เวลานี้เหล่าขุนนางกำลังกระจุกตัวรอให้ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักหลัก
ทุกคนต่างหยุดเท้าคอยอย่างเป็นระเบียบ
หัวใจของเฟิงเหลียนเซิ่งเต้นกระหน่ำ เขาหันหน้ากลับไปมองฝั่งตรงข้ามทันที และเห็นฉู่สวินหยางเดินเข้ามา
ฉู่สวินหยางไม่สนใจสายตาของเขา หยุดยืนที่ด้านล่างบันไดราวกับเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
ฮ่องเต้เดิมก็ไม่สบอารมณ์ ได้ฟังเช่นนั้นก็หลับตาแน่น ไม่ตรัสอะไรสักคำ
ฉู่อี้ชิงทนไม่ไหว ก้าวออกมาข้างหน้า ตวาดถามว่า “นี่มันเรื่องอะไร?”
“องค์ชายหกแห่งหนานฮวา…หายตัวไปขอรับ!” องครักษ์ผู้นั้นตอบ พยายามก้มหน้าให้ต่ำ ไม่กล้าวางท่าใหญ่โต
เฟิงเหลียนเซิ่งสูดลมหายใจลึก
วินาทีต่อมา อย่างไม่คาดฝัน สายตาประเมินและสงสัยก็พุ่งมารวมอยู่ที่ร่างเขา
แม้ภายนอกจะสงบนิ่งเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่านี่หาใช่เรื่องเล็กๆ รีบสะบัดชายเสื้อคลุม ไม่พูดไม่จาก็คุกเข่าลงข้างกายฮ่องเต้ทันที
ฮ่องเต้ไม่ได้มองเขา เพียงแค่พ่นเสียงหึออกทางจมูก แล้วตรัสเสียงหนักแน่นว่า “ส่งคนไปตรวจสอบ!”
คำนี้ แม้ไม่ได้ระบุชื่อ แต่ย่อมเอ่ยกับฉู่อี้อันเป็นแน่
สิ้นเสียง พระองค์ก็คร้านจะมองหน้าใครอีก ก้าวเท้าลงขั้นบันได เสด็จจากไปอย่างรวดเร็ว
ประตูใหญ่ของตำหนักเต็มไปด้วยเหล่าชายาและขุนนางจากงานเลี้ยงที่มารุมออจนอัดแน่น ต่างคนต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น…
ทูตของหนานฮวามาถึงแล้ว เงื่อนไขการเจริญไมตรีก็เป็นไปมีขั้นมีตอน ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ องค์ชายหกแห่งหนานฮวายังจะก่อเรื่องอะไรอีก?
หรือว่าเป็นแผนของชาวหนานฮวา? แสร้งใช้การเจริญไมตรีเป็นข้ออ้างในการช่วยคน
แต่องค์รัชทายาทของหนานฮวายังอยู่ในวังหลวง เพื่อที่จะช่วยองค์ชายหก…
ช่างฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
“ฉีเฟิง สั่งการให้พาคนแยกย้ายจากตรงนี้เสีย!” ฉู่อี้อันเอ่ยคำตัดบทความคิดฟุ้งซ่านของทุกคน
“ขอรับ ท่านพ่อ!” ฉู่ฉีเฟิงรับคำ เรียกขันทีที่รออยู่ไกลๆ ให้มาพาทุกคนออกจากตำหนัก
กระทั่งคนไปหมดแล้ว เฟิงเหลียนเซิ่งถึงสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วลุกยืนขึ้น
ขณะนั้นฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินก็กำลังจะเดินออกไป
เขาก้าวสวบๆ ตามหลังมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ฝีมือเจ้ารึ? เจ้าหกเป็นหินลับมีดที่เจ้าเคยพูดถึงงั้นรึ?”
ฉู่สวินหยางกับองค์ชายหกแห่งหนานฮวาเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องหาเรื่องอีกฝ่ายอย่างอุกอาจเช่นนี้
ไม่ต้องคิดก็รู้ คนผู้นี้เป็นเพียงทางลัดที่นางเลือก เพื่อหาโอกาสลงมือกับคนนอก
องค์ชายแห่งแคว้น ทั้งยังเลือกช่วงเวลาที่อ่อนไหวเช่นนี้…
ใครมีเอี่ยวด้วยคงซวยแย่!
เฟิงเหลียนเซิ่งเอ่ยด้วยท่าทีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฉู่สวินหยางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเผยยิ้มให้เห็น ไม่ทั้งยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าพูดไว้แต่แรกแล้วว่าให้องค์รัชทายาทระวังตัว อย่าได้ยั่วโมโหข้า ท่านอยากทำอะไร อยากแสดงสิ่งใดให้ใครเห็น เหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า แต่อย่ามาคิดเล่นลูกไม้กับข้า ไม่อย่างนั้น…”
นางพูดไว้เพียงครึ่งทาง จู่ๆ ก็หยุดเสียงเสียดื้อๆ
นางเลิกคิ้วหันไปมองเฟิงอี้ที่กำลังก้าวลงบันได เอ่ยว่า “น้องหกของท่านอยู่ดีๆ ก็หายตัวไป ตัวท่านเองในฐานะพี่ชายองค์รัชทายาทไม่ควรเป็นห่วงหน่อยรึ? ลองไปหาที่ที่พำนักเขาดีหรือไม่?”
เฟิงเหลียนเซิ่งทำเสียงเหมือนมีอะไรติดคอ จ้องนางด้วยสีหน้าดำคล้ำ
ระหว่างที่สนทนา เฟิงอี้ก็เดินมาถึงแล้ว เขาไม่ได้เหลือบมองพวกฉู่สวินหยาง เพียงเอ่ยกับเฟิงเหลียนเซิ่งว่า “ไปดูกันหน่อยเถอะ น้องหกยังเด็กและดื้อรั้น อย่าให้ก่อเรื่องอะไรจะดีที่สุด!”
เพราะหรงเลี่ยถูกคนวางยาอย่างโฉ่งฉ่าง หรงเสี่ยนหยางจึงกดดันฮ่องเต้ไม่หยุดหย่อน ฮ่องเต้หนานฮวาก็หาได้เป็นสุข ตั้งแต่ที่เขตฉางสุ่ยถูกยึดไป ก็ทำให้เขาหวาดกลัวซีเยว่มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ต้องการเปิดสงครามเลย
เพราะไม่รู้จุดประสงค์ของฉู่สวินหยาง เฟิงเหลียนเซิ่งจึงไม่กล้าประมาท ข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
เหยียนหลิงจวินเอาแต่ยืนมองอยู่ข้างๆ ราวกับเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตน
เฟิงอี้หรี่ตามอง ดวงตาสวยเย้ายวนเป็นพิเศษคู่นั้นตวัดผ่านดวงหน้าของคนทั้งสองไป ไร้ซึ่งวาจา ก่อนจะเดินตามไปที่ประตูตำหนัก
ฉู่สวินหยางมองตามแผ่นหลังของพวกเขาไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วทำเสียงขึ้นจมูกใส่
เหยียนหลิงจวินดึงสายตากลับมามองนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลังจากนี้ พวกเราจะทำอะไรต่อ?”
“เจ้ากลับไปนอน ข้าจะไปเจอคนพวกนั้นหน่อย!” ฉู่สวินหยางตอบ
เหยียนหลิงจวินไม่ได้บังคับ มองดวงหน้าองอาจฮึกเฮิมของนาง รอยยิ้มมุมปากยิ่งอ่อนโยนตามใจ ถามย้ำอีกครั้งว่า “ไม่ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือ?”
“ไม่ต้อง!” ฉู่สวินหยางก็ไม่อยากปฏิเสธ รับเสื้อคลุมจากอิ้งจื่อมายัดใส่อกเขา “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
พูดจบก็ไม่ชักช้า ทิ้งคนไว้ให้สองคน แล้วจึงจากไปอย่างรีบร้อน
เหยียนหลิงจวินยืนอยู่ที่เก่า สายตามองแผ่นหลังที่หายไปราวกับสายลมพัดของนางอย่างกะทันหัน นัยน์ตาที่เคยหยอกล้อสดใสกลายเป็นความนิ่งขรึมทันที
ดวงตาของเขาเดิมก็เป็นสีดำสนิท ยามที่ยิ้มก็เปล่งแสงระยับเหมือนดาวบนฟ้า
แต่เมื่ออยู่ในอารมณ์นิ่งขรึม มันจะกลายเป็นสีท้องฟ้าราตรีอันไกลโพ้น ผสานกับความเกรี้ยวกราดของพายุ ทำให้คนที่เห็นเหมือนถูกแช่แข็ง
อิ้งจื่อติดตามเขามานาน แต่ก็ยังทนรับไอเย็นที่แผ่ออกมาอย่างปุบปับจากร่างเขาไม่ได้เสียที
อิ้งจื่อหน้าซีดอย่างไม่ทันตั้งตัว รีบก้มหน้างุด น้ำเสียงอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยเบาๆ ว่า “นายท่าน…”
สีหน้าของเหยียนหลิงจวินเย็นเยียบ มองนางอย่างไม่ใส่ใจ
อิ้งจื่อเอาแต่ก้มหน้า แม้จะไม่ได้สบสายตาตรงๆ กับเขา แต่ก็รู้สึกได้ว่าสายตานั้นยังจับจ้องอยู่ที่นางจนหนังหัวชาหนึบ
“บ่าวไม่ได้เล่าอะไรให้ท่านหญิงฟังเลยนะเจ้าคะ!” สุดท้ายอิ้งจื่อก็ฝืนบอกออกไป “แต่ท่านหญิงก็ซักไซ้บ่าวอย่างหนัก เพราะบ่าวเอาแต่ปิดปากเงียบ นางก็คง…คิดเอาเองน่ะเจ้าค่ะ!”
เรื่องเกี่ยวพันถึงสองแคว้น หากไม่ใช่ด้วยเหตุผลพิเศษ ฉู่สวินหยางย่อมไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในของแคว้นหนานฮวา แล้วลากองค์ชายหกเข้ามายุ่งด้วย
ดังนั้นไม่ต้องพูดเหยียนหลิงจวินก็รู้สึกได้…
นางอับอายจนกลายเป็นโกรธเคือง เก้าในสิบส่วนย่อมมีสาเหตุมาจากเขา
เพราะก่อนนี้ นั้นใช้ท่าทางคลุมเครือชักนำฉู่สวินหยาง อิ้งจื่อในตอนนี้จึงอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ เอาแต่ก้มศีรษะไม่กล้ามองสีหน้าของเหยียนหลิงจวิน
เหยียนหลิงจวินเพียงใช้หางตามองนาง จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ จากไป
เสียงเสื้อคลุมสะบัดไหว นำพาความหนาวเย็นยามค่ำคืนมาให้
อิ้งจื่อสะท้านสั่นไปทั้งตัว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบไร้ทำนองลอยมาตามลมรัตติกาล “เจ้ารีบกลับไปที่หุบเขาเพลิงอัคคี!”
น้ำเสียงนั้นแข็งทื่อ อิ้งจื่อยังคงหน้าเขียวคล้ำ กัดริมฝีปากเอ่ยรับเบาๆ “เจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ความเห็นแก่ตัวของนางจะไม่ได้ทำให้ฉู่สวินหยางถูกทำร้าย แต่สำหรับเหยียนหลิงจวิน นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้
เพราะรู้จักนิสัยพูดจาคำไหนคำนั้นของเขาดี อิ้งจื่อจึงไม่คิดแก้ตัวหรือแก้ไขอะไรอีก เพียงเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ปรับอารมณ์แล้วเดินตามหลังเขาออกไป
————————-