อสูรวิญญาณครวญเบิกเนตรแล้ว หานลี่เชื่อมโยงจิตใจกับมันเพียงเล็กน้องถึงได้รู้ว่าอสูรตัวนี้สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณทมิฬที่น่ากลัวกลุ่มหนึ่งได้ในส่วนลึกของเทือกเขานั้น ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่แข็งแกร่งสักอย่างอยู่จนแม้กระทั่งมันเองก็รู้สึกกระวนกระวาย

 

 

เดิมทีอสูรวิญญาณครวญก็เป็นรองจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยกำเนิดแล้ว พลังวิญญาณทมิฬที่ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นภูตที่น่ากลัวแล้ว

 

 

แม้จะกล่าวว่าอสูรวิญญาณครวญดูเหมือนจะไม่ได้ไม่มีพลังต้านทาน แต่หานลี่กลับไม่อยากเสี่ยงอันตรายครั้งนี้

 

 

ดังนั้นเขาจึงยกเลิกการเข้าไปในเทือกเขานี้ในทันที แล้วยอมเสียเวลานานอ้อมไปทางอื่นที่ไกลออกไปแทน

 

 

เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความลับของอสูรวิญญาณครวญ แน่นอนว่าหานลี่จึงไม่อยากเอ่ยอะไรกับเหลยหลันและพวกทั้งสองอย่างละเอียด ถึงได้ใช้เหตุผลที่ดูเหมือนไม่ใช่เหตุผลแก้ต่างไป

 

 

เช่นนั้นจึงทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสองรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจสองสามครั้ง แต่กลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด

 

 

เขาไม่ได้อยากอยู่ที่เผ่าวิหคสวรรค์นานนัก เหตุใดต้องคิดหาวิธีดูแลสองคนนี้ ขอแค่พวกเขาไม่เป็นตัวถ่วงในการทดสอบครั้งนี้ก็พอแล้ว

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนี้จากนั้นหานลี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ไป๋ปี้และเหลยหลันฟังออีก บุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ไม่อยากเอ่ยอะไรอีกเช่นกัน

 

 

ครานั้นบนรถวิญญาณจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดเป็นพิเศษ

 

 

ระหว่างทั้งสามคนหานลี่ยืนอยู่บนรถพลางทอดสายตามองไกลออกไป ไป๋ปี้ก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด เหลยหลันก็นั่งสมาธิหลับตาไปเสียซะอย่างนั้น

 

 

รถวิญญาณที่ถูกหานลี่กระตุ้นด้วยพลังทั้งหมดออกห่างจากเทือกเขาได้ในเพียงชั่วครู่ ยิ่งบินออกไปไกลเท่าไหร่ ก็จมเข้าสู่ป่ารกร้างที่บัดเดี๋ยวมืดมนบัดเดี๋ยวสว่างพร่างอีกครั้ง

 

 

หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ดึงสายตากลับมาจากจุดที่ไกลออกไป หันหน้าไปทางที่ว่างด้านหลังรถ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย

 

 

การเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดของหานลี่แน่นอนว่าทำให้เหลยหลันและไป๋ปี้รู้สึกสนใจ

 

 

ทั้งสองคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น คนหนึ่งลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

 

 

มองตามสายตาของหานลี่ไป แต่รอบด้านของรถวิญญาณล้วนเป็นสีเทาขมุกขมัว ไหนเลยจะมีความผิดปกติ และเป็นเพราะจิตสัมผัสถูกกดเอาไว้เมื่ออยู่ในหุบเหว ทั้งสองจึงไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกตรวจสอบได้ หลังจากมองอีกชั่วครู่ ก็แค่มองไปทางหานลี่ด้วยความประหลาดใจ

 

 

หานลี่ยืนอยู่ในรถด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ลำแสงสีฟ้าในรูม่านตาพลันไหลเวียนไปมาไม่หยุด ไม่ปริปากใดๆ แม้แต่คำเดียว

 

 

“พี่หาน…” ในที่สุดไป๋ปี้ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พริบตาที่เขาเอ่ยปาก ฉับพลันนั้นหานลี่ก็ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปตวัดวาดไปกลางอากาศ

 

 

เสียง “ฟู่” ดังขึ้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งสับผ่านไปที่ด้านหลังรถวิญญาณราวกับสายฟ้า

 

 

ทำให้ไป๋ปี้และพวกทั้งสองสะดุ้งโหยงกับฉากที่ปรากฎขึ้น

 

 

จุดที่ลำแสงสีทองแฉลบปผ่านไป พลันมีไอสีเขียวสว่างพร่าง หมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ และถูกลำแสงสีทองสับออกเป็นสองส่วน

 

 

กลางม่านหมอกกลับมีเสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมอกสีเขียวเขียวสองกลุ่มพุ่งไปทางด้านหลัง ผนึกรวมตัวกันกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะผสานกลายเป็นกลุ่มเดียวกันอีกครั้ง

 

 

หมอกสีเขียวพลันหมุนวน กลายเป็นปีศาจวานรประหลาดที่มีขนสีเหลืองปกคลุมร่างตัวหนึ่ง

 

 

นั่นก็คืออสูรวานรอาฆาตที่สังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไปคนหนึ่งตัวนั้น

 

 

ในที่สุดมันก็ไล่ตามรถวิญญาณทันเมื่อไม่นานมานี้ ภายใต้ความตื่นเต้นดีใจจึงคิดจะเข้าใกล้สักหน่อย จากนั้ันค่อยใช้หมอกพิษห่อหุ้มรถเหาะคันนี้ไว้ แล้วสังหารพวกของหานลี่

 

 

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหานลี่ไม่เพียงจะมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าระดับเทพแปลง เนตรวิญญาณวารีกระจ่างยังสามารถมองทะลุผ่านร่างมายาของเขาได้อย่างง่ายดาย ถูกฟันทำลายความสามารถในการอำพรางตัวไป จึงจำใจต้องปรากฎกาย

 

 

เมื่อเห็นปีศาจวานรตัวนี้ เหลยหลันและไป๋ปี้พลันตกตะลึง ซู้ดปากแล้วบินออกจากรถ แยกกันออกเป็นสองฝั่ง

 

 

แม้ว่าทั้งสองจะแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ปีศาจวานรอยู่ใกล้กับพวกเขาถึงเพียงนี้กลับไม่อาจสัมผัสได้นั้น เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาลวงตานั้นร้ายกาจขนาดไหน แต่หานลี่ที่อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเช่นกันนั้นสัมผัสได้ได้อย่างไร

 

 

ทั้งสองคนมองไปทางปีศาจวานรด้วยท่าทางระแวดระวัง ในใจรู้สึกไม่เข้าใจเลยสักนิด

 

 

ครานี้รถเหาะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหานลี่พลันหยุดลงอย่างแช่มช้า หานลี่มองไปยังปีศาจที่ด้านหลังรถโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

 

 

“คนบนดินอย่างพวกเจ้าสามคนทำลายการบวงสรวงของนายท่านข้าสินะ?” อสูรวานรอาฆาตเบิกตากลมโต จ้องเขม็งไปยังทั้งสามพลางเอ่ยถามอย่างเย็นชา

 

 

“บวงสรวง? บวงสรวงอะไร เราสามคนทำเรื่องนั้นตอนไหนกัน?” ไป๋ปี้พลันใจหายวาบ แต่กลับถามกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้สนใจภาษามนุษย์ที่ปีศาจวานรพ่นออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ที่ทะเลทรายก่อนหน้านี้พวกเจ้าทำลายดอกไม้วิญญาณยักษ์ต้นหนึ่งใช่หรือไม่ นั่นคือของบวงสรวงของนายข้า!” รูม่านตาของปีศาจวานรเปล่งแสงเย็นเยียบ เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

 

 

“เปล่า!” เมื่อได้ยินปีศาจวานรเอ่ยถึงดอกไม้วิญญาณยักษ์ หานลี่พลันใจเต้น แต่กลับเอ่ยด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ

 

 

น้ำเสียงราบเรียบและเด็ดขาด ทำให้ปีศาจวานรอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แต่ทันใดนั้นสายตาก็กวาดไปยังเหลยหลันและพวกทั้งสอง พบว่าพวกเขามีสีหน้าแปลกประหลาด ความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นโทสะพลันปะทุขึ้น

 

 

“บนร่างของพวกเจ้ามีกลิ่นอายสูบโลหิตของดอกไม้วิญญาณยักษ์ที่ใช้บวงสรวง แล้วยังกล้าหลอกข้า ข้าจะสูบพวกเจ้าเข้าไปในท้อง แล้วกลับไปรายงานนายท่าน” วานรตนนี้เอ่ยอย่างโหดเ**้ยม ร่างกายหมุนคว้าง กลายเป็นหมอกสีเขียวสิบจั้งเศษห่อหุ้มทั้งสามเอาไว้

 

 

“รนหาที่ตายนัก!” ไป๋ปี้หุบยิ้มบนใบหน้า ปีกทั้งสองสะบัดไปทางม่านหมอกอย่างแรง

 

 

เสียงแหวกผ่านอากาศดังขึ้น เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านม่านหมอก เกิดเป็นรูนับพันรู

 

 

แต่ม่านหมอกกลับผนึกผสานกันเป็นดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางลำแสงสีเขียว

 

 

เสียง “ตู้มๆ” ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

เหลยหลันที่อยู่อีกด้านเห็นท่าไม่ดี สองมือพลันร่ายอาคม ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สองสายพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ โจมจีไปยังหมอกสีเขียว และระเบิดออกจากตรงกลาง

 

 

หลังจากที่ลำแสงอัสนีสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปแล้ว หมอกสีเขียวก็หยุดชะงัก เผยรูขนาดใหญ่ถึงสองจั้งออกมา

 

 

มุมปากของเหลยหลันไม่ทันได้เผยรอยยิ้มออกมา ในม่านหมอกกลับมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของปีศาจวานรดังขึ้น

 

 

หมอกสีเขียวหมุนติ้วๆ แล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ยังคงร่อนลงมาอย่างโหดเ**้ยม

 

 

ไป๋ปี้และเหลยหลันล้วนหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงเลยว่าอสูรวานรอาฆาตตัวหนึ่งจะจัดการได้ยากเช่นนี้ คนหนึ่งใช้มือหนึ่งหมุนวนอย่างรวดเร็ว ในมือมีหวีไม้สีเขียวปรากฎขึ้น อีกคนหนึ่งกลับใช้สองมือร่ายอาคม บนร่างมีประจุไฟฟ้าอัสนีล้อมรอบอยู่ ดูเหมือนว่าจะอยากสำแดงอะไรสักอย่างออกมา

 

 

หานลี่กลับแค่นเสียงด้วยความเย็นชาออกมา ครานี้จึงได้ลงมือ

 

 

แผ่นหลังของเขามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างจ้า ภาพมายาวิหคสีเขียวขนาดใหญ่พลันปรากฎขึ้น อ้าปากออกกลางอากาศ

 

 

เสียง “ฟู่” ดังขึ้น เสาลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพ่นออกมาจากปากของวิหคตัวนั้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ทะลุผ่านใจกลางของหมอกสีเขียวไป

 

 

ทันใดนั้นเสาลำแสงพลันสลายไป กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วระเบิดออก

 

 

วายุบ้าคลั่งพลันก่อตัวขึ้น!

 

 

พายุหมุนที่บ้าคลั่งสายหนึ่งปรากฎขึ้นท่ามกลางม่านหมอก ม้วนเอาหมอกสีเขียวทั้งหมดเข้าไปในพายุ หลังจากหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป

 

 

หมอกสีเขียวกลุ่มนี้ราวกับถูกพายุพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เหลยหลันและไป๋ปี้เห็นฉากนี้ก็อดที่จะะตกตะลึงไม่ได้

 

 

หรือว่าปีศาจที่รับมือได้ยากขนาดนี้จะถูกสังหารไปเช่นนี้

 

 

แต่หานลี่มองเห็นฉากนี้กลับมีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน ฉับพลันนั้นหัวไหล่พลันสั่นเทาที่แผ่นหลังพ่นไอกระบี่สีทองหนาๆ แปดสายออกมา

 

 

เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงไปทางด้านหลังทั้งแปดจุด

 

 

เสียงร้องประหลาดๆ แปดเสียงดังขึ้นพร้อมกันกลางอากาศ จากนั้นเงาสีเขียวแปดกลุ่มก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ และหลบหลีกไอกระบี่เหล่านั้น

 

 

“เจ้ามองเห็นพวกเรา!” เงาลำแสงสีเขียวเตี้ยยิ่งกว่าปีศาจวานรตัวเดิมแปดสายปรากฎขึ้นลางๆ หนึ่งในนั้นยังเอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึง

 

 

“วิชาอำพรางแค่นี้ถูกมองออกแล้วแปลกตรงไหน เจ้าคือปีศาจอะไร ไม่ใช่อสูรวานรอาฆาตสินะ อสูรวานรอาฆาตไม่อาจมีวิชาแยกร่างได้” ร่างของหานลี่เลือนรางไปเล็กน้อย เผชิญหน้ากับเงาสีเขียวตรงข้ามแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

 

 

ส่วนเหลยหลันและไป๋ปี้ทั้งสองถึงได้หันกายไปด้วยความตกใจ

 

 

เห็นได้ชัดว่าแม้ทั้งสองจะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ แต่ก็ขาดประสบการณ์จากการต่อสู้ที่แท้จริงมาก มิน่าล่ะเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ ถึงได้ไม่คิดว่าทั้งสองจะเอาชนะในการทดสอบได้เพียงลำพัง

 

 

“หึๆ คนบนพื้น เจ้าหมายจะถามประวัติความเป็นมาของข้า ฝันไปเถอะ! ดูแล้วเจ้าไม่เหมือนกับคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั่วๆ ไป บนพื้นข้าอาจจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ในหุบเหวแม้ว่าเจ้าจะมีพลังยุทธ์สูงกว่าข้าสองสามเท่า ก็ไม่อาจเป็นคู่มือของข้าได้” ครั้งนี้คาดไม่ถึงว่าผู้ที่เอ่ยปากจะเป็นเงาสีเขียวอีกเงาหนึ่ง ทันใดนั้นเงาสีเขียวแปดสายก็แหงนหน้าหัวเราะร่อกับท้องฟ้าพร้อมกัน จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะผนึกรวมกันกลายเป็นปีศาจวานรที่เหมือนกันแปดตัว

 

 

มือของปีศาจวานรเหลานี้มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีมีดสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นพร้อมกัน ตัวมีดเป็นสีเขียวมรกตกระโจนเข้าหามาพวกของหานลี่ทั้งสาม

 

 

หานลี่พลันขมวดคิ้วฉับพลันนั้นพลันยกมือหนึ่งขึ้น ฝ่ามือที่มีนิ้วเรียวขาวราวกับหยกพลันกางนิ้วออก

 

 

ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงห้าสีผืนหนึ่งก็ถูกพ่นออกมาจากนิ้วทั้งห้า ว่องไวอย่างหาที่เปรียบ แค่ม้วนวนก็กวาดปีศาจวานรทั้งแปดตัวเข้าไปด้านใน

 

 

จากนั้นลำแสงห้าสีในเปลวเพลิงลำแสงก็เปล่งประกาย ร่างของปีศาจวานรแปดตัวเคลื่อนไหวช้าลงเป็นสิบเท่า

 

 

หานลี่ถือโอกาสนี้อ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงสีเงินระยิบระยับออกมา

 

 

ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนไหว เสียง “ปัง” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินระเบิดออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นลูกธนูเพลิงสีเงินแปดลูก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป

 

 

หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น ลูกธนูเพลิงสีเงินแปดสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบทะลุผ่านไปถูกปีศาจวานรที่ถูกเปลวเพลิงลำแสงห้าสีพันธนาการเอาไว้ แม้ว่าปีศาจวานรเหล่านี้จะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าในใต้หล้านี้จะมีคนที่มีความสามารถประลหาดๆ อย่างการลดความเร็วผู้อื่น

 

 

โดยไม่ทันตั้งตัวปีศาจวานรทั้งแปดเห็นว่าลูกธนูจะเข้ามาโจมตีตัวเอง แต่ร่างกายที่ถูกพันธนการอยู่ ก็ไม่อาจหลบหลีกได้ ทำได้เพียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ตรงทรวงอกทยอยกันมีรูขนาดเท่ากำปั้นปรากฎขึ้น ตรงขอบของเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วเริ่มแผดเผา

 

 

ปีศาจวานรที่อยู่ในลำแสงสีเงินกลายเป็นควันสีเขียว ชั่วพริบตาก็หายวับ

 

 

ปีศาจตนนี้ไม่ทันได้แม้แต่จะสำแดงความสามารถหนึ่งในสิบส่วนของตนเองออกมา ก็ตายไปโดยไม่รู้ตัว แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่อาจหนีพ้น!

 

 

เมื่อเปลวเพลิงสีเงินรวมตัวกันอีกครั้ง ก็กลายเป็นวิหคเพลิงตัวหนึ่งจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่ เหลยหลันที่อยู่ด้านข้างและไป๋ปี้พลันมองด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง

 

 

แม้ว่าทั้งสองจะแค่ประมือกับปีศาจวานรครั้งหนึ่ง แต่ก็มองออกถึงความร้ายกาจและโหดเ**้ยมที่ไม่ธรรมดาของมัน น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดถึงจะถูก

 

 

แต่ผลคือปีศาจตนนี้คาดไม่ถึงว่าจะถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือขึ้น เช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก จะไม่ให้พวกเขาตะลึงงันได้อย่างไร

 

 

ครานี้ทั้งสองถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า ระยะห่างระหว่างตนเองและหานลี่ห่างไกลกันแค่ไหน สายตาที่เหลือบมองหานลี่จึงแปลกประหลาดไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

“ไปกันเถิด! ปีศาจตนนี้เอ่ยถึงนายท่านอะไรนั้น เกรงว่าคงต่อกรได้ยาก” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ เท้าข้างหนึ่งแตะไปที่รถวิญญาณ ชั่วขณะนั้นรถคันนี้ก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงสีขาวนวล