ตอนที่ 786 ยุ่งมาก

Elixir Supplier

“เมื่อกี้ได้เจอกั่วเจิ้งเหอเปล่า?” ซูจือจึงถาม

“เจอค่ะ ฉันเจอเขาตอนกําลังออกจากลิฟท์พอดี เลยหยุดคุยกับเขานิดหน่อย”ซูเสี่ยวซวีพูด

“เขาน่ารําคาญมากไหม?” ซูจือจึงถามพร้อมขยับแขนไปด้วย

ซูเสี่ยวซวีอึ้ง เธอไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะพูดแบบนี้ เธอจึงหัวเราะและพูดว่า“เขาน่ารําคาญจริงๆนั่นแหละค่ะ”

“ทําไมพี่ถึงได้รู้สึกว่า ไอ้หมอนั่นทั้งน่ารําคาญและเจ้าเล่ห์กันนะ?” ซูจือจึงถามด้วยท่าที่จริงจัง“ถ้าเธอเลือกเขาละก็ในอนาคตอาจจะถูกเขาหลอกใช้ขึ้นมาก็ได้เธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาทําอะไรอยู่ข้างนอกนั้นบ้าง”

“พี่ ทําไมถึงได้โง่แบบนี้คะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วคนที่ฉันชอบก็คือหมอหวัง!”

“โชคยังดีที่เธอเลือกหวังเย้า” ซูจือฉิงพูด “ถึงเขาจะเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยเขาก็จริงใจกับคนที่ใกล้ชิดกับเขา พี่บอกได้เลยว่าเขาจริงใจกับเธอจริงๆ”

ซูเสี่ยวซวียิ้มหวาน

“อึม แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังถั่วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย” ซูจือจึงพูด “อย่าไปไหนกับเขาตามลําพังเขาอาจใช้แผนการบางอย่างกับเธอก็ได้”

“อ้อ เมื่อเขาเพิ่งจะชวนฉันไปกินข้าวด้วยกันพอดี แต่ฉันปฏิเสธเขาไปแล้วล่ะค่ะ” เธอพูด

“ไม่มีทางที่เขาจะชวนไปกินข้าวเย็นเฉยๆแน่” ซูจือฉิงพูด “เธอห้ามไปเด็ดขาด ห้ามไปกินข้าวกลางวันกับเขา กลางคืนยิ่งไม่ได้ใหญ่!”

หลังจากที่เขาพูดเรื่องคั่วเจิ้งเหอชัดเจนแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาว่า “น้องเขยในอนาคตของพี่กลับบ้านไปแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ หลายวันนี้เขาอาจจะยุ่งมาก”ซูเสี่ยวซวีพูด“ฉันเข้าไปอ่านในเวยป๋อของเขามาจํานวนคนเข้าชมสูงมากหลายคนอยากรักษากับเขาแต่เขากลับมาอยู่ที่ปักกิ่งนานเป็นอาทิตย์

ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้านั้นกําลังยุ่งอยู่จริงๆ เขารักษาคนไข้ไปแล้ว 20 กว่าคนและส่วนมากก็เป็นเด็ก

“หมอหวัง หรือนี่จะเป็นโรคระบาดคะ?” หญิงวัยสามสิบถาม “ครอบครัวเราไอกันทั้งบ้านเลย”

เธอมาหาหมอพร้อมกับลูกสาวคนโตวัยไม่เกิน 7 ขวบ ตัวเธอเองก็มีอาการไอเช่นกัน

“ใช่ครับ ยิ่งในระยะแรกของโรคยิ่งแพร่เชื้อได้ง่าย” หวังเย้าพูด

“หมอช่วยตรวจฉันด้วยได้ไหมคะ?” เธอถาม

“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด

ทุกคนในบ้านล้วนมีอาการไอ มันคือการแพร่เชื้ออย่างหนึ่ง และอาการของเธอก็ยังแย่กว่าลูกสาวด้วยซ้ำหวังเย้าเขียนใบสั่งยาอีกตัวให้กับเธอมันมีรสขมกว่า แต่ประสิทธิภาพก็ดีกว่าด้วย

เขาบอกวิธีการเตรียมตัวยาและพูดว่า “กลับไปทําเองได้เลยนะครับ ภายในสามวันถึงจะเห็นผลเหมือนกับยาที่ให้กับเด็กๆ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด

“ช่วงนี้ อย่าพาลูกๆของคุณไปในที่ที่คนพลุ่งพล่านนะครับ” หวังเย้าแนะนํา

เด็กในวัยนี้ชื่นชอบการได้ออกไปเที่ยวสวนสนุกและสนามเด็กเล่น ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นง่ายต่อการแพร่เชื่ออย่างมาก

“ฉันจะจําเอาไว้ค่ะ” เธอพูด

หวังเย้าจิบชาจากถ้วยชาของเขาเอง ชาเย็นลงแล้ว เขาส่งเสียงเรียก “คนต่อไปครับ!”

หนึ่งวันของเขาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั้ง 5 โมงเย็น ในเวลานี้ก็ยังมีคนไข้อีก 6 คนที่ยังรอตรวจอยู่

หวังเย้าโทรหาที่บ้านอีกครั้งและพูดว่า “ฟ้ว ผมคงต้องทํางานล่วงเวลานะครับ”

เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จหลังหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดแล้ว ไฟตามข้างทางภายในหมู่บ้านถูกเปิดสว่างไสว

“ทําไมถึงเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ? คงเหนื่อยมากสินะ” จางซิวหยิ่งปวดใจ เขาทํางานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งฟ้ามืด แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังไม่มี

“ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย” หวังเข้าตอบ

“รีบกินข้าวเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงยกอาหารวางจนเต็มโต๊ะ

“แม่กับพ่อยังไม่ได้กินเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“พวกเรารอลูกอยู่น่ะสิ” แม่ของเขาพูด “แม่ออกไปดูมาสองรอบ เห็นว่าข้างนอกคลินิกยังเหลือรถอีกไม่กี่คันแล้วแม่เลยคิดว่าอีกเดี๋ยวลูกก็คงกลับมาแล้ว”

“คราวหน้าไม่ต้องรอผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “แม่กับพ่อกินข้าวก่อนได้เลย”

“กินได้แล้ว” แม่ของเขาพูด

“ดื่มสักหน่อยไหม?”

“ครับ ผมจะไปเอาเหล้ามา” หวังเย้าพูด

เขาลุกขึ้นไปหยิบเหล้าชั้นดีมาขวดหนึ่ง เขาเทใส่แก้วให้พ่อของเขา ก่อนจะเทให้ตัวเองปกติเขาไม่ดื่มเหล้าและมักดื่มบางคราวกับพ่อของเขาหรือไม่ก็กับเพื่อนๆ

“วันนี้คนเยอะมากเลยสินะ” พ่อของเขาพูด

“ครับ มากกว่า 40 คน” หวังเย้าตอบ

ตั้งแต่ให้คําแนะนําไปจนถึงจ่ายยา ล้วนเป็นเขาทําคนเดียวทั้งหมด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทําเวลา

“ลูกไม่คิดจะหาคนมาช่วยบ้างเหรอ?” พ่อของเขาถาม

“คิดครับ แต่มันยากอยู่สักหน่อย” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า“คนคนนั้นจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องยาสมุนไพรและสามารถบอกชนิดของสมุนไพรและวัตถุดิบทํายาส่วนใหญ่ได้แล้วก็ต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์และถ่อมตัวด้วย”

เพราะหวังเย้ามีความลับอยู่กับตัวหลายอย่าง ถึงเขาจะระมัดระวังมากแค่ไหนแต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างเผยออกมาได้ในเมื่อคนคนนั้นต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขามันจึงเป็นเรื่องสําคัญสําหรับเขามาก

“อืม แต่ยังไงลูกก็ต้องคิดเอาไว้บ้าง” พ่อของเขาพูด “ลูกคงไม่อยากทําทุกอย่างคนเดียวทั้งหมดตลอดไปหรอก”

“ครับ ผมรู้แล้ว” หวังเย้าตอบ

หลังมื้อเย็น เขาพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ ก่อนจะช่วยนวดเพื่อผ่อนคลายให้พวกเขาเมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

ระหว่างเดินอยู่บนถนน เขาก็เห็นจงหลิวชวนอยู่ไม่ไกล จงหลิวชวนที่เห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหา

“โอ้ เย็นขนาดนี้ยังออกมาข้างนอกอีกเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ครับ” จงหลิวชวนตอบ “เย็นนี้ เรามาฝึกด้วยกันหน่อยไหมครับ?”

“เอาสิ” หวังเย้าพูด “เดินไปด้วยกันเถอะ”

ตอนที่เดินขึ้นเขานั้นหวังเข้าพบว่าการหายใจระหว่างที่กําลังเดินอยู่ของจงหลิวชวนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการนั่ง,การนอน,และการเดินล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก“ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากเลยนะครับเนี่ย!”

“ก็ต้องขอบคุณทักษะที่เชียนเชิงสอนให้ยังไงล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด

เขารู้สึกว่า วิธีการฝึกฝนที่ดูเรียบง่ายที่หวังเย้าสอนให้เขานั้นวิเศษอย่างมาก มันช่วยให้ร่างกายของเขายกระดับขึ้น ทั้งในเรื่องของกําลังกาย, ปฏิกิริยาตอบโต้,และสัญชาตญาณส่วนทักษะต่างๆนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาหากต้องการเก่งขึ้นก็จําต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งด้วย

“แล้วยังอ่านคัมภีร์เต่อยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

“ครับ ผมอ่านทุกวัน” จงหลิวชวนพูด “ผมใช้เวลาอ่านคัมภีร์วันละหกชั่วโมง ตอนนี้ผมสามารถท่องเองได้แล้ว”

เขาต้องใจอ่านมคัมภีร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปิดให้พอผ่านตาเท่านั้น ไม่มีใครคอยให้คําแนะนําหรือคอยกระตุ้นเตือนเขา เขาจําต้องพึ่งพาแค่ตัวเอง เขาจะเป็นเหมือนเหล่าพระสงฆ์ในบางวัดที่เอาแต่สวดมนต์และหลอกลวงผู้คนไม่ได้

“ทุกครั้งที่ผมท่องคัมภีร์เต๋ผมรู้สึกได้ว่าใจของผมสงบ และพลังที่เคลื่อนไหวภายในกายก็ช้าลงมากด้วย”จงหลิวชวนพูด

“การฝึกฝนถือเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณไปในตัว ไม่ใช่แค่ฝึกให้จิตใจแข็งแกร่งและก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว” หวังเย้าพูด

“เชียนเชิงพูดถูกแล้ว” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยอ่านเจอในนิยายกําลังภายในของกิมยังว่าในวัดเส้าหลินก็มีคนที่ทําแบบนั้นได้เหมือนกันเขาเป็นคนแรกที่ฝึกฝนหลายกระบวนท่าจากทั้งหมด 72กระบวนท่าได้แต่มันกลับทําให้เขาไม่กลับและสูญเสียทุกอย่างไปเพราะเขาฝึกฝนจิตใจไม่มากพอจนทําให้จิตมารเข้าแทรกได้

“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ แล้วในตอนท้ายเขาก็กลายมาเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง” หวังเย้าพูด

ทั้งสองเดินมาถึงตีนเขา

“คุณไม่ได้ขึ้นไปบนเขาเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ยอดเขา

“ไม่เคยครับ” จงหลิวชวนตอบ

เขาเคยขึ้นไปบนยอดเขาทางตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น และไม่เคยข้ามเขตเขาไปเลยสักครั้งถึงมันจะเป็นเรื่องง่ายสําหรับเขามากแค่ไหนก็ตามที

“งั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ” หวังเข้าพูด

“ตอนนี้เลยเหรอครับ?” จงหลิวชวนแปลกใจ

“ใช่ ตอนนี้เลย” หวังเย้าพูด

เมื่อได้ยินเสียงคุยจากด้านล่าง ซานเซียนก็ลงมาจากเขา เมื่อมองดูซานเซียนในเวลากลางคืนก็ดูไม่ต่างจากสิงโตตัวหนึ่งเลย

“หมาดน่าเกรงขามอะไรแบบนี้!” จงหลิวชวนอทาน

เขาเคยเห็นซานเซียนจากไกลๆอยู่หลายครั้ง และก็ต้องตกใจกับขนาดของมันตอนนี้เขาได้มาเห็นใกล้ๆแล้ว เขาก็รู้ว่าตัวเองดูถูกมันเกินไปบรรยากาศรอบตัวซานเซียนเหนือกว่าสุนัขทั่วไปมากเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งแต่กลับยืนส่ายหางเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายของมันเมื่อใดก็ตามที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเขตแดนมันจะทําให้คนแปลกหน้าต้องเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น

“คิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม

“มันสุดยอดมาก” จงหลิวชวนพูดโดยไม่ต้องคิด

เขาพูดออกมาจากใจจริง ตั้งแต่ที่เขาเดินมาถึงที่ตีนเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปมันแปลกมากเขาหายใจได้โล่งขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัวเขารู้สึกเหมือนก่าลังแช่ตัวในน้ําร้อนมันเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่สามารถอธิบายได้

“เขาลูกนี้มีพลังวิญญาณ” จงหลิวชวนพูด

“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เนินเขาหนานชานเป็นสถานที่ต้องห้าม มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยขึ้นมาบนนี้”

“ขอบคุณนะครับเขียนเชิง ที่เชื่อใจผม” จงหลิวชวนพูด

“ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราไม่จําเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ในอนาคตผมอาจต้องเดินทางบ่อยขึ้น ในเวลานั้น คงต้องให้คุณช่วยดูแลหมู่บ้านแทนแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ เชียนเชิง ผมอยู่ที่นี่ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”จงหลิวชวนพูด

“ดีครับ” หวังเย้าพยักหน้า เขาเชื่อใจจงหลิวชวน แต่เขาคงจะต้องยุ่งวุ่นวายจัดการกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคตด้วยตัวคนเดียว “คุณคงต้องหาคนมาช่วยด้วย”