ตอนที่ 247 ของฝากรัก (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไป๋หลี่ชูหรี่ตา เท้าหนึ่งเหยียบไหล่เขา ถามอีกครั้ง “เมื่อครู่เจ้าว่าอันใดนะ”

 

 

พริบตานั้นกระดูกไหล่ต้าจ้วงดัง กร๊อบ อย่างน่ากลัว เขาแผดร้องคำหนึ่ง “ข้าว่ามารดามันเถอะ ไม่มีใครอยากมองคนเหม็นอย่างเจ้าหรอก!”

 

 

ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้ว ปลายเท้าเหยียบลงเล็กน้อย ได้ยินเสียง กร๊อบ กระดูกไหล่ของเขาก็หักลง คราวนี้ต้าจ้วงปวดสุดขั้วหัวใจจนแทบเป็นลม

 

 

ไป๋หลี่ชูกล่าวเรียบๆ “ไม่ใช่ ประโยคหลัง”

 

 

อีไป๋กับซวงไป๋และองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนนิ่งงัน…น้อยครั้งที่จะเห็นผู้เป็นนายบังคับสอบปากคำ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบสัมผัสกับมือเท้าของใครก็ตาม แม้ยามสอบปากคำยังต้องตกแต่งห้องขังให้เหมือนห้องหนังสือ นักโทษต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาด แม้จะทำให้คนส่วนมากสงสัย แต่สุดท้าย ‘ห้องหนังสือที่สะอาด’ ก็กลายเป็นคำแทนที่ความน่ากลัวที่สุดของคุกใหญ่ค่งเฮ่อเจียน

 

 

นักโทษทุกคนสู้ยอมอยู่ในคุกใต้ดินที่สกปรกมากกว่า ไม่มีใครอยากไป ‘ห้องหนังสือที่สะอาด’

 

 

บัดนี้เจ้านายของตนถึงกับลงมือเอง ทำให้พวกเขาใจเต้นตุบตับ นี่แสดงว่าฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี แม้น้อยครั้งที่ฝ่าบาทจะมีอารมณ์ แต่ยามอารมณ์ไม่ดีมักทำเอาคนที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนวันหนึ่งนานเป็นปี

 

 

นึกถึงตรงนี้ สายตาของพวกอีไป๋ที่แลดูต้าจ้วงกับเฝยหลงยิ่งเย็นเยียบ

 

 

เย็นเยียบจนเฝยหลงที่นอนกับม้านั่งแทบจะแกล้งตายต่อไปไม่ไหว เขากอดถุงเงินขดตัวอย่างหวาดหวั่น

 

 

แววตาของพวกอีไป๋นอกจากเย็นเยียบแล้วยังเจือด้วยความชิงชังด้วย มีคนประเภทนอกจากเงินแล้วพรรคพวกของตนเป็นตายร้ายดีก็ทำเหมือนไม่เห็นกระนั้นหรือ

 

 

ทำไมหนอใต้เท้าชิวถึงได้มั่วสุมกับตัวเหลือบพวกนี้

 

 

ต้าจ้วงรู้สึกหวานปะแล่มในคอ พยายามจะดิ้นให้หลุดจากใต้ฝ่าเท้าที่หรูหราแดงฉานจนเหมือนธารเลือด แต่ผลจากการดิ้นรนนำมาซึ่งความเจ็บปวดมหันต์ที่บ่าไหล่ จนทำเอาเขาแทบจะอยากตายไปเดี๋ยวนั้นเลย ความทระนงทั้งมวลล้วนถูกเสื้อคลุมแดงแสนประหลาดย่ำเหยียบจนจมในธุลี

 

 

เขาพยายามย้อนคิด กล่าวเสียงสั่นว่า “ใต้…ใต้เท้าบ้านข้าเท่านั้นที่อุตส่าห์ต้องตาสตรีโสโครกเช่นเจ้า”

 

 

ต่อให้เจ็บจนตาย ก็แก้นิสัยชอบเอาชนะคนด้วยปากมิได้หรือ

 

 

ไป๋หลี่ชูแลดูต้าจ้วงที่รวยรินบนพื้น กลับพลันหัวร่อ “เป็นเขาให้พวกเจ้ามา บอกมา เขาจะให้พวกเจ้าทำอะไร”

 

 

แม้เจ้ามดปลวกบนพื้นจะน่าขยะแขวง แต่ได้ยินเสียงด่าของเขาแล้วไป๋หลี่ชูกลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างยากจะมี

 

 

แต่ไป๋หลี่ชูมิได้ไว้ไมตรีต่อต้าจ้วงเพียงเพราะเขาเป็นคนที่ชิวเยี่ยไป๋ส่งมา ฝ่าเท้าใหญ่ยังคงเหยียบไหล่ของเขาไว้

 

 

ต้าจ้วงเพิ่งรู้ตัวว่าพลั้งปากไปเพราะอารามโมโห พลันรู้สึกหน้ามืด หวานปะแล่มในคอจนอยากกระอักเลือด

 

 

เขาทุ่มสุดตัวเสียเลย ‘ถุย’ ใส่ไป๋หลี่ชู “ใช่ ใต้เท้าบ้านข้าว่าอย่างนี้ นางหญิงโสโครกคอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็วใต้เท้าของข้าจะทำให้เจ้าเว้าวอนบนเตียง ทำให้เจ้าตายคาเตียง!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ไกลออกไปเห็นเพียงไป๋หลี่ชูเหยียบไหล่ของต้าจ้วงแต่ไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน และยิ่งไม่มีทางรู้ว่าต้าจ้วงช่วยนางโพนทะนาอย่างอลังการเช่นนี้ แต่จู่ๆ นางก็พลัดมืออย่างประหลาด กล้องส่องทางไกลในมือเกือบหล่นออกนอกหน้าต่าง ยังดีที่นางมือไวรีบคว้าไว้ทันจึงเก็บกลับคืนมาได้ นางถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องดูความคืบหน้าของเหตุการณ์ที่หอน้อยต่อไป

 

 

ส่วนต้าสู่ที่อยู่ข้างๆ เขาเห็นสภาพของหอน้อยและรู้สึกว่าสภาพในหอมิเป็นการ เขามองชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ข้างๆ สุดท้ายแล้วกล่าวอย่างอดมิได้ว่า “ใต้เท้า ท่านว่าพวกเราควรลงมือหรือยัง”

 

 

นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋ตาไม่กะพริบ เพียงกล่าวเรียบๆ ว่า “พวกเจ้ามิใช่วางแผนไว้แล้วหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะลงมือหรือไม่พวกเจ้าย่อมต้องตัดสินใจเอง”

 

 

ต้าสู่งงงัน คำพูดเรียบเฉยเย็นชาของชิวเยี่ยไป๋ทำให้เขารู้สึกใจไม่ดี เขาจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้า ท่านก็รู้อยู่ พวกเราก็แค่คนฉลาดเล็กๆ ประเภทตีไก่กัดหมา ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงย่อมต้องอาศัยการตัดสินใจของใต้เท้า”

 

 

เขาสงสัยว่าชิวเยี่ยไป๋กับเป๋าเป่าจะมีแผนสองซึ่งย่อมต้องดีกว่าแผนอีเหละเขละขละของพวกตน จึงคิดจะฝากความหวังไว้กับชิวเยี่ยไป๋มากกว่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ หันศีรษะมองดูเขายิ้มอย่างเย็นชา “อ้อ ทำไมข้าถึงต้องช่วยพวกเจ้า ข้าก็แค่คนเสนอการละเล่น คนที่ตัดสินใจเข้าร่วมมิใช่ข้านี่นา ทำไมข้าต้องเก็บกวาดให้พวกเจ้าด้วย”

 

 

ต้าสู่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้

 

 

เขามองดูชิวเยี่ยไป๋ที่หันหน้าไปอย่างมิใส่ใจและกลับไปส่องกล้องต่อ พริบตานั้นหัวใจของเขาเย็นเยียบเหมือนจมอยู่ใต้น้ำ

 

 

“ใต้เท้า ทำไมท่าน…”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำอย่างเย็นชา “ทุกคนต้องรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจเอง ก็ง่ายๆ แค่นี้”

 

 

จากนั้นนางเหลือบมองเขาอย่างรำคาญ “เอาล่ะ ถ้าไม่อยากให้ข้าดูละครต่อและเป็นกังวลจริง ก็น่าจะเปลี่ยนแผนที่วางไว้แต่แรกไปเอาตัวเฝยหลงกับต้าจ้วงออกมา อย่ามาโวยวายแถวนี้”

 

 

ต้าสู่มองดูเงาหลังของชิวเยี่ยไป๋ แววตาข้องใจ ขุ่นเคืองว้าวุ่นระคนกันจนทำอะไรไม่ถูก เขานึกอยากจะโถมไปผลักเจ้านายที่ล้อเล่นกับความเป็นตายของพวกเขาให้ตกจากหอไป จินตนาการเองว่าซากศพแหลกเหลวเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แต่สุดท้ายต้าสู่ยังคงยกกล้องขึ้นส่องดูต่อด้วยมือสั่นเทา

 

 

ไม่..มาโกรธแค้นตอนนี้ไร้ประโยชน์ เขามิใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ ในเมื่อชิวเยี่ยไป๋รามือไม่ยุ่งด้วย อย่างนั้นเขาก็ต้องเย็นเข้าไว้จึงจะช่วยพี่น้องได้ ขณะนี้จะซี้ซั้ววู่วามมิได้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นด้วยหางตาว่าต้าสู่หน้าซีดเผือดแต่กำลังบังคับตัวเองให้หนักแน่น ริมฝีปากก็โค้งขึ้นอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

 

 

อืม นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี

 

 

เรื่องบางเรื่องต้องผ่านบทเรียนด้วยเลือดและความเจ็บปวด จึงจะตราตรึงตลอดไป

 

 

 

 

มากล่าวถึงในหอน้อย คำพูดแสนโอ่อ่าของต้าจ้วงทำเอาทุกคนสะท้าน แม้แต่ไป๋หลี่ชูก็ยังตะลึง จากนั้นก็หัวร่อก้องอย่างอดมิได้ ครู่หนึ่งเขาจึงก้มตัวลงอย่างอารมณ์ดี คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวกับเขาว่า “ดี ข้าจะรอเวลาที่ใต้เท้าของเจ้าทำให้ข้าเว้าวอนบนเตียงและทำให้ข้าแทบตายคาเตียง”

 

 

ต้าจ้วงงงงัน คุณหนูใหญ่คนนี้น่าจะสาบานว่าจะสับใต้เท้าเป็นหมื่นชิ้นมิใช่หรือ

 

 

เขาหยุดลงและย้ายเท้าออกจากไหล่ต้าจ้วงอย่างสุดแสนปรานีแล้วจึงกล่าวต่อ “บอกมาเถิด ใต้เท้าบ้านเจ้าให้พวกเจ้ามาทำอะไร”

 

 

ต้าจ้วงมิรู้ว่าทำไมคนคลุมหน้าเสื้อแดงเบื้องหน้าตนจู่ๆ ถึงยอมปล่อยตน การถูกเหยียบจนกระดูกหักยังคงเจ็บแทบตาย แต่หลังแรงกดดันที่น่ากลัวนั้นหายไปแล้ว จะมากหรือน้อยเขาก็โล่งขึ้นอยู่บ้าง

 

 

“เจ้า…เจ้าให้ข้าลุกขึ้นก่อน ข้าจะไม่พูดใต้ฝ่าเท้าใคร!” ต้าจ้วงเสนอข้อเรียกร้องซึ่งก็มิได้เกินเลยนัก

 

 

ไป๋หลี่ชูแลดูเขา หางตาที่งดงามพลันโค้งอย่างหยามหยัน “กระดูกแข็งดีนี่”