บทที่ 1 เด็ก ๆ[รีไรท์] EnjoyBook
บทที่ 1 เด็ก ๆ[รีไรท์]
“ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าข้าจักรพรรดิเซียนสูงสุดจะต้องยอมละสังขารไปเกิดในโลกใบใหม่ ซ้ำยังต้องเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรใหม่ทั้งหมด!”
“ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าเพื่อการฝึกฝนวิถีแห่งเต๋านั้นข้าจะต้องละทิ้งอารมณ์ทั้งเจ็ดที่มีอยู่ แต่แล้วอีกเพียงก้าวเดียว ก้าวเดียวเท่านั้นเต๋าไร้อารมณ์ของข้ากลับกลายว่าเป็นเส้นทางตัน มันกลับทำให้ข้าไม่สามารถบรรลุระดับนิรันดร์กาลได้!”
“เอาล่ะ ชีวิตหน้าข้าต้องเปลี่ยนมัน ข้าต้องเปลี่ยนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของข้าใหม่ ข้าต้องทำให้เต๋าของข้าเป็นนิรันดร์!”
หลังจากที่เขาบ่นงึมงำเสร็จเขาก็นำตนเองกลับไปสู่วงเวียนแห่งวัฏจักรสงสารเพื่อเกิดใหม่
ทวีปเทียนหยวน ภาคตะวันตกของอาณาจักรจันทรา เมืองฟีนิกซ์
ลานกว้างหน้าเรือนหลิง เรือนขนาดใหญ่อันรกร้างทรุดโทรม ชายหนุ่มมองภาพบรรยากาศในลานด้วยสีหน้าที่ขัดแย้ง เขาพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบูดเบี้ยว
“เพื่อที่จะสร้างอารมณ์ของข้าเองขึ้นมาใหม่ ข้ากลับต้องมารับเลี้ยงเด็กกำพร้าเนี่ยนะ?”
เขาพยายามนึกถึงเรื่องราวของเจ้าของร่างที่เขาลงมาจุติด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขานั้นได้ลงมาจุติในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนและเขาเริ่มพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ ของร่างที่เขาลงมาเป็นเจ้าของบ้างแล้ว
บุคคลผู้นี้เกิดมาในตระกูลหลิง แต่ชื่อที่พ่อของเจ้าของร่างนี้ตั้งให้นั้นกลับมีความหมายว่า ไร้ใจ?
“แล้วทำไมพ่อข้าในชาตินี้กลับตั้งชื่อได้คล้องจองกับบุคลิกในชาติที่แล้วของข้าได้กัน? ไม่ได้ ๆ ชาตินี้ข้าไม่ต้องการความโหดเหี้ยม ข้าต้องการอารมณ์ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ธรรมดา! ดังนั้นในชีวิตนี้ข้าจะเรียกตัวเองว่า ตู้ฉิง หลิงตู้ฉิง!”
หลิงตู้ฉิงไม่คิดว่าหลังจากกลับชาติมาเกิด เขาจะได้มาจุติในร่างของชายหนุ่มอายุ 25 ปี และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาสามารถรื้อฟื้นความทรงจำของร่างนี้ในช่วงอายุก่อน 25 ปีได้แค่เพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมก่อนหน้านี้ร่างของเขาถึงได้ไปรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ถึง 7 คน
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนประเด็นเรื่องคู่ครองของร่างนี้นั้น ช่างน่าอาภัพยิ่งนักเนื่องจากร่างนี้ไร้ซึ่งรากฐานจิตวิญญาณการบ่มเพาะ จึงไม่มีหญิงสาวคนไหนชายตาแลคนธรรมดาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้เช่นเขาสักคน
ส่วนเรื่องครอบครัวของเขา ตามที่รู้มาพ่อแม่ในชาตินี้ของเขาเสียชีวิตทั้งคู่ระหว่างการเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
ไม่มีใครรู้ว่าร่างไร้วิญญาณของพวกเขาอยู่ที่ไหน
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ การเดินทางของชีวิตใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังถอนใจ เด็กชายอายุราว ๆ 9 ขวบก็เดินมาหาและเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาในขณะที่พูด “ท่านพ่อ พรุ่งนี้เป็นวันทดสอบเข้าสถาบันหงส์เพลิง ท่านพอจะมีเวลาว่างไปดูข้าทำการทดสอบบ้างไหม?”
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของเด็กชาย หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าแล้วยิ้ม
เช่นเดียวกับเขา เด็กกำพร้าเหล่านี้ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน
เด็กชายที่เดินมาถามคนนี้คือลูกชายที่อายุมากที่สุดของเขาชื่อ หลิงยู่ชาน
เขาเลี้ยงดูเด็กกำพร้าทั้งหมด 7 คน หลิงยู่ชาน คือคนที่โตที่สุดโดยอายุ 9 ขวบครึ่งแล้ว ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดชื่อหลิงไช่หยุนอายุ 3 ขวบในปีนี้
หลิงยู่ชานแปลกใจมากที่หลิงตู้ฉิงรับปากว่าจะไปดูเขาเข้าร่วมการทดสอบ เพราะเขารู้ว่าพ่อของเขาไม่สามารถบ่มเพาะได้และน่าจะไม่อยากไปที่สถาบันหงส์เพลิง แต่กระนั้นมันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เขายังหวังว่าผู้ที่รับเลี้ยงเขามาจะมาดูเขาสอบด้วยสายตาตนเอง นั่นเป็นสาเหตุที่เขามาขอ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าพ่อของเขาจะตอบตกลงง่ายเช่นนี้
แต่เมื่อคิดถึงการทดสอบ หลิงยู่ชานก็ถามอย่างกังวลว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ข้าจะสอบผ่าน ข้าได้ยินว่าการทดสอบนั้นเข้มงวดมาก และคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจผ่านการทดสอบได้”
หลิงตู้ฉิงกวักมือเรียกหลิงยู่ชานให้เข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “มานี่ มาให้พ่อดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย”
เมื่อหลิงยู่ชานมาอยู่ตรงหน้า หลิงตู้ฉิงก็เพ่งสำรวจไปที่หลิงยู่ชานอยู่สักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นและพึมพำอยู่ในใจ
“สายเลือดแห่งทรราชย์สวรรค์?”
บุตรคนโตที่เขารับเลี้ยงกลายเป็นผู้มีสายเลือดแห่งทรราชย์ซึ่งเป็นสายเลือดที่โด่งดังของดินแดนแห่งเทพ อย่างไรก็ดีสายเลือดทรราชย์ของเขายังไม่ตื่นขึ้นมา เขาจึงยังไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของมันได้
“ชานเอ๋อ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าจะผ่านการทดสอบอย่างแน่นอน” หลิงตู้ฉิงกล่าวอย่างไม่ลังเล ถ้าสายเลือดแห่งทรราชย์สวรรค์ยังไม่ผ่านการทดสอบ แล้วใครกันมันจะไปสอบผ่านได้?
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง หลิงยู่ชานก็ดูไม่มีความสุขเพิ่มขึ้นเอาสักเท่าไหร่ เขารู้ว่าพ่อของเขาไม่สามารถบ่มเพาะได้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พ่อของเขาจะเข้าใจถึงความยากลำบากของการทดสอบของผู้เชี่ยวชาญ เขาจึงเข้าใจว่าประโยคที่หลิงตู้ฉิงพูดกับเขาเป็นเพียงคำพูดปลอบใจเท่านั้น
“ท่านพ่อ ข้าขอตัวไปเตรียมตัวทดสอบวันพรุ่งนี้ก่อนนะ” หลิงยู่ชานกล่าวขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเขาลูบหัวบุตรชายคนโตแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ อย่าได้กังวล”
หลังจากหลิงยู่ชานจากไปหลิงตู้ฉิงก็เริ่มใคร่ครวญถึงอดีต
อดีตชาติที่แล้วเขาเคยฝึกวิถีแห่งเต๋าไร้อารมณ์ เขาไม่สามารถบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรตบะแบบชาติก่อนได้แล้ว เพราะวิถีแห่งเต๋าแบบเดิมที่เขาเคยบำเพ็ญเมื่อชาติที่แล้วมันเป็นทางตันวิถีนั้นไม่มีทางที่จะบรรลุได้ถึงขอบเขตนิรันดร์กาล
“ดูเหมือนข้าจะต้องคิดค้นวิธีบ่มเพาะใหม่เฉพาะของข้าเองแล้ว”
โชคดีที่เขาร่ำเรียนวิชามามากมายในชีวิตเก่า ต่อให้แม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังไม่สามารถคิดค้นวิธีฝึกที่จะใช้บ่มเพาะไปจนถึงขอบเขตนิรันดร์กาลได้ แต่มันไม่มีปัญหาอะไรหากเขาจะคิดค้นวิธีที่ไว้ใช้บ่มเพาะในขอบเขตระดับต่ำไปก่อน
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดถึงวิธีบ่มเพาะแบบใหม่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงบุตรสาวของเขาร่ำไห้
เขารีบวิ่งไปที่ห้องบุตรสาวที่กำลังร่ำไห้พลางเร่งร้อนถาม “ไช่หยุน เกิดอะไรขึ้น”
“ท่านพ่อ….ข้างีบหลับไป ตื่นไม่ทันยามบ่าย ข้าเลยฉี่รดกางเกง ฮือฮือฮือ” เด็กหญิงน้อยพูดไปร้องไห้ไป
หลิงตู้ฉิงรีบเอ่ย “มันก็แค่กางเกงเปียก เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ลูกรักของพ่ออย่าร้องไห้อีกเลยนะ มา ๆ โอ๋ ๆ”
หลิงตู้ฉิงช่วยบุตรสาวเปลี่ยนกางเกงและนำตัวใหม่ที่แห้งสะอาดมาให้นางแล้วจึงกลับไปซักกางเกงของบุตรสาว
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ออก
“ข้าผู้เป็นตัวตนที่ได้รับการเคารพนับถือในชาติก่อน ตอนนี้ข้ากลับตกต่ำถึงขนาดที่ต้องมาซักกางเกงด้วยตนเองเชียวหรือ?”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกตะลึงใจ แต่ต่อจะให้มีความรู้สึกที่ผสมปนเป เขาก็ยังคงเดินไปยังหลังเรือนเพื่อซักกางเกงให้ลูกสาวของเขา เมื่อช่วงแรกที่หลิงตู้ฉิงพึ่งลงมาจุติ เขาอับอายมากที่ต้องทำหน้าที่แบบนี้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มที่จะชินในการทำเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
อันที่จริงตระกูลหลิงก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งในเมืองฟินิกซ์ แต่หลังจากที่พ่อแม่ของเขาจากไป ตระกูลก็ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย
หลิงตู้ฉิงเองที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้จึงไม่มีหนทางหาเงิน เขาต้องดูแลคนจำนวนมากในตระกูล ก่อนหน้านี้เขาจึงต้องขายสมบัติในตระกูลชิ้นแล้วชิ้นเล่า
เมื่อเวลาผ่านไปสมบัติที่มีอยู่ก็เริ่มร่อยหรอ จนท้ายที่สุดหลิงตู้ฉิงเองก็ไม่มีทางเลือกจำต้องเลิกจ้างบ่าวรับใช้ทุกคนในเรือน เหลือไว้เพียงพ่อบ้านเก่าผู้ซื่อสัตย์ไว้เท่านั้น
หลังจากซักกางเกงของบุตรสาวคนสุดท้องเสร็จ พ่อบ้านชราได้เดินเข้ามาแล้วมองดูหลิงตู้ฉิงและเอ่ยว่า “นายท่าน เราเหลือเงินใช้ได้เพียงแค่ถึงสิ้นเดือนนี้เท่านั้นและยังมีค่าเล่าเรียนของลูก ๆ นายท่านที่ต้องจ่ายภายในเดือนนี้ นอกจากนี้หากสถาบันหงส์เพลิงยอมรับนายน้อยยู่ชานเข้าเป็นนักเรียนหลักจริง ๆ ค่าเล่าเรียนประจำปี….”
หลิงตู้ฉิงโบกมือและกล่าวว่า “พ่อบ้านโม่ ตอนนี้เจ้าไปดูก่อนว่าตอนนี้มีของชิ้นใดพอที่จะมีค่าบ้าง หากมีเจ้าจงนำพวกมันไปขายก่อน ไว้รอข้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ข้าจะหาเงินเข้ามาเพิ่มเอง”
พ่อบ้านชรายิ้มอย่างบูดเบี้ยว “นายท่าน เราได้ขายของไปจนหมดเรือนแล้ว”
“หืม? นี่เราไม่เหลือของมีค่าอะไรอีกแล้วงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถาม
“ยังมีจี้หยกสองชิ้น ที่เป็นของต่างหน้าของพ่อและแม่ท่าน แต่ท่านบอกข้าหลายทีแล้วว่าไม่ให้ขายมัน ส่วนที่เหลือนอกจากของใช้ทั่วไปในเรือนแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก” พ่อบ้านชรารายงาน
หลิงตู้ฉิงเกาหัว “ได้ เดี๋ยวข้าจะรีบหาทางทำอะไรสักอย่าง”
หลังจากพ่อบ้านชราจากไป หลิงตู้ฉิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น
ฐานะของข้าในชาตินี้ตกต่ำขนาดนี้เชียวหรือ?
ปัญหาในปัจจุบันของเขาไม่ได้เกี่ยวกับการบ่มเพาะแต่เป็นความอยู่รอดของตระกูลและการดูแลเด็กน้อยทั้ง 7 คน
เขาใคร่ครวญเรื่องเหล่านี้อยู่นานและพูดกับตัวเองว่า “ข้าควรจะคิดหาวิธีบ่มเพาะให้ได้ก่อน ถ้าข้ามีพละกำลังมากกว่านี้ก็น่าจะหาเงินได้ง่ายขึ้น”
พูดจบหลิงตู้ฉิงจึงเดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง เขาเริ่มพยายามรื้อฟื้นความทรงจำในชาติก่อน เมื่อเวลาผ่านไปสักพักรัศมีพลังวิญญาณก็เริ่มปรากฏขึ้นรอบกายเขา
รุ่งเช้าวันถัดมา
หลิงตู้ฉิงลืมตาขึ้นและยิ้มอย่างสมใจ “ในชาตินี้วิถีเต๋าของข้าหลักสำคัญคืออารมณ์ทั้งเจ็ดซึ่งไม่มีวิถีเต๋าใดที่จะเหมือนกับเต๋าของข้าอีกแล้ว ดังนั้นข้าจะตั้งชื่อมันว่า เต๋าตู้ฉิง วิถีแห่งเต๋าที่ต้องใช้อารมณ์ในการบ่มเพาะ”
หลิงตู้ฉิงที่คิดค้นวิธีฝึกวิถีแห่งเต๋าที่เขาพึ่งคิดค้นใหม่มาทั้งคืน แต่ก่อนที่เขากำลังจะทำการฝึก หลิงยู่ชานได้เดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าพร้อมแล้วที่จะไปสถาบันหงส์เพลิง!”
หลิงตู้ฉิงหยักหน้าและตอบ “งั้นก็ไปกันเลย!”