เป้าหมายต่อไปของจิ๋งจิ่วและกั้วตงคือจังหวัดอวี้ ซึ่งต้องผ่านเมืองต้าหยวน
ในเมืองต้าหยวนเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แล้วก็คึกคักเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะอยู่ในรถ แต่ก็ยังได้ยินเสียงต่างๆ มากมาย
ด้านหน้าพลันมีเสียงพิณดังขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะ
จิ๋งจิ่วเลิกผ้าม่านขึ้น พบว่าตรงมุมถนนมีนักเล่นพิณสวมชุดสีเขียวอยู่ผู้หนึ่งกำลังก้มหน้ามองดูพิณที่อยู่เบื้องหน้าของตน
ไม่รู้เพราะเหตุใดนักเล่นพิณผู้นั้นถึงถูกคนหัวเราะเยาะ เขามิได้แก้ต่าง แต่นิ้วมือที่วางอยู่บนสายพิณกับสั่นขึ้นมาเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอับอายหรือว่าทุกข์ใจ
ดูเหมือนเป็นคุณชายตกอับ แต่เสื้อผ้ากลับสะอาดสะอ้าน เล็บนิ้วมือก็ตัดแต่งอย่างเรียบร้อย กระทั่งขาตั้งพิณก็ยังดูแลรักษาไว้อย่างดี
“เจ้าจะร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้พ่อของเจ้าไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ดีดเพลงหิมะเดือนหกก็แล้วกัน”
“พิณนี้น่าจะมีค่านิดหน่อย ทำไมเจ้าไม่เอาไปขายเสียล่ะ?”
“ขนาดขายรูปยังโดนหลอกเลย หรือว่าขายพิณแล้วจะฉลาดขึ้นมา?”
“คุณชายหลี่ ท่านกลับไปอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า อย่าคิดอะไรมากเลย”
มีเพื่อนบ้านที่มีคุณธรรมออกหน้า ไล่กลุ่มคนให้แยกย้ายกันไป
นักเล่นพิณผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มเย้ยหยันตนเอง เขาก็คือคุณชายหลี่ที่ไม่ได้พบกันมานาน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาประสบพบเจอกับเรื่องอะไร ใบหน้าดูอิดโรย บริเวณขมับก็คล้ายมีผมขาวแซมขึ้นมา
จิ๋งจิ่วมองไปทางกั้วตง พบว่านางกำลังมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง
……
……
เมืองต้าหยวนเป็นเมืองใหญ่ ย่อมต้องมีโรงหมออยู่มากมาย แล้วก็มีโรงหมอที่จิ๋งจิ่วอยากจะไปหา
ครั้งนี้เขาไม่ได้มองดูป้ายบนโรงหมอว่าเป็นดอกไม้อะไร หากแต่เดินตรงเข้าไป จากนั้นปลดหมวกลี่เม่าออก
หมอรีบพาเขาเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันจะหายจากความตกตะลึง ก็ต้องมาตกตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้งจากคำถามของจิ๋งจิ่ว
ช่วงนี้ในเรือนเจ้าเมืองเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้คู่ควรให้ท่านสนใจด้วยหรือ?
หมอคิดในใจเช่นนี้ แต่ก็ยังบอกเล่าเรื่องราวออกไปตามจริง
เมื่อสามปีก่อน เจ้าเมืองหลี่เคยส่งหนังสือถวายฮ่องเต้ ขอให้แต่งตั้งองค์ชายจริงเหยาเป็นรัชทายาท
ตอนนั้นฝ่าบาทไม่ได้สนพระทัย ตรงนี้สามารถมองว่าฝ่าบาททรงกำลังปกป้องเขาอยู่ได้
แต่ขุนนางใหญ่ๆ ภายในราชสำนักที่สนับสนุนองค์ชายจิ่งซินกลับไม่ลืมเรื่องนี้
หลังเกิดเรื่องกับคุกสะกดมารขึ้น สถานการณ์ภายในราชสำนักก็ยิ่งมีความซับซ้อน ความขัดแย้งที่อยู่ในเบื้องหลังยิ่งมีความรุนแรงขึ้น
ต่างฝ่ายต่างฉีกหน้ากันและกัน เจ้าเมืองหลี่กลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการโจมตีของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางคนไหน หากถูกตรวจสอบจะต้องพบเจอปัญหาอย่างแน่นอน เจ้าเมืองหลี่ถูกตรวจพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีรับสินบนคดีใหญ่คดีหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที
ไม้ล้มคนข้าม ตระกูลหลี่ที่ย้ายออกมาจากเรือนเจ้าเมืองย่อมต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เจ้าเมืองหลี่ล้มป่วยลง นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายสิบวัน ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อหลายวันก่อน
คุณชายหลี่เศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ในใจทั้งรู้สึกโกรธแค้นและไม่ยินยอม คิดว่าพ่อของตนเป็นขุนนางที่มือสะอาดสุจริต จะต้องถูกใส่ร้ายเพราะผิดใจกับขุนนางในราชสำนักอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเริ่มร้องทุกข์แทนพ่อของเขา ด้วยคิดอยากจะแก้ไขคำตัดสินใหม่
ถ้าอยากจะล้างมลทิน ย่อมไม่อาจอาศัยเพียงแค่เหตุผลได้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเงิน
คุณชาหลี่ขายทรัพย์สมบัติของตระกูล จนในที่สุดก็ได้รู้จักกับคนสนิทคนหนึ่งของลู่กั๋วกงที่อยู่ในจังหวัดอวี้
ในตอนนี้ถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องส่งมอบเงิน คุณชายหลี่ก็ได้เอาของชิ้นสุดท้ายที่มีค่าที่สุดในตระกูลออกมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นไหว้วานให้เพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาเป็นเวลาหลายปีเอาไปขาย
นั่นคือภาพโบราณภาพหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหลี่
ในตอนที่คุณใช้หลี่ขายทรัพย์สมบัติในตระกูล ก็เป็นเพื่อนคนนี้ที่คอยช่วยเหลือ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไร
ใครจะไปคิดบ้างว่า เพื่อนคนนั้นกลับเอาภาพโบราณภาพนั้นหนีไป…
ตอนนี้คุณชายหลี่ไม่มีวิธีอื่นอีก ถูกบีบจนตรอก ถึงต้องออกมาดีดพิณอยู่ริมถนนเพื่อเก็บเงิน
ครั้นฟังเรื่องเหล่านี้จบ จิ๋งจิ่วก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
หมอมองดูเขา พลางกล่าวว่า “คดีนั้นเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยในส่วนนี้ก็ไม่ได้มีการใส่ร้ายอะไร”
จิ๋งจิ่วย่อมเข้าใจ ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องคดีรับสินบนนั้น เอาแค่เรื่องที่เขาถวายหนังสือขอให้แต่งตั้งจิ่งเหยา เจ้าเมืองแซ่หลี่ผู้นั้นก็ถือว่ากำลังฉกฉวยผลประโยชน์อยู่เช่นกัน
ขณะนั้นจิ่งเหยาเพิ่งจะอายุกี่ขวบ? ลู่กั๋วกงย่อมต้องมองออก ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องปกป้องคนผู้นี้อย่างแน่นอน เหตุใดคุณชายหลี่ผู้นั้นถึงยังคิดหาวิธีที่จะทำความรู้จักกับคนสนิทของลู่กั๋วกงอีก
จิ๋งจิ่วเตรียมจากไป
หมอผู้นั้นคิดถึงเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงรีบกล่าวว่า “เรื่องสำนักจงโจวกำหนดเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะรายงานให้ท่านฟัง”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ตอนนี้ตัวเองไม่จำเป็นต้องถามแล้วอย่างนั้นหรือ?
……
……
คุณชายหลี่กลับมาในบ้าน ปลดพิณลงแล้ววางเก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินเข้าไปยังด้านหลังบ้าน
บ้านในเวลานี้ย่อมไม่อาจเทียบกับเรือนเจ้าเมืองได้ กระทั่งคนใช้ก็เหลือเพียงชายแก่ผู้หนึ่ง แต่ภายในบ้านยังคงถูกเขาเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน
เขามองดูร่างที่อยู่ตรงหน้าเตาไฟ นวดใบหน้าเล็กน้อย ฉีกยิ้มแล้วเดินเข้าไป พลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ดูท่านสิ กระทั่งนึ่งปลาเค็มก็ยังทำไม่ได้เลย ข้าทำเองดีกว่า”
ขณะที่พูด ภายในบ้านพลันมีเสียงทึบๆ ดังขึ้นมา
เขาตกใจ หมุนตัวกลับไปมอง พบว่าเป็นลังใบหนึ่ง
ภายในลังเต็มไปด้วยใบไม้ทองคำ
คุณชายหลี่ตกใจอีกครั้ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาได้สติขึ้นมา จึงรีบเปิดประตูข้างแล้ววิ่งออกไปที่ถนน
สองข้างทางไม่มีใคร มีเพียงรถม้าคันหนึ่งที่กำลังจากไป
คุณชายหลี่จำม้าตัวนั้นได้ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มยินดี ก่อนจะวิ่งไปทางนั้นสามสี่ก้าว โบกมือพลางส่งเสียงตะโกน…
เขาหยุดฝีเท้า มือขวาค่อยๆ วางลง
เขาไม่ได้พูดอะไร มองดูรถม้าคันนั้นวิ่งจากไป ความรู้สึกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา น้ำตานองหน้า
……
……
กั้วตงไม่ได้ถามอะไร จิ๋งจิ่วเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้
ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น อย่างเช่นวันที่จะจัดงานเฉลิมฉลองของสำนักจงโจวได้ทำการกำหนดลงมาแล้ว นั่นคืออีกสามปีหลังจากนี้
นี่คืองานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนับจากที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย
สำนักจงโจวส่งคำเชิญไปยังสำนักชิงซานนานแล้ว ไป๋เจ่าตั้งใจเตือนจิ๋งจิ่วอยู่หลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างมากอยู่อย่างแน่นอน
นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงใดก็มักจะมีของกำนัลที่อยู่ในระดับที่คู่ควร หรือก็คือของรางวัลที่ในโลกมนุษย์เรียกกัน
แต่ครั้งนี้ของรางวัลที่สำนักจงโจวเอาออกมานั้นมีความล้ำค่าอย่างมาก เพราะมันคือยันต์เซียนวัฒนะ
แน่นอนว่าภายในงานจะต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะได้มันไปอยู่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นสุดท้ายงานเลี้ยงจะกลายเป็นงานที่ยอดคนทะลวงสวรรค์มาแย่งชิงยันต์เซียนกัน เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร
จิ๋งจิ่วจะไป
ถ้าจะรักษาอาการบาดเจ็บของกั้วตงนั้นมีอยู่สองสามวิธี ซึ่งวิธีที่ตรงที่สุด แล้วก็เป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็คือการถ่ายพลังเซียนเข้าไปในร่างกาย
พลังเซียนที่ว่านี้มิใช่การนิยามหน้าตาหรือท่าทางที่ดูเหมือนเซียน หากแต่หมายถึงปราณของเซียนจริงๆ
เซียนที่ตกสวรรค์ลงมาเป็นมนุษย์ไม่มีพลังแห่งเซียน ดังนั้นเขาจึงช่วยไม่ได้
ก่อนหน้าจิ่งหยาง คนที่บรรลุเป็นเซียนคนสุดท้ายของแผ่นดินเฉาเทียนก็คือไป๋เริ่น
ไป๋เริ่นคือเจ้าสำนักของสำนักจงโจวในตอนนั้น คือยายของนักพรตไป๋ในตอนนี้ แล้วก็เป็นทวดของไป๋เจ่า
ผู้บำเพ็ญพรตในยุคสมัยเขาต่างเคยชินที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านบรรพจารย์ไป๋
หากบอกว่าเขาและศิษย์พี่เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียนในช่วงห้าร้อยปีมานี้ เช่นนั้นประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อนก็เป็นท่านบรรพจารย์ไป๋ที่เป็นคนเขียน
ยิ่งไปกว่านั้นอิทธิพลของนางก็ยังสืบทอดมาจนถึงตอนนี้ เพราะหลังจากนางบรรลุเป็นเซียนไปแล้ว นางได้ทิ้งยันต์เซียนเอาไว้หลายแผ่น
สำนักจงโจวเคยใช้ยันต์เซียนแผ่นหนึ่งโจมตีใส่จักรพรรดิแห่งหมิงจนได้รับบาดเจ็บ และจับเขาขังเอาไว้ในคุกสะกดมารเป็นเวลาหลายร้อยปี
ยันต์เซียนวัฒนะที่สำนักจงโจวเอาออกมาในครั้งนี้มิใช่ยันต์ระดับสูงสุดแบบนั้น แต่ก็เป็นยันต์เซียนในระดับรองลงมา
ยันต์ระดับรองก็เป็นยันต์เซียนเช่นเดียวกัน พลังเซียนที่อยู่ภายในหากคนธรรมดาได้ไป ก็เพียงพอที่จะชำระล้างภายในร่างกายแบบถอนรากถอนโคน ทำให้เหยียบไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ หากผู้บำเพ็ญพรตได้ไป ก็จะได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
ส่วนจะได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้นไม่มีใครรู้ เพราะไม่เคยมีใครเคยใช้มาก่อน
“ครั้งนี้เขาอวิ๋นเมิ่งลงทุนขนาดนี้ พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
สองคิ้วของกั้วตงขมวดขึ้นมา
จิ๋งจิ่วไม่อยากจะเห็นท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของนาง จึงกล่าวว่า “อย่าคิดอะไรมาก อย่างไรเสียก็เอามาให้เจ้าใช้”
…………………………………………………………….