บทที่ 84.3 เมืองหลวงวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างฉกฉวย (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ไม่อาจยกปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนางย่อมเสียดาย แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายหลักในครั้งนี้ของฉู่สวินหยาง นางจึงขี่ม้าจากไปอย่างไร้อาลัย มุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทางใต้

ฉู่ฉีเฟิงจัดการปัญหาที่งานเลี้ยงในวังเรียบร้อย ก็เดินทางไปที่ประตูเมืองทางใต้ ควบคุมการตรวจค้นคนด้วยตัวเอง

ตอนที่ฉู่สวินหยางไปถึง ก็เห็นร่างเขาอยู่บนกำแพงเมืองจากไกลๆ ยิ้มออกมาอย่างรู้ใจ แล้วทิ้งม้าไว้ก่อนเดินขึ้นบันไดไปหา เรียกชื่อเขาจากด้านหลัง “ท่านพี่!”

ฉู่ฉีเฟิงกำลังยืนคิดอะไรอย่างใจลอย จึงไม่รู้สึกถึงการมาเยือนของนาง พอได้ยินเสียงถึงได้สติ รีบหันมามองนาง

“มาได้อย่างไร?”

“ท่านพ่อกลับจวนแล้ว!” ฉู่สวินหยางตอบคำถามไปคนละเรื่อง

ฉู่ฉีเฟิงได้ฟังนัยน์ตาพลันสว่างวาบ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ฉู่อี้เจี่ยนทางนั้นยังไม่เคลื่อนไหว แต่ฮั่วกังคงสุดจะทนแล้ว ตอนนี้ก็คอยดูว่าเขาจะเก่งกาจสักเท่าไร”

ช่วงที่ฉู่สวินหยางไม่อยู่ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเพ่งเล็งฮั่วกัง

แต่ยิ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ละวันของฮั่วกังยิ่งผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน

บัดนี้ฉู่สวินหยางกลับเมืองหลวงแล้ว…

เขาย่อมได้กลิ่นว่าวันตายของตนใกล้เข้ามามากขึ้นทุกขณะ

ดังนั้นการทุ่มสุดตัวไปตายเอาดาบหน้าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร

มุมปากของฉู่สวินหยางยกโค้ง แต่ไม่ส่งเสียง ผ่านไปสักพักเหมือนตัดสินใจได้แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองฉู่ฉีเฟิง “ท่านพี่ ความจริง…นี่เป็นโอกาส!”

สีหน้าไร้อารมณ์ของฉู่ฉีเฟิงพลันปรากฏความตกตะลึง

คิ้วของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย มองความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวของดรุณีที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

ที่เรียกว่าโอกาส?

หมายถึงปลอดภัยไปชั่วชีวิต?

“ข้ารู้ท่านพ่อลำบาก แต่ยืนอยู่ตรงกลางไม่ขึ้นไม่ลงเช่นนี้ ไม่ส่งผลดีต่อวังบูรพาสักนิด” ฉู่สวินหยางเอ่ย ตอนที่พูดก็ไม่ยอมสบตาเขา หมุนตัวเดินออกไปด้านข้าง “สถานการณ์ร้อนแรงดุเดือด พวกเราไม่อาจอยู่อย่างสงบสุข แต่มันก็คือความจริง หากท่านพี่ลำบากใจ…ก็ให้ข้าเป็นคนทำเถอะ!”

ขอเพียงฉู่เป้ยยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ นางย่อมอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเวลา กลัวว่าสักวันมันจะเกิดเรื่อง กลายเป็นฝันร้ายที่ซ้ำรอยเหมือนชาติก่อน

แต่คนผู้นั้นเป็นบิดาของฉู่อี้อัน และเป็นปู่ของฉู่ฉีเฟิง

หากพวกเขาออกตัวลงมือกับฮ่องเต้ ทั้งฝืนทำนองคลองธรรม ซ้ำยังโหดร้ายเกินไป

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวฉู่สวินหยางมานานแล้ว เพียงแค่ไม่กล้าพูดออกมาสักที กลัวจะทำให้ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงตกใจกลัว

ฉู่ฉีเฟิงจ้องนางพักใหญ่คล้ายตกอยู่ในความประหลาดใจ เนิ่นนานกว่าเขาจะสะบัดหน้าเพื่อเรียกสติ

“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงสูดหายใจลึกอย่างคาดไม่ถึง พุ่งตัวมาอยู่เบื้องหน้า หลังจากปรับอารมณ์อยู่นาน สุดท้ายก็ไม่อาจควบคุมมันได้ทั้งหมด

เขาพินิจความเย็นชาบนดวงหน้าของน้องสาวอย่างระมัดระวัง เอ่ยทุกคำอย่างช้าๆ และจริงจังว่า “เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”

“เขาถูกพิษ พิษแทรกลึกถึงไขกระดูก เดิมก็ไม่มีทางรักษา” ฉู่สวินหยางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไร้คลื่นอารมณ์ใดใด “ตอนนี้ราชสำนักยุ่งเหยิง มีเพียงให้ท่านพ่อขึ้นนั่งบัลลังก์เท่านั้น ถึงจะคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัยไปชั่วชีวิตได้ ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และโอกาสอย่างวันนี้ไม่ใช่จะมีมาได้ง่ายๆ!”

“สวินหยาง!” สายตาของฉู่ฉีเฟิงสับสน ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

ฉู่สวินหยางที่อยู่ตรงหน้าเขา ให้ความรู้สึกแปลกหน้าและสะท้านในใจอย่างสิ้นเชิง…

เขาเข้าใจฉู่สวินหยาง รู้ว่านางก็เป็นคนที่ทำตามอารมณ์ความรู้สึก ทว่าตอนนี้นางกลับเสนอตัวลงมือกับฮ่องเต้

ย่อมแสดงว่า…

หัวใจนางได้ตระหนักแล้ว!

นางไม่เคยมองฮ่องเต้ในฐานะคนของครอบครัว ไม่เคยมองคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรว่าเป็นปู่ของตน

“เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยถาม น้ำเสียงปิดบังความร้อนใจไว้ไม่มิด

หัวใจของฉู่สวินหยางกระตุก มุ่นคิ้วพลางส่งสายตาตั้งคำถามให้เขา “อะไร?”

ฉู่ฉีเฟิงชะงักไป เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองหลุดปากถามอะไรออกไป

“เปล่า…” เขาเดินเลี่ยงไปสองก้าวอย่างกลบเกลื่อน เบนสายตาหนี รวบรวมสติแล้วเอ่ยอย่างฝืนใจว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าก็แค่…”

ฉู่สวินหยางหัวเราะแต่ไม่ได้ซักไซ้ เอ่ยว่า “ข้าแค่ถามดู หากท่านพี่คิดว่าไม่เหมาะ ก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน ข้าไปล่ะ”

นางพูดจบก็หมุนกายเดินหนี

“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงตะโกนเรียกนาง

ฉู่สวินหยางหันกลับมา สีหน้าเป็นปกติ ก่อนจะคลี่ยิ้มส่งให้เขา

ฉู่ฉีเฟิงมองรอยยิ้มสดใสบนหน้านางด้วยแววตาเคร่งขรึม จากนั้นก็เดินเข้าไปหา เอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ วังหลวงทางนั้น…ข้าจะไปเอง!”

ฉู่สวินหยางอึ้งไป เบิกตามองเขาด้วยความสงสัย

มุมปากฉู่ฉีเฟิงโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม ยกมือกระชับเสื้อคลุมบนร่างนาง “เจ้าเข้าออกวังหลวงตามใจชอบไม่สะดวก ไม่สู้อยู่ที่นี่จะดีกว่า!”

พูดจบก็ไม่รอให้ฉู่สวินหยางพยักหน้า คนเดินลงบันไดหายไปทันที

ฉู่สวินหยางยืนตะลึงอยู่กับที่ครู่ใหญ่ยังไม่รู้สึกตัว ตอนที่ได้สติคืนมา ได้ยินเสียงอึดอัดใจของฉู่ฉีเฟิงร้องสั่งม้าว่า “ไป!”

ฉู่สวินหยางเป็นคนหัวไว นางรีบกระโจนไปที่ริมกำแพง มองลงไปเบื้องล่าง เห็นฉู่ฉีเฟิงพาองค์รักษ์กลุ่มหนึ่งหายไปอย่างไม่ทิ้งฝุ่น

นางรู้มาตลอดว่าฉู่ฉีเฟิงรักนาง แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำเพื่อนางได้ถึงขนาดนี้

สังหารเจ้า? ฆ่าญาติมิตร!

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็มากพอให้เขาถูกผู้คนใต้หล้าชี้หน้าประณาม!

เรื่องประเภทนี้ สำหรับนางก็เป็นเพียงชื่อที่ไร้แก่นสาร แต่กับฉู่ฉีเฟิง…

จะเป็นแบบนั้นไม่ได้!

ฉู่สวินหยางเม้มปาก รีบหมุนกายวิ่งลงบันไดไป

เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ที่รออยู่ด้านล่างปรี่เข้ามา งุนงงอย่างหนัก “ท่านหญิง ท่านจะ…”

“ข้ามีธุระ!” ฉู่สวินหยางกล่าว พลิกกายขึ้นม้าไม่ยอมเงยหน้าเสียด้วยซ้ำ

“แล้วทางนี้ทำอย่างไรเจ้าคะ?” เจี๋ยหงถาม รีบก้าวขึ้นไปขวาง

เหตุการณ์วุ่นวายไม่รู้จบ หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่คาดไว้ อีกไม่นานที่นี่จะเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน

หากฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยางหายไปทั้งคู่ ทางนี้ต้องดูน่าสงสัยแน่

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ พาคนคอยคุ้มกันประตูไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นใคร หากถึงกำหนดเวลาตอนค่ำ หน้าไหนก็ห้ามผ่านทั้งสิ้น” ฉู่สวินหยางสั่งการอย่างกระชับครบถ้วน เสียงยังไม่จบดีก็ฟาดแส้ลงม้า มุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับฉู่ฉีเฟิง

ลมยามค่ำเย็นเยียบ พัดผ่านใบหน้า ทำให้คนรู้สึกระแวดระวังเป็นพิเศษ

ฉู่สวินหยางกดตัวต่ำบนหลังม้า เร่งความเร็วไปตลอดทาง เพิ่งจะเลี้ยวผ่านไปได้สองตรอกถนน พลันรู้สึกว่ารอบด้านผิดปกติแม้จะไม่มีร่องรอยที่ชัดเจน นางตั้งสติอย่างระแวดระวังและเตรียมตัวในท่าพร้อมรับ

สองข้างทางเป็นบ้านเรือนสูงต่ำสลับไปมา กวาดตามองรอบๆ แล้วกลับไม่เจออะไรน่าสงสัย

เงาของหลังคาและกำแพงสาดลงพื้น เห็นเป็นแผ่นสีมืดดำ

ขณะที่ฉู่สวินหยางเคลือบแคลงใจอยู่นั้นเอง พลันได้ยินเสียงม้าใต้ร่างกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

ตอนนั้นนางไม่ได้อยู่ในท่าที่มั่นคง คนจึงคะมำไปเบื้องหน้า

———————————