นายใหญ่ของต้นสังกัดมองหน้าผู้จัดการอย่างงุนงงเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ทว่าคำพูดของเธอก็มีเหตุผล ถึงมันจะดูเป็นการหักหลังหม่าเวยเวยไปบ้าง ผู้จัดการก็ได้ช่วยให้บริษัทไม่ต้องเสียหายไปมากกว่านี้ไว้

 

 

“ในเมื่อเธอเป็นศิลปินของเธอแล้วก็ตัดสินใจอย่างนี้ อย่างนั้นก็ทำตามนั้นแล้วกัน”

 

 

อย่างไรก็ตามผู้จัดการนึกไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะลอยมาถึงหูของหม่าเวยเวย

 

 

และในทางกลับกัน หม่าเวยเวยเองก็ไม่คิดว่าผู้จัดการที่ดูใสซื่อของเธอจะวางแผนลับหลังเธอขนาดนี้

 

 

เธอรอจนกระทั่งผู้จัดการมาหาเธอที่บ้านก่อนที่ตัวเองจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างใจเย็น และเอ่ยถามขณะอดกลั้นความโกรธเอาไว้ “ฝูฝู สิ้นปีนี้เราไปดูแสงเหนือที่แคนาดากันเถอะ คิดว่ายังไงล่ะ

 

 

“เธอดูแลฉันดีขนาดนี้ฉันจะพาเธอไปด้วยแล้วกันนะ”

 

 

“โอเค” ผู้จัดการพยักหน้าให้ “ไว้เรานัดกันตอนที่เธอมีเวลาว่างก็ได้”

 

 

“ฝูฝู ฉันไม่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วยเธอเลยดูแลฉันแทน ฉันรู้เรื่องนั้นดีนะ!”

 

 

“เธอพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ”

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดว่าเธอดูแลฉันเป็นอย่างดีเฉยๆ น่ะ” หม่าเวยเวยเอ่ยอย่างมีความนัย

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้จัดการเดินมาหาหม่าเวยเวยก่อนนั่งลงข้างๆ และเอ่ยจากใจจริง “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ยังไงฉันเองก็เห็นเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งนั่นแหละ…”

 

 

“เธอเห็นฉันเป็นน้องสาวเหรอ” หม่าเวยเวยแค่นยิ้มก่อนถามกลับ “ถ้าเธอเห็นฉันเป็นน้องสาว ทำไมถึงยกงานของฉันให้เสี่ยวซีล่ะ”

 

 

สีหน้ายิ้มแย้มของผู้จัดการนิ่งค้างไปทันที

 

 

“ในเมื่อเธอเห็นฉันเป็นน้องสาว ทำไมเธอถึงบอกเจ้านายให้เอางานทั้งหมดของฉันไปล่ะ หือ”

 

 

เธออึ้งไปเล็กน้อยพลางก้มหน้าลงอย่างไม่อาจสบตากับหม่าเวยเวยได้ มันทำให้หม่าเวยเวยระเบิดความโกรธออกมาขณะที่ลุกขึ้นจากโซฟาและตวาดลั่น “ฉันว่าตัวเองก็ไม่เคยทำตัวแย่ๆ กับเธอเลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอต้องมาแทงข้างหลังฉันอย่างนี้ด้วยล่ะ เพื่อความสะใจงั้นเหรอ

 

 

“ฉันละอยากจะควักหัวใจเธอออกมาดูว่ามันเป็นสีอะไรเหลือเกิน!

 

 

“ไม่อยากจะเชื่อว่าเราเจอหน้ากันทุกวัน แล้วฉันก็ช่วยทำเงินให้เธอตั้งมากมาย เธอก็ยังทำกับฉันได้ลงคอ ทำไมกันล่ะ

 

 

“หรือว่าเธอไม่ไว้ใจความสามารถของฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

ผู้จัดการลุกขึ้นยืนเมื่อได้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของหม่าเวยเวย ทว่าแทนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย เธอกลับหันหลังเดินจากไป จังหวะนั้นเองที่หม่าเวยเวยรับคว้าแขนของเธอไว้

 

 

“เธอจะไปไหน จะไปหลังจากที่ล้อเล่นกับชีวิตฉันงั้นเหรอ ฝูฝู เธอหักหลังศิลปินของตัวเองได้อย่างนี้เลยเหรอ นี่คือความเป็นมืออาชีพของเธอเหรอ”

 

 

หม่าเวยเวยผลักเธอลงบนโซฟาก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงจนเธอถึงกับอึ้ง…

 

 

ผู้จัดการกุมซีกหน้าตัวเองและมองหม่าเวยเวยอย่างตกตะลึง “เธอกล้าดียังไงมาตบฉัน ไม่อยากอยู่รอดในวงการนี้แล้วหรือยังไง”

 

 

“มีเธออยู่ด้วยฉันคงจะอยู่รอดได้อีกเหรอ” หม่าเวยเวยถามพลางยกแขนขึ้นกอดอก “คิดว่าตัวเองไม่สมควรถูกตบหรือยังไง”

 

 

“หม่าเวยเวย อย่าลืมว่าใครเป็นคนดันเธอให้มาได้ไกลขนาดนี้นะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมว่าใครเป็นคนที่บอกให้ฉันไปศัลยกรรมด้วยสิ!”

 

 

“เธอก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินชั้นรองได้เพราะการทำศัลยกรรม ถ้าเธอไม่ทำอาจจะไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวประกอบด้วยซ้ำ” ผู้จัดการตะโกน “ฉันอาจจะไม่มีความเป็นมืออาชีพ แล้วเธอล่ะ เคยทำอะไรที่ศิลปินควรจะทำบ้างไหม

 

 

“พูดตามตรงเลยนะ ทุกคนก็รู้กันหมดว่าหน้าพลาสติกที่คล้ายถังหนิงของเธอเป็นความสามารถเดียวที่ทำเงินได้เร็วที่สุด แต่เธอมาถึงจุดที่สูญเสียคุณค่าทุกอย่างไปเพราะการกลับมาของถังหนิง ฉันเลยแค่บอกกับท่านประธานไปเพื่อตัวเขาเอง เธอคิดจริงๆ เหรอว่าเขาสนใจเธอน่ะ อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า

 

 

“หม่าเวยเวย ทุกคนเขารู้กันหมดว่าเธอไม่มีทางมาแทนที่ถังหนิงได้ แต่เธอก็ยังไม่รู้ตัวและพยายามแข่ง คิดว่าตัวเองมีค่าขนาดนั้นจริงๆ เหรอ

 

 

“คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดีเลิศขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

“พูดออกมาได้ยังไงว่าถังหนิงกดขี่เธอ มีแต่เธอที่เป็นฝ่ายที่คอยเกาะชื่อเสียงของถังหนิง กล้าดียังไงไปพูดแบบนั้น

 

 

“ช่วยรู้จุดยืนของตัวเองด้วยนะ ถังหนิงไม่ได้ติดค้างอะไรเธอไว้ทั้งนั้นแหละ ตัวเองต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณเธอที่ยอมปล่อยให้ได้เฉิดฉาย!

 

 

“ในเมื่อวันนี้เราตัดขาดไม่เหลือเยื่อใยกันแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องทำงานด้วยกันอีก ต้นสังกัดตัดสินใจว่าจะไม่รับผิดชอบในตัวเธอแล้ว พูดอีกอย่างคือเธอถูกไล่ออกอย่างเป็นทางการแล้วยังไงล่ะ!

 

 

“ถ้าเธอฉลาดพอคงจะรู้ว่าควรเก็บเงินของเธอแล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบ ถ้าเธอก่อเรื่องมากกว่านี้อย่ามาโทษว่าต้นสังกัดใจดำก็แล้วกัน!”

 

 

พูดจบผู้จัดการก็หยิบกระเป๋าเดินจากไป

 

 

ในขณะเดียวกันหม่าเวยเวยหน้าขึ้นสีแดงก่ำไปด้วยความโกรธ แต่เธอกลับไม่อาจตอบโต้กลับได้แต่อย่างใด

 

 

เธอเกาะชื่อเสียงของถังหนิงอย่างนั้นหรือ

 

 

แน่นอนว่าเธอทำและก็จะทำต่อไป

 

 

แล้วถ้าหากเธอก่อเรื่องแล้วกลายเป็นตัวตลกขึ้นมาล่ะ เธอยังคงมีพันธมิตรที่ดี หันซิวเช่อ

 

 

ทว่าหม่าเวยเวยไม่รู้ว่าเหตุใดผู้จัดการของเธอถึงทิ้งเธอไปอย่างกะทันหัน เธอยังคิดว่ามีหวังในตัว หันซิวเช่อ พันธมิตรของเธออยู่ อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้การทรยศครั้งใหญ่จากผู้จัดการแท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อเจ้าตัวส่งหลักฐานตรงถึงมือถังหนิง

 

 

และหลักฐานชิ้นนี้ก็เพียงพอที่จะส่งทั้งเธอและพันธมิตรให้ตกนรกตามกันไป!

 

 

“นังโง่! คอยการโจมตีของถังหนิงไปเถอะ!” ผู้จัดการของหม่าเวยเวยเอ่ยขณะที่เดินจากไป

 

 

หม่าเวยเวยไม่ได้ยินสิ่งนี้อย่างแน่นอน ต่อให้เธอจะได้ยินเธอก็คงไม่เชื่อว่าถังหนิงจะตอบโต้กลับ แม้ว่าถังหนิงจะเล่นงานเธอจนเจียนตายแล้วก็ตาม

 

 

อย่างไรเสียหันซิวเช่อเองก็ปะทะกับแฟนๆ ของถังหนิงมาหลายวัน โดยที่ถังหนิงไม่ได้ออกมาพูดอะไร

 

 

หากแต่หลังจากเกิดเรื่องกับจู้ซิงมีเดีย ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากสุดท้ายถังหนิงออกมาตอกกลับอีกครั้ง

 

 

อีกทั้งถังหนิงไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนนัก เมื่อมีปัญหาโผล่ขึ้นมาเธอก็สามารถตบหน้ากลับไปตามความพอใจของตัวเอง และฝ่ายตรงข้ามคงไม่อาจสู้กลับได้…

 

 

ใครจะไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้บ้างล่ะ