ซาร์ดถือ ‘คทาแห่งตะวัน’ ในมือ แผ่ ‘วงพลังเทพ’ ให้กระจายคลุมไปทั่วเมือง ในการแผ่วงพลังออกไป ซาร์ดดึงสมรภูมิเข้าไปสู่อีกมิติ เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองถูกทำลายจากการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

แล้วซาร์ดก็ตอบน้ำเสียงยานคาง “มีคนจัดการให้ข้าแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง”

“มีเพียงคนเดียวที่สามารถรับมือได้” ทิโฟทิดิสเรียก ‘วงพลังปีศาจ’ ออกมาคลุมรอบตัว สกัดกั้น ‘วงพลังเทพ’ ไม่ให้เข้าถึงตัวมันโดยไม่ยากเย็น “เจ้าร่วมมือกับเจ้าแห่งเวทชั้นสูง ยาโรรัน แฮททาเวย์ งั้นหรือ?! กล้าดียังไง! เจ้าช่วยให้นางกลับมาจากมิติลับงั้นหรือ?!”

“จำไว้… ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ซาร์ดยิ้ม

มองไปรอบๆ ทิโฟทิดิสไม่เห็นพระคาร์ดินัลรูปอื่นๆ อยู่เลย ยิ่งพระสันตะปาปายิ่งเป็นไปไม่ได้

“อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นคาร์ดินัลหลวงคนเดียว ณ ตรงนี้” ซาร์ดยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเป็นอย่างยิ่ง “ข้าสนใจเรื่อง ‘ผู้วิเศษชั้นตำนาน’ เจ้าของนาม ‘มาสเกลีน’ และความลับของมิติ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ เจ้ากับแอ็ปซิสคงรู้ดีอยู่แล้ว”

“เสี่ยง… เป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่” ทิโฟทิดิสหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่แหบห่า “เจ้ามนุษย์ผู้โลภมาก เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหยุดข้าด้วยวงพลังส่องโง่ๆ พวกนี้หรือ? บอกข้าสิ… เจ้ากล้าสารภาพความจริงกับยาโรรันแบบหมดเปลือกไหม?”

ซาร์ดเตรียมพร้อมรับมือไว้อย่างดี เขายักไหล่ “โถ คงต้องเสียใจด้วย… ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง”

ไรน์ ในชุดเสื้อสีดำและเสื้อคลุมยาวสีแดง ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์

ไม่ทันได้ระวังหลัง ทิโฟทิดิสหัวเราะเยาะ “เจ้าแวมไพร์กระจอกงอกง่อย”

ปีกค้างคาวสีดำขนาดใหญ่สองคู่สยายออกมาจากแผ่นหลังไรน์ รัศมีความมืดและปีศาจของไรน์ทรงพลังไม่ต่างกับแสงศักดิ์สิทธิ์รอบตัวซาร์ด ดวงตาของเขาแทนที่จะเป็นสีแดงเข้มแบบแวมไพร์ทั่วไป กลับเป็นสีเงิน

“ไม่เจอกันนาน ทิโฟทิดิส จำใส่กะโหลกไว้ แวมไพร์มีหลายสายพันธุ์ แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมข้าไปเสียแล้ว” ไรน์ตอบอย่างไม่มีพิธีรีตอง

“เคานต์เนตรเงิน ผู้สังเกตการณ์ เจ้านี่เอง” ทิโฟทิดิสน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นมา

เหนือทะเลสาบเอลซินอร์ บรรดาพระคาร์ดินัล อัศวินทองคำ และผู้พิทักษ์ราตรี ลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้าล้อมกรอบศัตรูไว้

ภายในวงล้อม มีชายหญิงคู่หนึ่ง

ผู้ชายอยู่ในชุดดำ ผมสีน้ำตาลและตาสีน้ำเงิน เขาคือโรเจริโอ พันธมิตรทางธุรกิจของเดโรนีที่ลูเซียนเคยเจอมาก่อนครั้งหนึ่ง ตามที่เวอร์ดี้พูดไว้ โรเจริโอและอัศวินอาภาอีกนายหนึ่งกำลังสู้อยู่กับคามิลอยู่ในตอนนั้น

ส่วนผู้หญิงเป็นสาวงามและตาสีเงินของนางดูมีเสน่ห์มาก ด้วยชุดสีม่วงเข้ม นางดูค่อนข้างเยือกเย็นมาก นางค่อยๆ ยกมือขึ้นชี้นิ้วไปที่อีเลีย และเหล่านักบวชและอัศวินดำใต้บังคับบัญชาของเขาซึ่งต่างคนต่างกำลังสับสนมากในตอนนี้ นางขยับริมฝีปากเพียงนิดเดียว

“แยกธาตุ”

ทันใดนั้น อีเลีย นักบวชหลวงระดับเจ็ด สลายกลายเป็นสสารนานาชนิด ทั้งอนุภาคสีดำ ควัน ก้อนวัตถุไวไฟสีเขียว ผงกำมะถันกลิ่นฉุน และพลังปีศาจอันทรงพลังของเขาแยกตัวสลายไปยังรวดเร็ว

ไม่นาน นักบวชหลวงระดับเจ็ดผู้นี้ รวมถึงนักบวชชั้นสูงหกรูป นักบวชชั้นล่างสิบสองรูป และอัศวินดำทั้งหมด ก็สลายกลายสภาพเป็นอนุภาคเม็ดเล็กๆ สีต่างๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ณ เวลานั้น พวกเขาก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม

แม้ปีศาจในชุดดำที่ดูน่าขนลุกจะสลายไปเช่นกัน แต่อนุภาคสีต่างๆ ที่ลอยอยู่กลางอากาศยังไม่หายไป เพียงชั่วครู่ อนุภาคเหล่านั้นก็รวมตัวกันและปีศาจก็จุติขึ้นอีกครั้ง

“แอ็ปซิส กลับไปดินแดนโครงกระดูกของเจ้าเสีย” สาวงามคนนั้นพูดสั้นๆ

ประตูเรืองแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าปีศาจ หลังจากจ้องมองหญิงสาวเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ปีศาจในชุดสีดำก็ก้าวเข้าในไปประตูมิติอย่างว่านอนสอนง่าย

หลังจากนั้น ทะเลสาบก็กลับมาสงบอีกครั้ง ศาสนจักรเข้ามากอบกู้สถานการณ์ได้ทันเวลา ชาวบ้านในเมืองเล็กๆ นี้รอดตาย

“พวกเจ้าไปได้แล้ว” สาวงามผู้นี้ยังคงสุขุมมาก นางออกคำสั่งกับพระคาร์ดินัลและอัศวินทรงพลังให้กลับไป ราวกับกำลังออกคำสั่งกับสาวกของนางเอง

อะเมลตัน, เฮย์เวิร์ด และราฟาติหันไปรอบๆ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างอ่อนน้อม แม้พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมาโผล่ที่นี่ได้ พวกเขาก็โล่งใจมากที่นางไม่สังหารพวกเขา

สาวงามผู้นี้คือ ‘เจ้าแห่งเวท’ นางเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งเวทผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ‘ยาโรรัน แฮททาเวย์’ เจ้าแห่งธาตุ ผู้มีรายชื่ออยู่ในลำดับที่สิบหกของบัญชีกวาดล้างของ ‘ศาสนจักร’

หลังจากศาสนจักรและคนจากราชรัฐกลับไปแล้ว โรเจริโอก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าแฮททาเวย์และถามนางด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านหญิง ท่านละเมิดมติของสมาชิกสภาเวทมนตร์ได้อย่างไร?”

นางชำเลืองมองโรเจริโอ ดวงตาสีเงินของแฮททาเวย์ยังคงเยือกเย็น “ข้าได้เห็นชอบอย่างนั้นหรือ? หากไร้คำยินยอมจากข้า มตินั้นย่อมขาดชอบธรรม”

“แต่…” โรเจริโอพยายามแย้ง

อย่างไรก็ตาม แฮททาเวย์ชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “เจ้าแห่งเวทชั้นสูงทุกคนมีอำนาจยับยั้งมติ เจ้าควรจำใส่สมองไว้ ข้าไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องภายในตระกูลโฮล์ม”

หลังจากพูดจบประโยค นางก็หายวับไปในอากาศ

เมื่อแฮททาเวย์หายไปแล้ว สีหน้าโรเจริโอดูโล่งอกราวกับความโกรธที่เขาเพิ่งแสดงออกเป็นเรื่องเสแสร้ง การเผชิญหน้ากับการแย่งชิงอำนาจภายในระหว่างเจ้าแห่งเวทชั้นสูง แม้แต่ผู้วิเศษก็ยังต้องระวังตัว

ณ ทุ่งโล่งกว้างด้านนอกของป่าดำเมลเซอร์ ร่างไร้วิญญาณมากมายกองทับกัน

คามิลคว้าคอเวอร์ดี้ด้วยมือขวา นางยกตัวเขาลอยขึ้น “องค์หญิงอยู่ไหน?”

เวอร์ดี้รู้ตัวว่าเขาสิ้นหวังแล้ว จึงพูดจากวนประสาท “ในป่าดำ อัศวินของข้าคงลากคอนางแล้วสังหารทิ้งแล้ว”

คามิลบีบคอเขาแรงขึ้น

“บอก… บอกข้าที คามิล…” เวอร์ดี้หายใจไม่ออก คำพูดของเขาเปล่งเสียงออกมาลำบาก “แกรนด์ดยุก… สั่งให้เจ้า… สังหารพ่อข้าใช่ไหม?”

“ไปลงนรกเสีย” คามิลใช้พลังระเบิดร่างเวอร์ดี้ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยพวยน้ำทรงพลัง

จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตเวอร์ดี้ เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจ

เมื่อเข้าไปในป่าดำ คามิลเริ่มแกะรอยตามกลิ่นคาวเลือดของนาตาซา ตามทางไปข้างหน้า นางลังเลขึ้นมา เนื่องจากทั้งสองทางต่างก็มีกลิ่นเลือดเหมือนกัน

ว่านห่างจระเข้ผีดูแตกต่างจากว่านหางจระเข้ทั่วไป ว่านพิเศษชนิดนี้มีใบสีขาวลักษณะยาวห้าใบ ราวกับว่าสีของมันซีดหายไปนานแล้ว ปลายใบมีหนามโปร่งแสงยาวๆ ใบของมันยับยู่ยี่มากดูเหมือนนิ้วแห้งเหี่ยวของแม่มดเฒ่าที่มีเล็บยาวแหลม

นาตาซารู้สึกดีขึ้นมาก นางเด็ดว่านหางจระเข้ผีมาขยำๆ จนน้ำยางไหลออกมา

“ลูเซียน เจ้าช่วยเอานี่โปะแผลข้าหน่อย เดี๋ยวข้าจะช่วยห้ามเลือดที่หลังเจ้า” นาตาซาไม่รู้สึกเขินอายอีกต่อไป

ลูเซียนรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมัวมาห่วงเรื่องมารยาทระหว่างชายหญิง เขาพยักหน้าและทำตามคำขอของนาตาซา เมื่อเขาถูก้อนยางว่านหางจระเข้เล็กๆ บนแผลของนาตาซา เขาสังเกตเห็นสุดยอดพลังเยียวยาตัวเองของอัศวินหลวง แผลบนตัวของนางกำลังรักษาตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้ารู้สึกอย่างไร?” นาตาซาแกล้งหยอก “เห็นหน้าท้องผู้หญิงเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”

ลูเซียนคิดเงียบๆ อยู่ในหัวว่าเขาเห็นสาวๆ นุ่งบิกินีในโลกเดิมของเขาจนชินตา และเขาน่าจะเคยเห็นหน้าท้องสาวๆ มามากกว่านาตาซา แต่เขาก็ตอบกลับน้ำเสียงจริงจัง “น่ากลัว… อวัยวะภายในของพระองค์บาดเจ็บหลายส่วน กระหม่อมรู้สึกเหมือนกำลังฝันร้าย”

“เจ้าน่าจะโล่งอกนะ ถ้าเรารอดคืนนี้ไปได้ แล้วเจ้ามีโอกาสได้นอนฝันร้ายอยู่บนเตียง” นาตาซาหัวเราะ “ตราบใดที่อวัยวะภายในข้ายังไม่ถูกทำลายไปทั้งหมด สำหรับอัศวินหลวงอย่างข้าที่มีพลังใกล้เคียงกับอัศวินอาภาและมี ‘พร’ พิเศษ สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”

“จะรอดูพะยะค่ะ…” ลูเซียนขมวดคิ้ว ขณะถูก้อนว่านห่างจระเข้ผีบนแผลนาตาซา

“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือไง?” นาตาซาหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ลูเซียน จริงๆ ถ้าเราหลงป่าและต้องหาอะไรกิน เจ้าเฉือนหัวใจ ตับ ไตข้าไปย่างกินได้นะ น่ากินใช่ไหมละ?”

“ไม่ดีกว่า… ฝ่าบาท” ลูเซียนถอนหายใจยาว บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ขันของนาตาซาอย่างไร

“คือ…” นาตาซาเสริม “ถ้าข้าไม่ได้รับอาหารเพียงพอ ร่างกายข้าจะหยุดฟื้นตัว แล้วข้าจะตาย ก็ไม่ต่างกับคนปกติ”

“กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้น” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม “อีกสักสิบนาที เราน่าจะใกล้ถึงแม่น้ำมัสซอล”

ณ นครอัลโต้

ทิโฟทิดิส ‘เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์’ ถูกบีบแน่นอยู่ในวงพลังเทพหลายต่อหลายชั้นที่ซาร์ดควบคุมด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี

ส่วนตรงหน้าทิโพทิดิส ไรน์ยกมือขวาขึ้นและปีกค้างคาวยักษ์ของเขาก็กางออกเต็มที่ ทันใดนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สว่างไสว เมื่อดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏขึ้นพร้อมแสงสีเงินสว่างจ้า

ดวงจันทร์เริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และแสงก็สว่างขึ้น สว่างขึ้น

ทิโฟทิดิสเห็นภาพสลัวๆ ของร่างหนึ่ง ผมสีทองอยู่ภายในดวงจันทร์สีเงิน มีเพียงดวงตาสีแดงเข้มในร่างเท่านั้นที่เห็นได้ชัด ร่างนั้นยกดาบขึ้นช้าๆ

‘เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์’ ต้องตะลึงงัน “เจ้ายืมพลังมาได้อย่างไร?!”

ไรน์เอียงคอไปด้านข้าง แสยะรอยยิ้มปีศาจ และเขาก็ตวัดมือลงอย่างแรง พร้อมกันนั้น ร่างผมทองนั้นก็ตวัดดาบลงมาพร้อมกัน

ดวงจันทร์สีเงินฟาดดาบลงมาจนทิโฟทิดิสตาบอดลงในทันที ขณะที่มันได้ยินไรน์เอ่ย “คิดถึงข้าทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสได้มองดวงจันทร์”

……………………………………….