นางเข้าวังมาหลายปี แต่ไม่มีลูก เพียงแค่ปีนั้นนางได้ตำแหน่งสนมมาเพราะตระกูลของตนเองที่ยังถือว่าแข็งแกร่ง หากทั่วป๋าหรงเหยาคลอดลูกแล้วตาย นางก็จะกล่อมฮ่องเต้ให้อุ้มเด็กมาเลี้ยงได้
นัยน์ตาแวววาวของเต๋อเฟยทอประกายวิบวับ ทว่าเพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะเห็นเข้า นางจึงก้มหน้าลงต่ำและซ่อนไว้
แม้แต่นางยังฟังความหมายที่แฝงมาในคำพูดนั้นออก แน่นอนว่าคนอื่นต่างก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
ฉู่ฉีเฟิงมองไปทางฮ่องเต้และเอ่ยด้วยว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงมีความสามารถในการปรุงยามาก ก็น่าจะช่วยเขียนใบสั่งยาให้พระสนมมีแรงกลับมาในเวลาสำคัญได้อย่างดี”
เรื่องทั่วป๋าหรงเหยานั้นถึงแม้มองมาตรงๆ จะเห็นว่ามีคนต้องการจัดการเหยียนหลิงจวิน แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีก…
จะเห็นได้ชัดว่าคนที่อีกฝ่ายต้องการเล่นงานก็คือฉู่สวินหยาง หรือแม้กระทั่งวังบูรพาของพวกเขา
ถึงแม้ในใจจะไม่ชอบเหยียนหลิงจวิน ทว่าเวลานี้ทั้งสองคนกลับร่วมมือกันได้อย่างไม่ติดขัด
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ว่าอะไรไม่ได้อีกเช่นกัน จึงแค่เลิกชายเสื้อคลุมขึ้นและเดินออกไปก่อน
ในเมื่อเขาไม่พูดอะไร เหยียนหลิงจวินก็แค่ถือว่าเขาอนุญาตไปโดยปริยาย และเดินตามออกไปด้วยเหมือนกัน
ทันทีที่ฮ่องเต้ออกไปจากงาน งานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว
คนอื่นต่างไม่สะดวกที่จะตามไปวังหลังด้วย จึงแยกย้ายกันไปทั่วทุกที่ คนกลุ่มเล็กๆ จับกลุ่มพูดคุยและทักทายกันทั้งในและนอกตำหนัก
ฉู่สวินหยางเลือกนั่งลงพิงราวระเบียงคดตรงจุดที่เปลี่ยวนอกตำหนัก
ไม่นานฉู่ฉีเฟิงก็ตามมาและคลุมเสื้อลงบนไหล่นางว่า “ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ ระวังจะเป็นหวัด”
“ในตำหนักคนเยอะ อึดอัดจะแย่!” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางรวบเสื้อคลุมไว้บนตัวและหันกลับไปยิ้มให้เขา
ฉู่ฉีเฟิงนั่งลงบนราวระเบียงติดกับนาง พลางยกยิ้มมุมปากอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน แล้วเอ่ยอย่างจริงใจ
“เจ้าก็ทนนิ่งเฉยมาได้ตลอด ทำไมวันนี้กลับทนไม่ได้? เรื่องขององค์รัชทายาทหนานฮวานั่น ทำไมเจ้าจะต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาด้วย?”
แท้จริงแล้วเฟิงเหลียนเซิ่งกระโดดออกมาเพื่อยุแยงให้แตกคอกัน ถึงฉู่สวินหยางไม่แทรกแซง เหยียนหลิงจวินอยากจะกำจัดก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
“เขาชอบยุแยงให้แตกคอกันไม่ใช่หรือ? ข้าก็แค่ทำเนียนผสมโรงช่วยให้เขาสมหวังด้วยเท่านั้น” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก พลางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันกลับไปสบตาฉู่ฉีเฟิงอีกว่า “เรื่องวันนี้…เป็นฝีมือของฉู่อี้เจี่ยนใช่หรือไม่?”
“ใช่แปดส่วน!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย สายตาเย็นชาขึ้นโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มมุมปากเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยเช่นกัน
เขาหันกลับไปมองระลอกคลื่นสีมรกตของสระน้ำแสงจันทร์ใต้เท้า แล้วถึงจะเอ่ยอย่างไม่สนใจและเหม่อลอย “เขารู้ฝีมือของเหยียนหลิงจวินดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น หากคนนอกอย่างเขาจะเป็นคนลงมือเล่นงานพวกเราก็เหมาะสมที่สุดแล้ว เพียงแต่…”
นี่เหยียนหลิงจวินถือว่าทำคุณบูชาโทษหรือไม่?
ช่วยรักษาขาทั้งสองข้างของเขาจนหาย แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับตอบแทนด้วยการย้อนกลับมาเล่นงานตนเอง
อันที่จริงฉู่ฉีเฟิงพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้คิดจะเหน็บแนม ฉู่สวินหยางได้ยินแล้วก็ยิ้มเพียงเล็กน้อย พลางล้วงเอาหินกรวดก้อนเท่าไข่ห่านออกมาจากในกระถางดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ และปาข้ามแขนไปบนผิวน้ำ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ตระกูลฉู่ติดค้างเขา ใต้หล้านี้ล้วนติดค้างเขา เขาจะทำแบบนั้นก็พอจะเข้าใจได้”
เด็กคนหนึ่งที่เคยร่างกายแข็งแรงและมองในแง่ดี อยู่ดีๆ ก็ประสบภัยอย่างคาดไม่ถึง และต้องทรมานจากอาการเจ็บป่วยตั้งแต่อายุยังน้อย จนยากที่จะยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง
และยังเห็นแม่กับคนในตระกูลของตนเองถูกฆ่าด้วยตาของตนเอง เหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ยากที่จะทนไหวทั้งนั้น
เดิมทีเวลาที่อยู่ด้วยกันกับฉู่อี้เจี่ยนนั้น ฉู่สวินหยางก็มักจะรู้สึกว่าจิตใจที่เมินเฉยและสงบนิ่งของเขานั้นเหมือนจะเยือกเย็นจนทำให้คาดเดาได้ยาก ทว่าความจริงแล้วหากเปลี่ยนมุมมองและลองคิดดู เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครก็ได้…
ชีวิตพลิกผันอย่างรุนแรงจากความทรมานเช่นนี้ล้วนมีจุดจบไม่ต่างกัน
แต่สิ่งที่ฉู่อี้เจี่ยนไม่เหมือนกับคนอื่นก็คือ…
ยิ่งเขาซ่อนไว้ลึก ก็ยิ่งสังเกตเห็นได้ยาก
พอเวลานี้เขาต้องการแก้แค้นเพื่อสิ่งนี้ และต้องการช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้…
ต่างก็ไม่สามารถต่อว่าได้อย่างเต็มที่เช่นกัน…
เรื่องนี้ฉู่ฉีเฟิงก็หมดคำจะพูดเหมือนกัน เขาจึงทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นว่า “ฮั่วกังนั่น เจ้าคิดจะจัดการเขาแล้วหรือ?”
“อืม!” เจี่ยงลิ่วกับจูหย่วนซานไปช่วยเตรียมการเรื่องทางนั้น ฉู่สวินหยางก็ไม่คิดจะปิดบังเขาเช่นกัน
“เมื่อไร?” ฉู่ฉีเฟิงสูดหายใจและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“คืนนี้!” ฉู่สวินหยางเอ่ยออกมาเพียงสองคำอย่างรวบรัดได้ใจความ ทว่าตอนที่ยังอยากจะพูดอะไรต่ออีกนั้น
เต๋อเฟยกลับพาสาวใช้ของตนเองเดินมาอย่างเชื่องช้าทางด้านข้าง
“พระสนมเต๋อเฟย!” ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงลุกขึ้นทักทายนาง
“นี่ท่านหญิงกับคังจวิ้นอ๋องกำลังคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่หรือ? ข้ามาผิดเวลางั้นหรือ?” เต๋อเฟยเอ่ย พลางยิ้มตาหยีและมองทั้งสองคนหัวจรดเท้า
“พระสนมล้อข้าเล่นแล้ว” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย พลางมองผ่านไปยังท้องพระโรงที่อยู่ด้านหลังนาง “ข้าจะไปทักทายพวกเพื่อนขุนนางทางนั้นหน่อย”
“เชิญคังจวิ้นอ๋องตามสบาย!” เต๋อเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉู่สวินหยางคอยมองตามฉู่ฉีเฟิงไปตลอด แล้วถึงจะหันมามองเต๋อเฟยว่า “พระสนมออกมาทำไมหรือเจ้าคะ?”
“เห็นว่าหรงเฟยยังไม่พ้นขีดอันตราย ข้าก็ต้องรู้สึกใจไม่ดีไปด้วย จึงนั่งไม่ติดแล้วจริงๆ” เต๋อเฟยเอ่ย พลางอมยิ้มมองนาง “ข้าว่าจะไปดูนางสักหน่อยพอดี ท่านหญิงจะไปด้วยกันกับข้าหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็คาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินส่งเดชไปต่างๆ นานา แต่หลังจากผ่านคืนนี้ไปทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่คลุมเครืออีกต่อไปแล้ว
เหยียนหลิงจวินติดตามฮ่องเต้ไปวังหลัง เป็นไปไม่ได้ที่ฉู่สวินหยางจะไม่เป็นห่วง
ดังนั้นครั้งนี้เต๋อเฟยจึงหยิบยื่นน้ำใจให้นางได้ถูกเวลาพอดี
ฉู่สวินหยางไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีเป็นมิตรของนางมากนัก เพียงแค่พยักหน้าตกลงว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าก็มีวาสนาได้เจอพระสนมหรงเฟยอยู่หลายครั้ง จะได้ไปดูนางสักหน่อยด้วยพอดี!”
เต๋อเฟยแอบโล่งอก และจับมือนางเดินต่อไปอย่างสนิทสนม
ความจริงแล้วทั่วป๋าหรงเหยาจะเป็นอย่างไร นางไม่จำเป็นต้องไปดูด้วยซ้ำ เพียงแค่รอดูผลอยู่เฉยๆ แต่ที่นางเสนอว่าจะไปนี้ ทั้งหมดก็แค่เพื่อดึงฉู่สวินหยางมาเป็นพวกเท่านั้น
ทั้งสองคนเดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง จนกระทั่งไปถึงนอกตำหนักของทั่วป๋าหรงเหยาก็ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมากันวุ่นวายข้างใน
เต๋อเฟยเดินเข้าไปข้างในก่อน
ฮ่องเต้กับเหยียนหลิงจวินยืนอยู่ด้วยกันตรงระเบียงทางเดินนอกห้องนอน เวลานี้หมอตำแยคนหนึ่งกำลังคุกเข่ารายงานอะไรบางอย่างอยู่ใกล้เท้าเขา
ฮ่องเต้หน้าตาเคร่งเครียดและเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน
ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นมาอย่างกะทันหันจากในตำหนักนั้น หมอตำแยอีกคนหนึ่งวิ่งออกมาอย่างทุลักทุเลและล้มลงใกล้เท้าฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ทรงรีบตัดสินใจเถอะเพคะ ตอนนี้พระสนมไม่มีแรงอีกแล้ว หัวของเด็กยังไม่ออกมา หากไม่ใช้ยา…เกรงว่า…เกรงว่าเด็กจะต้องขาดอากาศหายใจตายแน่เพคะ!”
——————————-