บทที่ 1289+1290

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1289+1290 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1289 ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายตระบัดสัตย์!

คนบางพวกที่คลั่งไคล้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงขั้นที่รู้สึกว่าควรจะมอบบทเรียนให้กู้ซีจิ่วสักหน่อย ให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากการกระทำเช่นนี้ บางคนถึงขั้นที่วางแผนไว้ว่าภายหน้าหากพบกู้ซีจิ่วจะลอบสังหารเสีย แต่ประโยคสุดท้ายของมู่เฟิงก็ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดนี้ไป

เป็นศัตรูกับกู้ซีจิ่วเท่ากับเป็นศัตรูกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้อหาเช่นนี้หล่นใส่หัวผู้ใดล้วนถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น ดังนั้นความคิดเช่นนี้เพิ่งจะแวบเข้ามาได้ครู่เดียวก็สลายไปทันที

ท่ามกลางคนเหล่านี้ผู้ที่เดือดดาลที่สุดก็คือกู้เซี่ยเทียน!

สามเดือนก่อนบุตรสาวเขาใช้ชีวิตอยู่ที่วังค้ำนภาตลอด เขาต่อสู้แย่งชิงอยู่เนิ่นนาน ถึงแย่งเวลาให้บุตรสาวกลับมาอยู่ที่บ้านได้ครึ่งเดือน ผลคือเพิ่งกลับบ้านได้ห้าวันบุตรสาวก็หายไปอีกแล้ว!

เขาไปทวงถามคนที่วังค้ำนภาก็บอกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีดุลพินิจของตัวเอง จะส่งคนกลับมาก่อนถึงงานวิวาห์

ผลลัพธ์น่ะหรือ?! ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายตระบัดสัตย์!

ไม่เพียงแต่ไม่ส่งบุตรสาวกลับมาเท่านั้น วันนี้ยังประกาศยกเลิกงานวิวาห์อีกด้วย! ยิ่งไปกว่านั้นคือบุตรสาวของเขายังไร้วี่แววเช่นเดิม! นี่ทำให้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…

อารมณ์ของกู้เซี่ยเทียนปะทุเดือดดาลมากจริงๆ หลายวันมานี้เขามีความคิดเห็นต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมานานแล้ว เพียงแต่เนื่องจากฐานะของอีกฝ่ายสูงส่งเกินไป และบุตรสาวก็กำลังจะออกเรือนกับผู้อื่น เขาจึงทำได้เพียงข่มเพลิงโทสะไว้ ไปขอร้องอย่างนอบน้อมทุกวัน

กลับนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้ กู้เซี่ยเทียนโกรธจนสมองแทบจะโง่งมไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงตรงไปทวงคนที่วังค้ำนภา พูดจาอย่างไม่เกรงใจยิ่งนัก “ในเมื่อธิดาข้ากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถอนหมั้นกันแล้ว เช่นนั้นก็เป็นธิดาข้าที่ไร้วาสนา โปรดส่งตัวธิดาข้าคืนมาเถิด อย่าได้อาศัยอำนาจของวังค้ำนภามารังแกประชาชนอย่างพวกเราเลย…”

แต่ถ้อยคำเหล่านี้ของเขาก็ทำได้เพียงเอ่ยต่อยามเฝ้าประตูของวังค้ำนภาเท่านั้น ไม่ได้รับการอนุญาตจากตี้ฝูอี เขาก็เข้าไปในวังค้ำนภาไม่ได้ และตี้ฝูอีก็ไม่ออกมาพบเขาเลยจริงๆ

แน่นอนว่าไม่ปล่อยคนมาด้วย ไม่ให้เขาได้พบหน้าบุตรสาว

เขาตัดสินใจจะบุกเข้าไป ผลคือแม้แต่ยามเฝ้าประตูเขาก็สู้ไม่ได้…

วิธีที่ยามเฝ้าประตูใช้รับมือกับเขาเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ยามที่เขาด่าทอยามเฝ้าประตูจะแสร้งทำเป็นหูหนวกเสีย ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เมื่อเขาจะบุกเข้าไปก็สกัดเขาไว้ ทำให้แม้แต่เท้าข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นเข้าไปไม่ได้

แน่นอน เห็นได้ชัดว่ายามเฝ้าประตูได้รับคำสั่งบางอย่างมา จึงไม่ได้ทำร้ายกู้เซี่ยเทียน เพียงควบคุมเขาด้วยการโยนออกไปให้ไกลหน่อยก็จบเรื่องแล้ว

กู้เซี่ยเทียนก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เดิมทีเขาก็มีฐานะเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อนอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อตกอยู่ภายใต้ความโกรธขึง จึงงัดฝีมืออาละวาดโวยวายในอดีตออกมา ถูกโยนออกไปก็กลับมาอีก ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกโยนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า…

เขาเพียรพยามอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้อยู่จนถึงพลบค่ำ จากนั้นก็ได้พบกับหลงซือเย่ที่ได้ยินข่าวจึงเดินทางมา กู้เซี่ยเทียนมอมแมมเขรอะฝุ่นอยู่ เมื่อพบเขาก็ราวกับพบดาวนำโชค เล่าเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบออกมาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็พูดจุดประสงค์ของเขา ว่าเขาแค่อยากรับตัวบุตรสาวกลับบ้าน

หลงซือเย่ฟังอยู่เงียบๆ จนกู้เซี่ยเทียนเล่าจบ จากนั้นก็ให้ยามเฝ้าประตูเข้าไปรายงาน บอกว่าเจ้าสำนักถามสวรรค์มาขอพบ มีธุระที่เกี่ยวข้องกับกิจของสานุศิษย์สวรรค์ต้องหารือ

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยสั่งไว้นานแล้ว ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสานุศิษย์สวรรค์จะต้องรายงานให้ทราบทันที ไม่อาจมีความล่าช้าใดๆ ได้ ดังนั้นยามเฝ้าประตูจึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที สักพักก็ออกมา เชิญหลงซือเย่เข้าไป

กู้เซี่ยเทียนก็อยากตามเข้าไปด้วย แน่นอนว่าถูกยามเฝ้าประตูขวางเอาไว้

หลงซือเย่เอ่ยปลอบกู้เซี่ยเทียน บอกว่าหลังจากเขาเข้าไปแล้วจะซักถามเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งชัดเจน ให้กู้เซี่ยเทียนสงบใจรอก่อน

กู้เซี่ยเทียนไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกต่อไป

เหมือนในอดีตที่ผ่านมา หลงซือเย่พบตี้ฝูอีรออยู่ในโถงรับรองแขก ทันทีที่เขาเห็นตี้ฝูอีก็ตะลึงไปเล็กน้อย ตี้ฝูอีดูซูบผอมลงไม่น้อย สวมอาภรณ์ขาวที่หลวมโพรกนั่งอยู่ตรงนั้น

————————————————————————————-

บทที่ 1290 เพราะข้ามีความสามารถมากกว่าเจ้า

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเสื้อผ้ายังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าก็สงบนิ่งยิ่งนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความไร้ชีวิตไร้ชีวาอย่างหนึ่ง

ตี้ฝูอีไม่ได้ทักทายเขา พูดจาเข้าประเด็นเลย “เจ้าพบสานุศิษย์สวรรค์คนใหม่แล้วหรือ?”

หลงซือเย่ไม่ตอบซ้ำยังถามกลับ “สรุปแล้วเจ้าสองคนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ซีจิ่วล่ะ?”

ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีขรึมลงเล็กน้อย “เจ้าใช้กิจของสานุศิษย์เป็นข้ออ้าง เพื่อมาถามคำถามไร้สาระไม่กี่ประโยคหรือ?”

เมื่อสีหน้าเขาเคร่งขรึม พลังอำนาจก็เพิ่มสูงขึ้นยิ่งนัก ทว่าหลงซือเย่กลับไม่เกรงกลัวเขา และยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องของสานุศิษย์สวรรค์อยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่ข้ากังวลเรื่องของซีจิ่วมากว่า หลายวันก่อนข้าเคยติดต่อกับนาง ติดต่อไม่ได้อยู่ตลอดเวลา นกสืบรอยก็หาร่องรอยของนางไม่พบ เจ้าบอกข้ามาตามจริง นางเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”

น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยเมย ทว่าไม่ปิดบังเขา “นางหนีงานแต่งไปแล้ว”

หลงซือเย่ตัวแข็งทื่อทันที เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้ยังไง?! นางชอบเจ้าถึงเพียงนั้น ปักใจอยากออกเรือนกับเจ้า เป็นไปได้อย่างไรที่จะหนีงานแต่ง? ระหว่างพวกเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “สาเหตุมาจากเรื่องร่างเดิมของซีจิ่วใช่หรือไม่? อันที่จริงข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่สลับร่างคืนให้นาง? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตัวยาที่ข้าจะใช้กับนางในตอนนั้นสามารถช่วยให้นางคืนร่างได้จริงๆ สามารถขจัดอาคมที่หลงฟั่นลงไว้ในร่างนางให้นางได้ ทำให้ดวงวิญญาณของนางออกจากร่างโคลนนิ่งร่างนั้นอย่างปลอดภัยได้ ซีจิ่วมีเงามืดต่อร่างโคลนนิ่งเสมอมา อย่าว่าแต่เดิมทีร่างเดิมของนางก็เหนือล้ำกว่าร่างโคลนนิ่งอยู่แล้วเลย ต่อให้คุณสมบัติดั้งเดิมของร่างโคลนนิ่งมีพลังวิญญาณขั้นเก้า ส่วนร่างเดิมของนางมีพลังวิญญาณขั้นหก นางก็จะละทิ้งร่างโคลนนิ่งเสมือนสลัดรองเท้าขาดๆ ทิ้งไป นางถึงขั้นที่ค่อนข้างชิงชังร่างโคลนนิ่งด้วยซ้ำ นางคิดว่านั่นเป็นอาชญกรรมที่ต่อต้านมนุษยชาติ…”

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร บางเรื่องเขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อหลงซือเย่

หลงซือเย่พูดไปมากมายถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ได้รับการอธิบายกลับมาจากตี้ฝูอี จึงโมโหยิ่งขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตี้ฝูอี ข้าขอถามเจ้า วันนี้เจ้ายกเลิกพิธีวิวาห์กับนาง เพราะคิดจะทอดทิ้งนางแล้วใช่ไหม?”

ตี้ฝูอีเงยหน้าขึ้นตอบอย่างเยียบเย็น “ยกเลิกเพียงพิธีวิวาห์เท่านั้น!” เขาไม่ได้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ส่วนสัญญาหมั้นหมายจะยกเลิกหรือไม่นั้น เขารอให้ตามหานางพบแล้วค่อยว่ากัน

น้ำเสียงหลงซือเย่ก็เยียบเย็นเช่นกัน “ข้าไม่สนว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อนางเลือกที่จะหนีงานแต่ง นั่นพิสูจน์ได้ว่านางไม่อยากออกเรือนกับเจ้าจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การถอนตัวของข้าก็ไม่มีความหมายแล้ว ข้าจะต่อสู้แย่งชิงนางอีกครั้ง!”

ตี้ฝูอีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยเพียงสามคำ “ตามสบาย”

หลงซือเย่ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง “เรื่องนี้ละไว้ก่อน ถึงแม้นางจะหนีงานแต่งไป แต่ข้าไม่เชื่อว่าด้วยความสามารถในการหาตัวคนของเจ้าจะหาตัวนางไม่พบ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการพบนางก่อน”

ตี้ฝูอีตอบอย่างเย็นชา “ถ้าหากข้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหน ยังจะยกเลิกงานวิวาห์ครั้งนี้หรือ?”

หลงซือเย่นิ่งงัน

สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนแล้ว เขาทราบความสามารถในการหาตัวคนของตี้ฝูอีดี ขอเพียงเป็นคนที่เขาต้องการตามหาไม่มีทางหาไม่พบ หากว่าแม้แต่เขาเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน…

“นางเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรือ?!? ถูกโม่เจ้าหรือไม่ก็หลงฟั่นจับตัวไปหรือเปล่า?!” หลงซือเย่คาดเดา

“นางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ถูกโม่เจ้ากับหลงฟั่นจับไป เนื่องจากยามนี้สองคนนั้นเป็นโพธิสัตว์ข้ามคงคา ยากจะปกปักษ์ตนได้[1] ไม่สามารถจับตัวนางได้”

หลงซือเย่คลางแคลง “เจ้ารู้ได้ยังไง?”

“เพราะข้ามีความสามารถมากกว่าเจ้า” ตี้ฝูอีตอบอย่างยั่วโมโหคนแล้วไม่ยอมชดใช้

เรื่องเหล่านี้ที่หลงซือเย่คิดได้เขากคิดได้ก่อนนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเคยไปพยาการณ์ดวงดาวมาก่อน มองเห็นว่าดาวดวงนั้นที่เป็นตัวแทนของกู้ซีจิ่วยังคงส่องสว่างอยู่ ไม่ได้ถูกดาวตัวแทนของโม่จ้าวหรือว่าหลงฟั่นห้อมล้อม…

————————————————————————————-

[1]  โพธิสัตว์ข้ามคงคา ยากจะปกปักตนได้ หมายถึง เอาตัวเองยังไม่รอดแล้วจะไปยุ่งอะไรกับใครได้