พักช่วง

เสี่ยวชีและลี่ชื่อหลงทำไม?

 

คำถามที่ป่ายหวีเนอถามเขามันไม่ใช่อาการเสียดายหรือความสงสัย แต่มันดูน่ากลัวและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แฝงอยู่ และชื่อเสี่ยวชีที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้หัวใจของซูชิงและหลูฮงเชิงแทบกระโดดออกจากอก

 

ซูชิงถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากตอบ “ความจริงแล้วหลังจากเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วที่ท่านอาจารย์เสียไป คฤหาสน์นี้ก็เหลือแค่ผมกับหลูฮงเชิง”

 

นัยน์ตาของป่ายหวีเนอเป็นประกายวาบ เธอหยุดหัวข้อแปลกๆนี้ในเวลาที่เหมาะสมพอดี ป่ายหวีเนอพูดขึ้น “ฉันมีข้อความจากชูฮันมาบอก”

 

ทันใดนั้นซูชิงและหลูฮงเชิงก็เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังทันทีที่ได้ยินชื่อของชูฮัน “คุณพูดว่า—-“

 

สำหรับทั้งคู่การปฏิบัติตัวกับเหย่โม่นั้นก็เพราะรู้สึกขอบคุณสำหรับคำสอนที่หนักแน่นของท่านก่อนตาย การปฏิบัติกับป่ายหวีเนอนั้นเป็นเพราะความกลัวของความแตกต่างในพละกำลัง แต่การปฏิบัติต่อชูฮันนั้น ทั้งซูชิงและหลูฮงเชิงทำมันด้วยความเคารพบูชาจากใจ

 

พวกเขาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชูฮัน

 

แววตาของป่ายหวีเนอเปล่งประกาย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงเรียบเฉยเหมือนกับหุ่นยนต์ “หลังจากมีนาคม ฉันจะรวมอันลูเป็นหนึ่งเดียว”

 

ซูชิงรีบคว้ากระดาษข้างป่ายหวีเนอมาเปิดดูทันที

 

“นายทำได้มั้ย?” หลูฮงเชิงค่อนข้างไม่แน่ใจ เขาและซูชิงไม่จองหองเหมือนกับเหอซาง พวกเขาต้องค่อยๆเรียนรู้ไปทีละขั้น

 

ซูชิงไม่ได้ตอบ เพียงพลิกกระดาษในมือขึ้น “ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำที่เหลือเสร็จได้ทันเวลาที่กำหนด”

 

“อ่า…” หลูฮงเชิงถามต่อ “นายหมายถึง?—-”

 

ตาของซูชิงเป็นประกาย “ฉันกำลังคิดถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้พร้อมๆกัน”

 

กริ๊ง!

ค้อนขนาดใหญ่ในมือหลูฮงเชิงร่วงกระแทกพื้นทันทีพร้อมกับจ้องซูชิงด้วยสายตาอึ้ง ที่น่าแปลกใจสำหรับหลูฮงเชิงมากที่สุดก็คือการที่ซูชิงสามารถข้ามกระโดดไปได้ถึงระดับนั้นแล้ว เขามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งหมดเลยเหรอ?

 

———-

 

บริเวณโดยรอบต่างเป็นสีขาวโพลนเหมือนกันหมด การมาถึงของพายุหิมะทำให้หลายคนลดการระวังตัวลงเนื่องจากหิมะสีขาวทำให้ท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นสีดำสว่างขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อยจากความกดดันของโลกาวินาศอันมืดมนอย่างที่ผ่านมา

 

ฟึบ! ฟึบ!
มีเสียงจังหวะเดินของฝีเท้าที่เฉพาะเจาะจงท่ามกลางหิมะดังขึ้น และร่างคนที่สวมชุดเกราะป้องกันก็เดินอย่างสบายๆท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ถึงแม้ท่าเดินจะดูสบายๆทว่าความเร็วนั่นไม่ได้ช้าเลย โดยเฉพาะแผ่นเหล็กคู่ที่ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์ตรงรองเท้าของคนคนนี้ แสดงให้ถึงอารมณ์ของแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่แท้จริงและโลกาวินาศที่ล้าสมัยก็ไม่ได้เป็นปัจจัยใดๆ

 

ในตอนนี้ถ้าชูฮันได้เจอเหอซาง ก็คงจะต้องตกใจอย่างแน่นอนด้วยเพราะมันมีความต่างระหว่างชุดเกราะของเหอซางกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่มีข้อต่อมากมายที่ต่ออยู่บนชุดเกราะ ทั้งตรงลำคอ แขน เท้า และแว่นอีกหนึ่งคู่ที่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงป้องกันเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่ามันมีเทคโนโลยีขั้นสูงอะไรซ่อนไว้อยู่

 

ถึงแม้เหอซางจะมีชุดเกราะปกป้องตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทว่าส่วนหัวที่สำคัญที่สุดของเหอซางยังคงเปิดโล่งอยู่ หัวล้านของเขายังคงสะท้อนกับแสง ถ้ามองจากไกลๆก็จะดูเหมือนกับเปลือกไข่ที่มีผิวเรียบนวล

 

เหอซางที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆก็หยุดฝีเท้าพลางมองไปที่เท้าข้างหนึ่งของเขาที่ยกค้างไว้อยู่ด้วยสายตาแปลกๆ เท้าซ้ายของเหอซางที่กำลังจะเหยียบลงพื้นถูกเหยุดชะงักไว้ ด้วยเพราะมันมีหินก้อนใหญ่ถูกหิมะฝังกลบไว้และเหอซางก็เกือบจะเหยียบมันเข้า

 

เมื่อมองไปที่หินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบ เหอซางก็เงื้อมมือข้างซ้ายของเขาไปกดปุ่มบนแว่นอย่างไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณ ไม่นานภาพที่ฉายผ่านเลนส์แว่นตาก็เปลี่ยนไป มันไม่มีอะไรพิเศษหรือแปลกๆรอบบริเวณ มีเพียงแค่หินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบอย่างที่เห็น

 

“ไม่อยากจะเชื่อ?” เหอซางตะลึง “หัวล้านมันสว่างยิ่งกว่ากูอีก!”

 

ฟึบ!

มีเสียงแปลกๆดังมาจากตรงพื้น ทำให้เห็นว่าหินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบค่อยๆไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกแช่แข็งอยู่ น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้ต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน”

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หิมะได้ตกลงไปกลบหลุมขนาดใหญ่ ผู้ชายคนนั้นที่เกือบจะตายจากการถูกแช่แข็งถูกเหอซางดึงตัวขึ้นมา ที่เหอซางมองไม่เห็นตอนแรกเพราะผู้ชายคนนี้ถูกหิมะปกคลุมไปหมด ทว่าหัวที่สะท้อนแสงของเขานั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน

 

เหอซางยกมือขึ้นจับหัวล้านของตัวเองและอยากจะสัมผัสหัวล้านของอีกฝ่าย “หัวล้าน นายชื่ออะไร?”

 

“อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน!” เสียงของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ฉันชื่อ เสี่ยติง”

 

“โอ้” เหอซางพยักหน้าเขา “ขอบคุณสำหรับข้อแนะนำ…ไม่ใช่คนหัวล้านด้าน!”

 

“อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน!”

 

“หัวล้าน ขี้โวยวาย ที่ไม่มีการวางแผนในการรับมือกับหิมะ”

 

“…นายกินอะไรหรือยัง?” เสี่ยติงตัดสินใจที่จะไม่สานความยาวต่อความยือเรื่องหัวล้านต่อ

 

“ฉันมีไข่”

 

เหอซางที่ยังไม่ได้รับข้อความจากป่ายหวีเนอก็อยู่บนถนนตามหาชูฮันพร้อมกับผู้ช่วยคนใหม่

 

———-

 

ขณะนี้ ภายในเสาหิน ในโลกคู่ขนาน แผ่นหลังของชูฮันชุ่มไปด้วยเหงื่อโชก ครั้งนี้การทดสอบของระยะ 3 รุนแรงเกินปกติหากชูฮันก็ยังคงควบคุมช่วงจังหวะได้อยู่ แต่มันก็แตกต่างไปในจุดพื้นที่ของการเดินทาง ทว่าหัวใจของชูฮันก็ยังคงนิ่งสงบได้เมื่อมันเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนระบบล่มสลายที่เกี่ยวพันกับชีวิตของแม่เขาอยู่ แต่ถึงแม้ชูฮันจะสั่งตัวเองให้สงบนิ่งหากมันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่วิตกภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

 

เสียงเครื่องกลของเสาหินดังขึ้นทันทีที่ชูฮันปรากฏ “เป็นไปได้ไหมที่จะเข้าไปในโลกคู่ขนาน ถ้าได้คะแนน S จากการทดสอบ?”

 

ชูฮันสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขาสูบฉีดอย่างรุนแรง “ฉันขอพักไว้ก่อนแล้วค่อยสู้ต่อทีหลังได้มั้ย?”

 

เพราะมันสำคัญมากๆชูฮันถึงต้องระมัดระวังอย่างสูง

 

“แน่นอน” เสียงของเครื่องกลตอบชูฮัน “คุณผ่านการประเมิณด้วยคะแนน S คุณสามารถบันทึกข้อมูลไว้ก่อน ด้วยคะแนน S ที่มีและตราบใดที่คุณยังอยู่ในระยะ 3 คุณสามารถดำเนินการต่อได้ทันทีที่มา”

 

“เข้าใจแล้ว บันทึกข้อมูล” ชูฮันเข้าใจถึงความสัมพันธ์ทั้งหมด หลังจากได้รับคะแนน S เขาสามารถหยุดพักระหว่างกลางได้ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นมนุษย์และการทำการทดสอบต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี แถมการฝ่าเข้าไปในโลกคู่ขนานโดยตรงเลยทันทีก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ

 

ไม่นานหลังจากการบันทึกเสร็จสิ้น ชูฮันก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีท่ามกลางทะเลสาบที่หนาวเหน็บ และในขณะเดียวกันนั่นเอง ข้อมูลที่ปรากฏบนผลการประเมิณของระยะ 3 ก็ได้เปลี่ยนไป