ตอนที่ 77 ปรุงโอสถ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 77 ปรุงโอสถ โดย Ink Stone_Fantasy

สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องของระดับการฝึกฝนทำให้ไม่อาจสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของสิบหกชั้นจำกัดในกระบี่สั้นเล่มนี้ออกมาได้ ตอนนี้สามารถกระตุ้นได้สามสี่ชั้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ขอแค่ฝึกฝนกระบี่เล่มนี้ได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้มันมีขนาดใหญ่เล็กได้ดังใจ ทั้งยังสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดบนนั้นได้ ส่วนอานุภาพนั้นอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งหลายไม่อาจเทียบได้

หลิ่วหมิงเลิกคิดเรื่องนี้ พลันโยนกระบี่สั้นไปตรงหน้าแล้วมันก็ลอยอยู่บนอากาศ เขาทำท่ามือพร้อมกับร่ายคาถาไปด้วย เขาไอบริสุทธิ์พ่นใส่กระบี่สั้นอยู่ไม่หยุด และถูกมันซึมซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มันยิ่งเปล่งแสงเย็นสะท้านน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม

แต่การกระตุ้นกระบี่สั้นนี้ยากลำบากเกินความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปมาก

ไม่รู้เป็นเพราะการฝึกฝนของเขาต่ำเกินไปสำหรับกระบี่สั้นเล่มนี้ หรือเป็นเพราะว่าการกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว

เขาฝึกกระตุ้นแค่ชั้นจำกัดที่หนึ่งก็ใช้เวลาไปเจ็ดวันแล้ว ชั้นที่สองก็ใช้เวลานานครึ่งเดือน ชั้นที่สามใช้เวลาไปสองเดือนเต็มๆ ถึงจะพอกระตุ้นได้บ้าง

สำหรับชั้นจำกัดที่สี่นั้น หลังจากกระตุ้นไปหลายวันแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น ถึงรู้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถกระตุ้นต่อได้ อย่างมากก็ต้องรอฝึกฝนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ถึงจะพอมีหวังบ้าง

และภายในระยะเวลาสามเดือนนี้ เจ้าฟองอากาศลึกลับนั่นก็ไม่ทีท่าว่าจะโผล่ออกมาเลย

มันเริ่มทำให้หลิ่วหมิงกลัวจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาตัดสินใจแน่วแน่ก็เริ่มศึกษาหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานที่ซื้อมาจากตลาดเว่ยโจวเล่มนั้น

ในเมื่อเขาฝึกจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว โอสถเพิ่มพลังเวทที่ใช้ย่อมแพงกว่าที่ใช้แต่เดิมมาก และยังหาได้ยากขึ้น ถ้ายังทานแต่โอสถระดับต่ำล่ะก็มันไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้พลังเวทของเขาไปถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีเงื่อนไขในเรื่องระดับคุณภาพของโอสถแล้ว

ถ้าหากเขาเข้าสู่เขตแดนของอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เงื่อนไขของโอสถเพิ่มพลังเวทยิ่งมีมากกว่าเดิม บางแค่หินจิตวิญญาณคงไม่อาจซื้อโอสถที่พึงพอใจได้

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หลิ่วหมิงย่อมหวังว่าตนเองจะสามารถเรียนรู้วิชาปรุงโอสถให้ได้โดยเร็ว

และหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถเล่มนี้ดูเหมือนจะง่าย ซึ่งแนะนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโอสถและวิธีทั่วไปในการปรุงโอสถเท่านั้น

ตามที่กล่าวไว้ในนั้น นักปรุงโอสถที่ดีที่สุดต้องเป็นผู้ที่ฝึกวิชาเกี่ยวกับธาตุไฟหรือธาตุไม้ แน่นอนว่าถ้าหากมีเปลวไฟจิตวิญญาณตามตำนานก็ยิ่งดี

และตอนเริ่มต้นลงมือเรียนวิชาปรุงโอสถใหม่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลักสำคัญของมันก็คือจำแนกวัตถุดิบของโอสถ แล้วนำไปผ่านขั้นตอนการใช้อุณหภูมิสูงทำให้มันเกาะตัวกันเป็นเม็ดโอสถ ขอแค่ไม่ใช่ผู้ทีโง่เขลาจนเกินไปก็สามารถเรียนรู้วิธีการคร่าวๆ ได้โดยง่าย

ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรียนรู้วิธีการไม่เท่ากับการปรุงโอสถออกมาได้จริง

อย่างไรก็ตามโอสถแต่ละชนิดที่ปรุงออกมาได้ต่างก็ต้องผ่านตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในเรื่องของการผสมวัตถุดิบ การควบคุมอุณหภูมิ และเวลาที่โอสถออกจากเตาเป็นต้น

ต่อให้มีความคลาดเคลื่อนแค่เพียงน้อยนิด ก็สามารถก่อให้เกิดความล้มเหลวในขั้นตอนการปรุงโอสถได้

และสิ่งเหล่านี้ส่วนมากไม่สามารถสอนให้รู้ด้วยคำพูดและการปฏิบัติให้ดูได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติให้มากๆ จึงจะสามารถทำออกมาได้

ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถฝีมือสูงส่งสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจะปรุงโอสถง่ายๆ ได้สำเร็จร้อยส่วน

สำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสกับการปรุงโอสถครั้งแรกนั้น ต่อให้จะปรุงโอสถชนิดที่ง่ายที่สุด แต่โอกาสสำเร็จเป็นเม็ดโอสถก็ต่ำจนน่าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

ความล้มเหลวในการปรุงโอรสกว่าร้อยครั้งนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยสำหรับคนทั่วไป

สำหรับการปรุงโอสถระดับกลางจนถึงสูงนั้น เป็นเพราะสูตรโอสถที่ซับซ้อนจนทำให้วัตถุดิบที่ใช้ก็ยิ่งหายาก จนไม่สามารถทดลองปรุงโอสถได้ ส่วนมากอาศัยประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถมาปรุงเท่านั้น ทำให้ความต้องการต่อผู้เชี่ยวชาญการโอสถยิ่งสูงขึ้นไปอีก

และการเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริงได้ จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนหลายครั้งและต้องมีทรัพยากรมหาศาลจึงจะมาถึงจุดนี้ได้

สิ่งนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในโลกของผู้ฝึกฝนมีน้อยมาก แม้กระทั่งกล่าวได้ว่ามีแค่นิกายใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลมากเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับกลางถึงสูงได้

ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอันดับหนึ่งที่สังกัดสาขาพิษจิตวิญญาณผู้นั้น ก็เป็นแค่นักปรุงโอสถระดับกลางเท่านั้น แต่ตำแหน่งในนิกายเขาแตกต่างกับอาจารย์จิตวิญญาณผู้อื่นโดยสิ้นเชิง และไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา

หลิ่วหมิงอ่านหนังสือรวมวิธีปรุงโอสถพื้นฐานหมดไปทั้งเล่มแล้ว ก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองดู หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็เลือกปรุงโอสถทิพย์ซึ่งเป็นโอสถที่ใช้บ่อยที่สุดจากสูตรโอสถที่เขียนไว้ในนั้น จากนั้นก็ศึกษาอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ แล้วหยิบชุดเครื่องมือปรุงโอสถกับวัตถุดิบจำนวนหนึ่งออกมาลองบดผสมแล้วปรุงดู

ห้าวันผ่านไป มีเสียง “เพล้ง!” ดังมาจากห้องฝึกฝน หม้อปรุงโอสถสีขาวตรงหน้าหลิ่วหมิงถูกเปลวไฟอันคุโชนเผาไหม้จนเกิดเป็นเขม่าสีดำ และยังมีกลิ่นไหม้จางๆ กระจายออกมาจากในนั้นด้วย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา แต่ก็รีบหยุดการทำท่ามือแล้วเปลวไฟรอบหม้อปรุงโอสถก็ดับไป

เขาประสบความล้มเหลวในการปรุงโอสถไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปรุงโอสถทิพย์ออกมาได้แม้แต่เม็ดเดียว

ถึงแม้ในตำราจะระบุไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสกับการปรุงโอสถใหม่ๆ

แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้ จากเดิมที่รู้สึกฮึกเหิมกลายเป็นรู้สึกท้อถอยขึ้นมา

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือวัตถุดิบเกี่ยวกับการปรุงโอสถที่ซื้อมาในก่อนหน้านั้นหมดไปเกือบจะครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก เขาจึงหยุดฝึกฝนการปรุงโอสถ แล้วต่อไปค่อยหาโอกาสหาคัมภีร์เกี่ยวกับการปรุงโอสถจากในนิกายมาอ่านดู หรืออาจไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องการปรุงโอสถอีกครั้ง

ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีโอสถใช้ หลิ่วหมิงทำได้แค่ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังค่อยๆ ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำต่อไป

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามเดือนแล้ว

ช่วงระยะเวลานี้ยังคงไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จนหลิ่วหมิงสงสัยว่าฟองอากาศลึกลับนั่นหายไปจากร่างเขาไปแล้วหรือไม่

แต่ในวันนี้ ขณะที่เขากำลังฝึกฝนอยู่พลันรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวตรงทะเลจิตวิญญาณ พลังการกลืนกินม้วนพุ่งออกมาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปหนึ่งปีที่มันระเบิดขึ้นในครั้งก่อน ในที่สุดมันก็ปรากฏออกมาแล้ว

ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาเรียกแมงป่องกระดูกขาวออกมาโดยไม่ลังเล หลังจากใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกันเล็กน้อยแล้วก็เริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำควบคุมพลังเวทอย่างสุดชีวิต

การกลืนกินในครั้งนี้ดุเดือดกว่าครั้งก่อนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลิ่วหมิงก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีพลังเวทเพิ่มขึ้นมาสามถึงสี่เท่าแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกกลืนกินพลังเวทไปจนหมดตัวภายในระยะเวลาอันสั้น

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พลังเวทภายในร่างของหลิ่วหมิงก็ยังถูกฟองอากาศลึกลับนั่นกลืนกินไปเกือบเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน ก่อนที่มันจะหยุดการกลืนกิน

ในระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกถึงอายุขัยที่ถูกลอกออกไป ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก

แต่พอหลังจากที่ฟองอากาศระเบิดตัวออกมา ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงก็มืดดำแล้วไปปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าอันมืดครึ้มอีกครั้ง

ห้องเหมือนเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าเดิมมาก เส้นผ่าศูนย์กลางยาวสามสิบกว่าจั้งแล้ว

สิ่งที่ปรากฏมาพร้อมหลิ่วหมิงคือปีศาจแมงป่องกระดูกขาวที่มีจิตเชื่อมกับเขาตนนั้น

ปีศาจตนนี้รู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อยกับการปรากฏตัวขึ้นในอีกสถานที่หนึ่ง แต่พอค้นพบว่าสถานที่นี้น่าประทับใจเล็กน้อย มันก็รีบปีนป่ายไปมาด้วยความตื่นเต้น

หลิ่วหมิงไม่ได้ถามอะไรแมงป่องกระดูกขาวมาก และหลังจากที่เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา

ดูเหมือนว่าถึงแม้ฟองอากาศลึกลับนั่นจะกลืนกินพลังเวทดุเดือดขึ้นทุกครั้ง แต่ระยะห่างของเวลาที่มันปรากฏตัวก็นานมากกว่าเดิม เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

ถ้าหากดูตามระยะห่างในครั้งนี้ ที่ดูเหมือนจะห่างจากครั้งก่อนเท่าตัวมาชี้ขาดล่ะก็ ครั้งต่อไปที่มันจะปรากฏออกมาคงจะต้องใช้เวลาสองปี

แน่นอนว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้เท่านั้น มันจะใช้เวลานานเช่นนี้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจตอบได้

อย่างน้อยเขาก็ต้องรอให้ฟองอากาศลึกลับนั่นปรากฏตัวอีกสองสามครั้ง จึงจะจับจุดเวลาที่มันปรากฏออกมาได้อย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองในใจอย่างเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงทำท่ามือเตรียมฝึกวิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ

……

ครึ่งปีต่อมา ลูกเปลวไฟยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสามฉื่อกว่าๆ ค่อยๆ หมุนวนอยู่ระหว่างมือทั้งสองของหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด หลังจากที่สะบัดแขนมันก็พุ่งออกไปข้างหน้าด้วยเสียงอันดัง

หลังจากเสียงดัง “ตู้ม!” สิ่งที่คล้ายเมฆรูปดอกเห็ดสีแดงดำก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นไปจากผนังหมอกด้านหน้า ทำให้ห้องว่างเปล่าทั้งห้องค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา

หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา ในขณะเดียวกันเครื่องหมายสีแดงในศีรษะก็กะพริบหายไป

แน่นอนว่าลูกเปลวไฟยักษ์เมื่อครู่นี้ไม่ใช้วิชากระสุนไฟทั่วไป แต่เป็นการนำลูกเปลวไฟหลายลูกมารวมเข้าด้วยกัน มันจึงมีอานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้

ถึงแม้จะเป็นวิชาระดับต่ำ แต่เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วพลังการทำลายยังคงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อานุภาพแข็งแกร่งจนวิชาคมวายุไม่อาจเทียบได้

หลิ่วหมิงนั่งลงไปบนพื้นเตรียมที่จะฟื้นฟูพลังจิตที่ใช้ไปก่อนหน้านี้

แต่พอเขาชายตามองไปแวบเดียว กลับเห็นแมงป่องกระดูกขาวกำลังใช้หางตะขอตรงหลังทิ่มแทงผนังหมอกแถวนั้นอยู่ไม่หยุด

หางตะขอสีดำที่เดิมทีรวดเร็วปานสายฟ้าแลบอยู่แล้ว ตอนนี้ภายใต้การกระตุ้นของแมงป่องกระดูกขาวก่อให้เกิดเงาดำที่มีลักษณะเหมือนกันหลายเส้น ในขณะเดียวกันปลายแหลมๆ ด้านหน้าก็ยิ่งส่งเสียงร้องแหลมไม่หยุด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา

เขาตั้งใจนำแมงป่องกระดูกขาวตนนี้เข้ามาพร้อมกับเขา ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งมีชีวิตที่คอยอยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้แล้ว เขาก็คิดที่จะให้มันได้ฝึกฝนด้วย

ในเมื่อเขาสามารถยกระดับการฝึกฝนวิชาในนี้ได้ แมงป่องกระดูกขาวก็ย่อมทำได้เช่นกัน

และดูจากตอนนี้แล้วเขาคงคิดไม่ผิด แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ฝึกฝนหางตะขออยู่ไม่หยุด จนทำให้การลอบสังหารของมันรวดเร็วกว่าครึ่งปีก่อนสองถึงสามในสิบส่วน

อย่าดูถูกสองถึงสามในสิบส่วนที่กล่าวถึงนี้!

เดิมทีการลอบสังหารโดยหางตะขอก็เป็นการโจมตีร้ายแรงที่รวดเร็วที่สุดของแมงป่องตัวนี้อยู่แล้ว ตอนนี้มีการเลื่อนระดับขึ้นพลังการทำลายดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้เขาย่อมวางใจมากกว่าเดิมที่จะให้แมงป่องกระดูกขาวฝึกฝนต่อไป

หลิ่วหมิงพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มพิจารณาว่าต่อไปจะฝึกวิชาอะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอานุภาพหรือความเร็วในการปล่อยพลังของวิชาศรวารีก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับวิชากระสุนไฟและคมวายุ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเสียเวลากับมัน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพิจารณาถึงการฝึกฝนวิชาระดับที่ค่อนข้างสูงอื่นๆ แล้ว

……………………………………….